ตอนที่ 134 ปราณสียี่เข่งกระจ่าง
วันต่อมา ตอนที่อิ๋นจ้าวเซียนและสื่ออวี้เซิงตื่นนอนและล้างหน้าล้างตา ชายชราตระกูลเฉินบอกว่าจี้หยวนพายเรือออกไปแล้ว รอพวกเขาอยู่ที่ท่าเรือจ้วงหยวน
เทียบกับพาพวกเขาพายเรือไปที่ท่าเรือจ้วงหยวนแล้วค่อยไปยังฝั่งตรงข้าม พบกันที่ท่าเรือจ้วงหยวน จากนั้นรายงานบนฝั่งเพื่อข้ามไปฝั่งตรงข้ามดีกว่ามาก
หลังจากกินข้าวเช้าที่บ้านตระกูลเฉินแล้ว เฉินจิ่งหง บุตรชายของชายชรานำทางบัณฑิตทั้งสองมุ่งหน้าสู่ท่าเรือจ้วงหยวน เดิมคิดจะนั่งรถเทียมวัว แต่ความเร็วเท่านั้นมิสู้เดินไปอยู่แล้ว
เดิมทีเฉินจิ่งหงเป็นชาวบ้าน บัณฑิตสองคนก็เคยผ่านการฝึกฝนเดินเท้าไกลโขเพื่อไปสอบ ฝีเท้าของทั้งสามคนจึงไม่ช้า แค่หนึ่งชั่วยามกว่าก็เดินครบระยะทางสิบกว่าลี้แล้ว
ยิ่งเข้าใกล้ท่าเรือจ้วงหยวน ผู้คนก็ยิ่งมากขึ้น ราวกับมีคนเดินรวมกลุ่มจากถนนทั้งสี่ทิศแปดทางมาถึงที่นี่ ไม่ใช่ขบวนก้งซื่อทั้งหมด ที่มากกว่านั้นเป็นคนที่มาสักการะเทพีแม่น้ำที่ศาลเทพแม่น้ำของที่นี่
ยังไม่ทันถึงท่าเรือจ้วงหยวน ชายหนุ่มตระกูลเฉินหยุดฝีเท้า ชี้สถานที่สองแห่งข้างหน้าแล้วพูดกับบัณฑิตทั้งสอง
“สิ่งปลูกสร้างกำแพงสีขาวอิฐสีดำตรงนั้นก็คือศาลเทพแม่น้ำเทียมฟ้า แม้ไม่ใช่ศาลที่ใหญ่ที่สุดของแม่น้ำทั้งสาย แต่กำยานกลับไม่เป็นรองใคร โดยเฉพาะบัณฑิตอยู่ท่องตำราที่นี่ไม่น้อย ส่วนตรงนี้ก็คือท่าเรือจ้วงหยวน ท่านจี้จะต้องเทียบท่าเรือเล็กทางเหนือเป็นแน่ พวกท่านไปหาเขาเถอะ!”
เฉินจิ่งหงพูดจบแล้วก็เตรียมจากไป เขาไม่มีธุระอะไรที่นั่น ไม่จำเป็นต้องตามไปจนถึงที่สุด
“ขอบคุณพี่ใหญ่เฉินที่มาส่ง!”
“ใช่ ขอบคุณพี่ใหญ่เฉิน วันหน้าข้าสื่ออวี้เซิงเป็นขุนนางแล้วจะต้องตอบแทนพวกท่านแน่นอน!”
“ฮ่าๆ เช่นนั้นก็ดี ขอให้ท่านทั้งสองรุ่งเรือง ข้าขอตัวก่อนแล้ว รักษาตัวด้วย!”
