ตอนที่ 133 พบสหายเก่า
ปลาตัวใหญ่ขนาดนี้เชียวหรือ
อิ๋นจ้าวเซียนและบัณฑิตตระกูลสื่อตื่นตกใจพร้อมๆ กัน มองชาวประมงผู้นั้นยกคันเบ็ดขึ้นอย่างงุนงง
ปลาซ่งตัวใหญ่หนักยี่สิบกว่าชั่งมีขนาดเท่ากับต้นขาคนทั่วไป กระแทกสายตาดีจริงๆ
ซ่า ซ่า…
จี้หยวนไม่ได้ปล่อยปลาไปโดยสิ้นเชิง น้ำข้างเรือประทุนกระเพื่อมอย่างแรง คันเบ็ดไม้ไผ่สีเขียวยิ่งโค้งงอเหมือนจันทร์เสี้ยว
“ฮ่าๆๆ…ปลาตัวใหญ่ติดเบ็ดแล้วจริงๆ อีกทั้งมาสหายมาเยือนแต่ไกล น่ายินดีๆ!”
แม้ปลาตัวใหญ่จะตีน้ำอย่างแรง แต่คันเบ็ดโค้งงอในมือของจี้หยวนกำลังมั่นคงอย่างยิ่ง มือซ้ายสะบัด ดึงปลาทั้งตัวออกจากผิวน้ำ แล้วนำมันใส่ลงในข้อง
ข้องที่เปิดปากไว้ลอยคว้างอยู่ครู่หนึ่งถึงใส่ปลาตัวนี้ได้พอดี หัวอ้วนๆ ของปลาซ่งเกือบจะติดอยู่ที่ปากข้อง ตอนนี้ใส่เข้าไปแล้วก็มีครึ่งตัวของมันดีดดิ้นอยู่ข้างนอก
อิ๋นจ้าวเซียนและบัณฑิตตระกูลสื่อที่อยู่บนฝั่งได้ยินดังนั้น ได้ยินเสียงสดใสจากชาวประมงผู้นั้น ฝ่ายหลังไม่ได้ว่าอะไร ทว่าฝ่ายแรกกับเบิกบานใจ
“เป็นท่านจี้! ท่านจี้…อิ๋นจ้าวเซียนอยู่ตรงนี้…”
อิ๋นจ้าวเซียนโบกมือตะโกนไปทางเรือประทุนซึ่งห่างออกไปจากฝั่งแม่น้ำหลายจั้งด้วยความตื่นเต้น บัณฑิตตระกูลสื่อที่อยู่ข้างๆ เห็นแล้วตกตะลึงอยู่บ้าง ตลอดทางมานี้เขาไม่เคยเห็นอิ๋นจ้าวเซียนตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อน
ตอนนี้จี้หยวนสะบัดข้อมือทำให้เบ็ดหลุดออกจากปากปลาแล้ว วางคันเบ็ดไว้ใต้งอบ แล้วหมุนกายไปประสานมือทักทายอิ๋นจ้าวเซียนบนฝั่ง
“อาจารย์อิ๋น ไม่เจอกันหนึ่งปี อาจารย์อิ๋นสบายดีหรือ”
เห็นใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปแม้สักนิดของจี้หยวนจริงๆ แล้ว ความรู้สึกตื่นเต้นของอิ๋นจ้าวเซียนกลายเป็นความปีติ รีบทักทายจี้หยวนกลับ บัณฑิตตระกูลสื่อข้างๆ ก็ประสานมือตามสัญชาตญาณด้วย
“ข้าคนแซ่อิ๋นสบายดีทุกอย่าง ทุกอย่างดียิ่ง พวกข้าทำความสะอาดลานเล็กของท่านเป็นครั้งคราวด้วย ท่านจี้ รีบเข้าฝั่งมาหน่อยเถอะ!”
จี้หยวนก็ประสานมือให้บัณฑิตตระกูลสื่อเช่นกัน ยิ้มพลางตะโกนว่า “มาแล้ว!”