เฉินจิ่งหงยิ้ม เห็นสองคนประสานมือก็ประสานมือกลับตามมารยาทและหันหลังจากไป บัณฑิตเยี่ยงนี้เขาเห็นมามากแล้ว แต่ละคนล้วนใฝ่ฝันว่าผ่านท่าเรือจ้วงหยวนแล้วตนเองจะได้เป็นจอหงวนคนหนึ่ง
อิ๋นจ้าวเซียนและสื่ออวี้เซิงรอจนเฉินจิ่งหงไปแล้ว ถึงคว้ากระเป๋าตำราตนเองแน่นขนัด เดินไปยังท่าเรือจ้วงหยวนท่ามกลางลมเย็นเอื่อย พวกเขาใช่ว่าไม่อยากไปดูศาลเทพแม่น้ำ ทว่าไม่อยากให้จี้หยวนรอนาน
ทั้งสองคนต่างก็เคยเห็นท่าเรือของจังหวัดชุนฮุ่ย ท่าเรือจ้วงหยวนนี้ด้อยกว่าท่าเรือจังหวัดชุนฮุ่ยในสายตาของพวกเขาไปโดยปริยาย ทว่าเมื่อมองท่าเรือที่เห็นอยู่เลือนรางฝั่งตรงข้าม ตรงนั้นเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำของจังหวัดจิงจี กว้างใหญ่ยิ่งกว่าท่าเรือนอกจังหวัดชุนฮุ่ย
กระนั้น เรือไม่มากเท่าจังหวัดชุนฮุ่ย นั่นเป็นศูนย์กลางการขนส่งอย่างแท้จริง มีเรือดอกไม้น้อยมาก กอปรกับตอนนี้เป็นช่วงกลางฤดูหนาว เรือขนส่งสินค้าก็มีไม่มากเช่นกัน นานๆ ครั้งจะมีมาเทียบท่าสักลำ
…
เรือประทุนจอดอยู่ข้างท่าเรือเล็กทางเหนือ แม้เรือทางนี้จะเล็กกว่าที่ท่าเรืออื่น แต่เรือประทุนนับว่าเป็นเรือใหญ่กว่าทั่วไปแล้ว
จี้หยวนสนอกสนใจอ่าน ‘ทฤษฎีควบคุม’ อยู่ตรงหัวเรือ ในหูคอยฟังเสียงจอแจจากท่าเรือข้ามฟากจากท่าเรือนี้
เหมือนกับเป็นเพราะท่าเรือนี้มีชื่อว่าท่าเรือจ้วงหยวน มีปราณบุ๋นสายหนึ่ง ที่นี่มีจำหน่ายสิ่งสี่ล้ำค่าในห้องหนังสือ อีกทั้งมีขายตัวอักษรและภาพวาด จี้หยวนเงยหน้าขึ้นขณะอ่านตำรา กลับพบว่าท่ามกลางปราณที่ปะปนกันมีปราณสียี่เข่งจางๆ สายหนึ่ง คล้ายกับโดดเด่นกว่าปราณมากมายพวกนั้น
‘หรือมีองค์ชายผู้เป็นที่โปรดปราณองค์ใดอยู่ที่ท่าเรือจ้วงหยวนแห่งนี้’
แม้ปราณสียี่เข่งจะจางมาก แต่กลับไม่ค่อยกลมกลืนกับสีอื่นๆ อย่างชัดเจน บ่งบอกว่าอย่างน้อยนิสัยของคนผู้นี้ยังไม่ถูกปราณเก่าเน่าและฟุ่มเฟือยของราชวงศ์ทำให้แปดเปื้อน ผู้เป็นเจ้าของปราณสียี่เข่งในตอนนี้นับว่าได้เป็นตัวอักษร ‘กระจ่าง’
จี้หยวนมุ่นคิ้วพิจารณาครู่หนึ่ง จากนั้นมองไปยังท่าเรือ
เรื่องน่าสนใจมาแล้ว ปราณยุติธรรมสง่างามของอิ๋นจ้าวเซียนเตะตาเช่นเดียวกัน และขณะที่สองปราณลอยขึ้นคล้ายกับมีการฉุดดึงบางอย่าง
‘ดูท่าจะเป็นเช่นที่คัมภีร์นอกรีตกล่าวไว้ ผู้กระจ่างปราณสียี่เข่งจะนำมาซึ่งขุนนางผู้เที่ยงธรรม!’
จี้หยวนกระโดดจากหัวเรือขึ้นไปที่ท่าเรือ เตรียมไปดูว่าจะมีการพบกันที่น่าสนใจหรือไม่
…
ข้างแผงขายสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือแห่งหนึ่งของท่าเรือจ้วงหยวน ชายวัยสามสิบกว่าปีที่นับได้ว่าหล่อเหลาเดินตามฝูงชน กำลังเดินๆ หยุดๆ ชมสิ่งรอบข้าง
ข้ารับใช้คนหนึ่งในนั้นเห็นเขาถูมือเป่าลม จึงส่งเสียงถามด้วยความเป็นห่วงทันที
“คุณชายสาม หากท่านรู้สึกหนาว พวกข้าจะไปที่เรือ ในนั้นมีเตาอุ่นและผ้าขนสัตว์…”
“เฮ้อ! เจ้ามาอีกแล้ว น่าเบื่อนัก!”
เขาโบกมือให้ข้ารับใช้หยุดพูดมาก แล้วเดินเตร่ไปข้างหน้าต่อ เดิมทีวันนี้มาดูข้างศาลเทพแม่น้ำว่ามีจารึกประณีตใหม่ๆ บ้างหรือไม่ ทว่าไม่ได้อะไรเลย จึงถือโอกาสมาดูท่าเรือจ้วงหยวนแห่งนี้
บัณฑิตที่เข้ามาสอบที่เมืองหลวงจะรวมตัวกันมากที่สุดในช่วงเวลานี้ ล้วนเป็นผู้ที่สอบผ่านจากแต่ละรัฐด้วยความสามารถ นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากที่ได้เห็นการแสดงออกของนักวิชาการที่มีพรสวรรค์เหล่านี้ในแต่ละด้าน หากค้นพบคนที่น่าสนใจสักหนึ่งหรือสองคนก็ยิ่งน่าสนุก
ตอนนี้เอง ชายหนุ่มมองเห็นอิ๋นจ้าวเซียนและสื่ออวี้เซิงที่แบกกล่องตำราเดินมาที่ท่าเรือพอดี ดูจากท่าทางหนาวเหน็บจนมือและใบหน้าขึ้นสีแดงแล้ว พวกเขาเดินมาเองเลยกระมัง
ตลาดที่อยู่ใกล้ท่าเรือจ้วงหยวนที่สุดห่างออกไปสามสิบลี้ หมู่บ้านที่อยู่ใกล้ๆ ละแวกนี้ก็ห่างออกไปยี่สิบลี้ บัณฑิตที่เดินต้านลมหนาวมาไกลในเวลาเช้าตรู่เยี่ยงนี้ อย่างน้อยวันนี้ก็มีสองคนนี้แหละ
เขาชี้บัณฑิตสองคนและพูดกับคนข้างๆ “พวกเจ้าว่าสองคนนี้เดินมาหรือนั่งรถม้ามา”
ข้ารับใช้ข้างๆ จ้องมองบัณฑิตที่ห่างออกไปไม่ได้ หลังจากนั้นครู่หนึ่งค่อยเอ่ยปากตอบ
“เรียนคุณชายสาม แม้ฝีเท้าสองคนนี้นับว่ามั่นคงแต่กลับอ่อนแรง เดินเท้ามาไกลอย่างแน่นอน ความเหนื่อยล้าชัดแจ้ง”
ชายหนุ่มร้องรับเสียงหนึ่ง พบว่าสองคนนี้กำลังเดินมาทางนี้เช่นกัน ระหว่างนั้นก็มองข้าวของอย่างตัวอักษรและภาพวาดที่อยู่บนแผงขายข้างทาง ทว่าไม่ได้หยุดฝีเท้าเลย