ปลาใหญ่ในตะกร้าใส่ปลายังคงดิ้นรน จี้หยวนนั่งอยู่ตรงหัวเรือ หยิบพายมาพายเรือเข้าใกล้ฟัง
ดูจากท่าทางตื่นเต้นของอิ๋นจ้าวเซียนแล้ว บัณฑิตตระกูสื่ออดไม่ได้ที่จะถาม
“พี่อิ๋น ท่านรู้จักชาวประมงคนนี้หรือ”
“ไม่ใช่แค่รู้จักนะ ท่านจี้เป็นเพื่อนบ้านของข้าคนแซ่อิ๋น และเป็นสหายของข้าด้วยเช่นกัน จากกันหนึ่งปีแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบกัน!”
ไม่นานเรือเล็กก็เข้าฝั่ง จี้หยวนลงจากเรือในก้าวเดียว
หากเปลี่ยนเป็นจี้หยวนเมื่อชาติก่อน เจอเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานปีจะต้องเข้าไปสวมกอดกันแน่ แต่ระหว่างสหายในยุคนี้ส่วนใหญ่ค่อนข้างสงวนท่าที อิ๋นจ้าวเซียนจับมือจี้หยวนด้วยความตื่นเต้น ทว่าออกแรงมือไม่น้อย
หลายอึดใจให้หลังทั้งคู่ถึงปล่อยมือ อิ๋นจ้าวเซียนแนะนำคนข้างๆ ให้จี้หยวนรู้จัก ยื่นมือไปและกล่าวกับจี้หยวนว่า
“ท่านจี้ นี่คือสหายรัฐจีที่ร่วมเดินทางเข้าเมืองหลวงกับข้าคนแซ่อิ๋น”
บัณฑิตตระกูลสื่อประสานมือให้จี้หยวนอีกครั้งและแนะนำตัว “ข้าน้อยสื่ออวี้เซิง เป็นคนจังหวัดชุนฮุ่ย!”
จี้หยวนประสานมือกลับอย่างมีมารยาทเช่นกัน
“ข้านามว่าจี้หยวน นับว่าเป็นสหายเก่าของอิ๋นจ้าวเซียน”
แนะนำตัวกันเสร็จก็นับว่ารู้จักกันแล้ว จี้หยวนยิ้มพลางชี้ไปยังตะกร้าใส่ปลาตรงหัวเรือประทุน
“มาเร็วมิสู้มาทัน มีปลาตัวใหญ่ติดเบ็ดพอดี กลางวันนี้จะใช้ปลาตัวนี้ต้อนรับอาจารย์อิ๋นและคุณชายสื่อแล้วกัน ขึ้นเรือๆ พวกเราไปหมู่บ้านตระกูลเฉินด้วยกันเถอะ”
จี้หยวนเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้น อิ๋นจ้าวเซียนและสื่ออวี้เซิงล้วนขึ้นเรือประทุนแล้ว จากนั้นเขาค่อยตามขึ้นไป
หลังจากหยิบไม้พายขึ้น จี้หยวนยิ้มเตือนสองคนที่เพิ่งขึ้นเรือและนั่งลง
“นั่งดีๆ ล่ะ!”
จากนั้นเขาใช้ไม้พายดันริมฝั่งอย่างแรงครั้งหนึ่ง ตอนเรือเล็กเคลื่อนออกจากฝั่งเกิดคลื่นลูกใหญ่ระลอกหนึ่ง สั่นไหวจนบัณฑิตสองคนบนเรือส่ายไหวรีบคว้ากาบเรือไว้แน่นขนัด ยิ่งไม่กล้าลุกขึ้นยืนเรื่อยเปื่อย
ในเมื่อเรือประทุนลำนี้ยืมมาจากชายชราตระกูลเฉิน หมู่บ้านตระกูลเฉินย่อมเชี่ยวชาญเรื่องน้ำ ขอเพียงพายเรือไปทางเหนือสองลี้และเลี้ยวเข้าทางแม่น้ำเล็กๆ พายต่ออีกครึ่งลี้ก็จะถึงหมู่บ้านตระกูลเฉิน หนทางไม่ไกล ยืนอยู่บนฝั่งมองไปก็มองเห็นเค้าโครงหมู่บ้านได้
เรือเล็กเคลื่อนที่อยู่เหนือแม่น้ำ อิ๋นจ้าวเซียนและสื่ออวี้เซิงปรับตัวอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ไม่ตื่นกลัวเพราะเรือเล็กโคลงเคลงอีก
“หลายปีนี้ท่านจี้ล้วนออกท่องเที่ยว ชิงเอ๋อร์ระลึกถึงท่านเสมอ บอกว่าหลังจากนี้พบกันแล้วจะต้องสนทนาเรื่องโลกภายนอกกับท่าน ต้นพุทราในเรือนหลังนั้น สามปีแล้วเพิ่งออกผลเพียงครั้งเดียว…มีชายชราทรงพลังคนหนึ่งมาเยือนด้วย…เขากินพุทราอย่างดุดันทีเดียว…”
จี้หยวนพายเรือไปพลาง ฟังอิ๋นจ้าวเซียนเล่าเรื่องอย่างชัดเจนบ้าง คลุมเครือบ้างไปพลาง เมื่อเขาพูดได้ไม่น้อยแล้ว ตนเองถึงยิ้มและเอ่ยปากบ้าง
“เกรงว่าเสี่ยวอิ๋นชิงจะระลึกถึงจิ้งจอกแดงมากกว่า ฮ่าๆๆๆ…”
สื่ออวี้เซิงก็อมยิ้มฟังอยู่ข้างๆ เขาไม่เคยเห็นอิ๋นจ้าวเซียนพูดมากขนาดนี้มาก่อน พูดเจื้อยแจ้วไม่ยอมหยุด
ทั้งสองคนล้วนเดินเท้าเป็นเวลานานมาก เหนื่อยล้านานแล้ว ตอนนี้นั่งอยู่บนเรือประทุน ชื่นชมทิวทัศน์งดงามริมแม่น้ำ ทั้งคลายเหนื่อยและสบายใจ
“จริงสิ ท่านจี้ ท่านยังไม่ได้เล่าเลยว่าหลายปีมานี้ท่านไปที่ใดมาบ้าง มีทิวทัศน์งดงามแปลกตาและประสบการณ์น่าสนใจอะไรแบ่งปันข้าคนแซ่อิ๋นบ้างหรือไม่”
มาถึงปากทางแม่น้ำโดยไม่รู้ตัว จี้หยวนใช้ไม้พายค้ำให้เรือเล็กเลี้ยวโค้ง จากนั้นเปลี่ยนฝั่งพายเรือ ขณะเดียวกันก็ยิ้มและพูดกับอิ๋นจ้าวเซียนด้วยน้ำเสียงติดตลก
“หลายปีนี้ข้าคนแซ่จี้สังหารปีศาจ กำจัดผี เคยเห็นผู้พิพากษาศาลมืดและเจ้าที่ตามสถานที่ต่างๆ เคยไปยังจวนเซียนสำนักชั้นสูงและเคยเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดประมุขมังกร มีสีสันยิ่งนัก ฮ่าๆๆๆ…”
จี้หยวนเป็นคนเปิดเผย พูดเรื่องเหล่านี้ก็ภูมิใจอยู่บ้าง