ตอนที่พวกเขากำลังจะเดินผ่านชายหนุ่ม อิ๋นจ้าวเซียนพลันหยุดลงมองไปทางเขา จากนั้นเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวอย่างไม่รู้ตัว จนถึงพื้นที่อันตรายแห่งหนึ่ง ทำเอาข้ารับใช้หลายคนข้างกายชายหนุ่มหรี่ตามอง
สายตาดุดันของใครหลายคนรวมอยู่ตรงนี้ มองจนสื่ออวี้เซิงอกสั่นขวัญแขวน รีบไปรั้งอิ๋นจ้าวเซียนไว้
“บัณฑิตท่านนี้ บนใบหน้าข้ามีอะไรหรือ”
ชายหนุ่มถามอิ๋นจ้าวเซียน บวกกับสื่ออวี้เซิงรั้งไว้ คราวนี้ถึงทำให้เขาคล้ายกับตื่นจากนิทรา รีบกล่าวขอโทษไม่ขาดปาก
“ขออภัย เมื่อครู่ข้าคนแซ่อิ๋นใจลอย เห็นคุณชายท่านนี้แล้วรู้สึกคุ้นหน้า ทว่าไม่เคยพบกันมาก่อนแน่นอน เพียงคิดว่าแปลกนัก…”
เสียงพูดของอิ๋นจ้าวเซียนเบาลง พบว่าข้ารับใช้สองคนของอีกฝ่ายยืนอยู่ข้างหลังตนเองและสื่ออวี้เซิงแล้ว ส่วนอีกสองคนพลันจับแขนพวกเขาไว้ ก่อนที่คนข้างหลังจะตรงเข้ามาเปิดกล่องตำราค้นดู
“พวกเจ้าทำอะไร หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้!”
สื่ออวี้เซิงตะโกนเสียงดังอย่างขวัญหาย อิ๋นจ้าวเซียนสงบนิ่งกว่าแต่สีหน้าไม่ค่อยน่ามอง ตนเองแค่มองอีกฝ่ายไม่กี่ครั้งเท่านั้น ตอนนี้เขาสอดส่องสายตาไปยังท่าเรือไม่ยอมหยุด ด้วยรู้ว่าท่านจี้ต้องรออยู่แถวนั้นแน่นอน จึงไม่รู้สึกหวาดหวั่นเลยสักนิด
แผงลอยรอบข้างและคนอื่นล้วนคิดว่าปัญหาน้อยย่อมดีกว่าอย่างชัดเจน คาดว่าบัณฑิตสองคนยั่วโทสะผู้มีอำนาจบางคนเข้าเป็นแน่ สถานการณ์เช่นนี้ไม่นับว่ามีให้เห็นน้อยที่ท่าเรือจ้วงหยวน
ค้นกล่องตำราสองกล่องแล้วก็ค้นตัว ไม่พบอาวุธอะไร มีข้ารับใช้ยื่นเอกสารราชการสองชุดให้คุณชายสามผู้นั้น ฝ่ายหลังเปิดอ่านแล้วมองทั้งสองคนพลางถาม
“ใครคืออิ๋นจ้าวเซียน”
“ข้าเอง!”
ครั้นอิ๋นจ้าวเซียนตอบรับแล้ว คุณชายสามผู้นั้นพิจารณาเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความสนใจ
“เจี้ยหยวน[1]จากรัฐจีหรือนี่ น่าสนใจ…ปล่อยพวกเขา!”
ข้ารับใช้ได้ดังนั้นก็ปล่อยมือของทั้งสองคน บัณฑิตสองคนี้รีบคลำแขนเป็นอันดับแรก จากนั้นวางกล่องตำราลงเก็บตำราที่ถูกค้นกระจัดกระจายอยู่บนพื้นเมื่อครู่
คุณชายสามเหลือบเห็นชื่อตำราหลายเล่มบนพื้นดูแปลกดี จึงนั่งยองลงด้วยความใคร่รู้
“นี่คือตำรามีชื่ออะไร ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน!”