อิ๋นจ้าวเซียนฟังแล้วรู้สึกว่าอาจเป็นเรื่องจริงอยู่รางๆ ส่วนสื่ออวี้เซิงข้างๆ หัวเราะฮ่าๆ ตามไปด้วย
เดิมทีหมู่บ้านตระกูลเฉินไม่ได้อยู่ไกลนัก ไม่นานเท่าไรเรือเล็กก็เข้าใกล้ฝั่งแล้ว จี้หยวนทักทายชาวบ้านสองคนที่จำเขาได้ แล้วนำทางอิ๋นจ้าวเซียนและสื่ออวี้เซิงเดินไปยังบ้านของชายชราตระกูลเฉิน
เห็นจี้หยวนเดินเข้ามา ทั้งครอบครัวของชายชราตระกูลเฉินล้วนกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในข้องมีปลาซ่งตัวใหญ่ขนาดนั้น ชายชราตระกูลเฉินเห็นแล้วก็จุ๊ปากชมเชย
เวลาใกล้เที่ยงวัน สื่ออวี้เซิง อิ๋นจ้าวเซียน และจี้หยวนสามคนนั่งสนทนากันอยู่ตรงหน้าโต๊ะสี่เซียน บนโต๊ะวางจานชามไว้เรียบร้อย กลิ่นสดหอมของเนื้อปลาโชยมาจากทางห้องครัวแล้ว
สองสามวันนี้ไม่ได้กินข้าวให้อิ่มท้อง อิ๋นจ้าวเซียนและสื่ออวี้เซิงต่างก็น้ำลายไหล ส่วนจี้หยวนมองแล้วนึกขำอยู่บ้าง
จู่ๆ อิ๋นจ้าวเซียนก็สังเกตเห็นว่าดวงตาของจี้หยวนกลับไม่ใช่สีเทา จึงถามด้วยความตื่นตะลึง
“ท่านจี้ ดวงตาท่านหายดีแล้วหรือ”
จี้หยวนชะงัก จากนั้นค่อยยิ้มกล่าว “วิชาบังตา วิชาบังตาเท่านั้น”
อีกทั้งยกมือขึ้นบ่งบอกให้อิ๋นจ้าวเซียนอย่าได้ตกใจจนเกินไป แม้อิ๋นจ้าวเซียนจะไม่รู้ว่าอะไรคือวิชาบังตา ทว่าทำความเข้าใจอย่างตรงไปตรงมาสักหน่อยก็ไม่มีคำถามอีก
“หัวปลาเสร็จแล้ว…”
ชายชราตระกูลเฉินใช้ผ้ายกหม้อขนาดเท่าใบหน้าที่มีควันร้อนๆ พวยพุ่งเข้ามา จี้หยวนรีบก้าวเข้าไปช่วย และวางน้ำแกงหัวปลาหม้อหนึ่งนี้ลงบนโต๊ะสี่เซียน ครองพื้นที่ว่างไปไม่น้อย
“หึๆ ท่านจี้ช่างรู้จักกินนัก ปลาซ่งในแม่น้ำเทียมฟ้าของพวกข้ารสชาติยอดเยี่ยม โดยเฉพาะหัวปลายิ่งยอดเยี่ยม ปลาซ่งหนักเกือบสามสิบชั่งเช่นนี้มีให้เห็นน้อย หัวปลานี้เกือบจะใส่ลงหม้อไม่ได้อยู่แล้ว ถึงไปร้านอาหารขนาดใหญ่ในจังหวัดจิงจีก็อาจจะไม่ได้กินนะ!”
ชายชราตระกูลเฉินพูดพร้อมยิ้มกริ่ม จากนั้นกลับห้องครัวไปยกอาหารจานอื่นออกมา มีผักดองเค็มและมีเนื้อหมักซีอิ๊วจำนวนหนึ่ง อีกทั้งยกสุราท้องถิ่นกาหนึ่งมาด้วย
“ท่านจี้และบัณฑิตทั้งสองท่าน พวกท่านค่อยๆ กินนะ ส่วนครอบครัวของข้าจะกินในห้องครัว!”
“ได้ รบกวนท่านลุงเฉินแล้ว!”
“ขอบคุณท่านลุงเฉิน!”
“ขอบคุณที่ต้อนรับ!”