อิ๋นจ้าวเซียนมองตำราที่เขาพูดถึง ก่อนจะเอ่ยปากตอบ
“‘วาทหมู่ปักษา’ และ ‘ธรรมรู้แจ้ง’ เป็นงานเขียนของข้าน้อยเอง ไม่ใช่ตำรามีชื่ออะไรหรอก”
คุณชายสามผู้นั้นเก็บขึ้นมาจากพื้นเล่มหนึ่ง หน้าปกใช้ลายมืองดงามเขียนไว้ว่า ‘วาทหมู่ปักษา-คำตอบของปฐมบัณฑิต’ แล้วมองสามเล่มอื่นอีก ‘วาทหมู่ปักษา-บทความท่องราตรี’ ‘วาทหมู่ปักษา-ถกเถียงวัยหนุ่ม’ และ ‘วาทหมู่ปักษา-หงส์เพรียกอู๋ถง’ ดูแล้วเป็นชุดเดียวกัน
เขาพลิกตำราในมืออ่านอยู่หลายหน้า ความรู้สึกแรกคือลายมือชัดเจนงดงาม จากนั้นอ่านเนื้อหาแล้วน่าสนุกและน่าสนใจมาก
“อิ๋นเจี้ยหยวนจากรัฐจี ตำราหลายเล่มนี้ไม่ทราบว่าขายให้ข้าเป็นอย่างไร”
คุณชายสามกล่าวกับอิ๋นจ้าวเซียนอย่างจริงจัง ฝ่ายหลังและสื่ออวี้เซิงได้ฟังแล้วชะงักไปชั่วครู่
“เอ่อ…ท่านจะจ่ายเท่าไร”
ตำรานี้อิ๋นจ้าวเซียนเขียนออกมาหลายเล่มด้วยตัวเอง ตอนนี้สองคนขัดสนค่าเดินทางอยู่พอดี หากขายออกไปได้ย่อมดีอยู่แล้ว
คุณชายสามงอมือเรียกข้ารับใช้ อีกฝ่ายหยิบก้อนเงินตำลึงออกมาจากถุงเงินในกระเป๋าเสื้อสองก้อน ดูจากขนาดแล้วแต่ละก้อนอย่างน้อยน่าจะเทียบเท่าสี่หรือห้าตำลึง
“เท่านี้พอหรือไม่”
“มากเกินไป…”
“พอๆ พอแล้ว!”
อิ๋นจ้าวเซียนยังพูดไม่จบ สื่ออวี้เซิงก็แย่งตอบ ชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มก่อนจะรับเงินจากข้ารับใช้และวางลงบนกล่องตำราของอิ๋นจ้าวเซียน จากนั้นยื่นมือออกไป ฝ่ายหลังดึงสติกลับมาได้แล้วก็รีบส่ง ‘วาทหมู่ปักษา’ สามเล่มและ ‘ธรรมรู้แจ้ง’ ให้
ตอนที่คนเหล่านั้นจากไป อิ๋นจ้าวเซียนและสื่ออวี้เซิงยังคงรู้สึกเหลือเชื่อ ขายตำราหลายเล่มนั้นไปได้สิบตำลึง คาดว่าจะผ่านฤดูหนาวในเมืองหลวงไปได้อย่างง่ายดายแล้ว
จี้หยวนคล้ายยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่มองดูความคึกคักอยู่ไกลๆ คนอื่นเห็นเรื่องวิวาทไม่เกิดขึ้นจึงแยกย้ายกันไปแล้ว แต่เขากลับมองไปยังทิศทางที่องค์ชายผู้นั้นจากไปอยู่ตลอด
ตอนที่ ‘คุณชายสาม’ รับตำราของอาจารย์อิ๋น ปราณสียี่เข่งเหนือศีรษะปั่นป่วนเล็กน้อย แม้เปลี่ยนแปลงไม่ชัดเจน แต่กลับรุนแรงทีเดียว
[1] เจี้ยหยวน หมายถึง บุคคลผู้สอบได้ในตำแหน่งที่หนึ่งในการสอบชิงตำแหน่งบัณฑิตระดับชนบทในสมัยราชวงศ์ชิงและหมิง