พวกจี้หยวนกล่าวขอบคุณแล้วถึงเตรียมขยับตะเกียบ ส่วนครอบครัวตระกูลเฉินก็กลับไปกินข้าวในห้องครัวอย่างเบิกบานใจ ปลาซ่งตัวใหญ่ขนาดนี้จี้หยวนต้องการเพียงหัวปลา ที่เหลือย่อมมอบให้ตระกูลเฉินแล้ว
กลิ่นปลาหอมอบอวล กินอาหารมื้อนี้อย่างเอร็ดอร่อย หัวปลานี้เนื้อเยอะเต็มที่ ไม่ค่อยมีก้างเท่าไรนัก ประเด็นสำคัญคือน้ำแกงมีรสชาติดีเยี่ยม บัณฑิตที่กินข้าวไม่มากสองคนต่างกินไม่หยุด
บนโต๊ะอาหาร จี้หยวนเล่าถึงน้ำใจคนท้องถิ่นต่างๆ แต่เมื่อเทียบกับอิ๋นจ้าวเซียนและคนอื่นๆ ที่รีบมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบแล้ว เขานับว่าชื่นชอบพวกอิ๋นจ้าวเซียนมากกว่า
หลงทางแต่กลับได้เข้าร่วมงานแต่งงาน ยกพู่กันเขียนกลอนมงคล นำความสุขสงบมาสู่ทั้งงานนั้น ความสบายใจตอนที่ร่วมกินดื่มในเรือลำเดียวกัน แม้จี้หยวนจะไม่ได้บอกชื่อแซ่ แต่ก็สัมผัสได้ถึงน้ำใจของญาติมิตรที่พยายามช่วยเหลือกันมาตลอดหลายสิบปีในยามที่อีกฝ่ายลำบาก…
จี้หยวนเล่าทุกเรื่องอย่างสมจริงสมจัง อิ๋นจ้าวเซียนและสื่ออวี้เซิงฟังแล้วทอดถอนใจด้วยความอิจฉา
ตอนที่สนทนากันถึงช่วงสุดท้าย จี้หยวนถือโอกาสเสนอให้บัณฑิตสองคนนั่งเรือประทุนของเขาไปยังท่าเรือฝั่งตรงข้ามจังหวัดจิงจี หากโชคดีข้ามท่าเรือจ้วงหยวนไปได้ก็ดี ขอเพียงพายเรือประทุนไปถึงท่าเรือจ้วงหยวนแล้วค่อยให้ทั้งสองคนขึ้นเรือก็ได้เหมือนกัน
บัณฑิตทั้งสองคนย่อมยินดีและยินยอม
มื้ออาหารนี้ดำเนินไปถึงตอนบ่าย อาหารส่วนใหญ่บนโต๊ะอาหารล้วนตกสู่ท้องของบัณฑิตสองคน ดูจากท่าทางแล้ว จี้หยวนคิดว่าไม่ต้องเตรียมอาหารเย็นให้พวกเขาแล้ว
ตกกลางคืน บัณฑิตสองคนนอนค้างแรมในห้องของชายชราตระกูลเฉิน ส่วนจี้หยวนจะตื่นเช้าพายเรือไปรออยู่ท่าเรือจ้วงหยวนในวันรุ่งขึ้น จึงนอนหลับอยู่อีกห้องหนึ่ง
หลังจากดับไฟแล้ว สื่ออวี้เซิงที่นอนร่วมเตียงเดียวกับอิ๋นจ้าวเซียนกำลังนึกถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวัน
“พี่อิ๋น ท่านจี้ผู้นี้เป็นใครกันแน่ เหตุใดเขาพบเจอเรื่องราวมากมายขนาดนี้ได้”
อิ๋นจ้าวเซียนหัวเราะ
“ฟังแล้วก็ช่างเถอะ คิดถึงเรื่องการสอบขุนนางดีกว่า คนที่ลงมาเดินเล่นในโลกมนุษย์อย่างท่านจี้ไหนเลยจะเป็นผู้ที่คนธรรมดาอย่างพวกเราคาดเดาได้”
“ถูกต้องๆ พี่อิ๋นใช้คำว่าเดินเล่นในโลกมนุษย์ได้ดียิ่งนัก! หากไม่ได้พบกันในวันนี้ ข้าก็คิดจริงๆ ว่าเขาเหมือนเซียนผู้สง่างาม มิน่าเล่าพี่อิ๋นถึงเรียกเขาว่าสหายสนิท”
“ฮ่าๆ นอนเถอะๆ!”
อิ๋นจ้าวเซียนห่มผ้าห่มและไม่พูดอีก