ตอนที่ 135 เรื่องแปลกที่ตระกูลโจว
อิ๋นจ้าวเซียนและสื่ออวี้เซิงพักหายใจอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าของร้านขายสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือข้างๆ หัวเราะพลางพูดกับพวกเขา
“ทั้งสองท่านนับว่าโชคดี ผู้ที่กล้าวางท่าอยู่ที่ท่าเรือจ้วงหยวนเมื่อครู่นี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ข้าไม่กล้าแม้แต่ส่งเสียงเตือน รีบไปเถอะ หรืออยากดูสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือหน่อยหรือไม่”
อิ๋นจ้าวเซียนและสื่ออวี้เซิงที่ยังนึกกลัวกล่าวขอบคุณเจ้าของร้านอยู่หลายเสียง จากนั้นจัดระเบียบกล่องตำราแล้วค่อยเดินไปทางเหนือ
เมื่อถึงท่าเรือเล็กตรงริมสุดแล้ว ไม่นานก็เจอเรือประทุนตามคาด จี้หยวนไม่ได้สวมเสื้อกันฝนและไม่ได้สวมงอบ ท่าทางยามนั่งอ่านตำราอย่างสงบอยู่ตรงหัวเรือนั้นสง่างามยิ่งกว่าบัณฑิตแถวนี้เสียอีก
เห็นจี้หยวนแล้วอิ๋นจ้าวเซียนถึงเบาใจ เดินนำสื่ออวี้เซิงแบกกระเป๋าตำราเบียดฝูงชนไปที่ท่าเรือ จี้หยวนวางตำราลงพอดิบพอดี
“ท่านจี้ เมื่อครู่พวกข้า…”
จี้หยวนยื่นมือบอกให้อิ๋นจ้าวเซียนหยุด
“เอาละ เรื่องนี้พวกเจ้าสองคนไม่ต้องรีบร้อนพูดหรอก ขึ้นเรือก่อนเถอะ พวกเราจะข้ามแม่น้ำกัน”
พอได้ยินดังนั้น อิ๋นจ้าวเซียนรู้ทันทีว่าท่านจี้จะต้องรู้ต้นสายปลายเหตุอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก ก้าวขึ้นเรือโดยมีสื่ออวี้เซิงตามหลัง
มีประสบการณ์จากเมื่อวานแล้ว วันนี้ทั้งสองคนปรับตัวกับการนั่งเรือประทุนได้มากขึ้น
เรือเล็กออกจากท่า มองย้อนไปที่ท่าเรือจ้วงหยวนยังคงมีเรือข้ามฟากลำใหญ่รอลูกค้าอยู่ คาดว่าอย่างเร็วที่สุดต้องรออีกหนึ่งชั่วยามถึงจะถึงเวลาเรืออกจากท่า
ยิ่งเรือเล็กเคลื่อนไปข้างหน้าก็ยิ่งห่างไกลจากสายตา พวกเขารู้สึกว่าท่าเรือจ้วงหยวนนี้พร่าเลือนรวดเร็วอยู่บ้าง
จี้หยวนพายเรืออยู่ที่หัวเรือ เห็นทั้งสองคนหันกลับไปมองท่าเรือจ้วงหยวนอยู่เรื่อยๆ จึงยิ้มกล่าว
“อาจารย์อิ๋น คุณชายสื่อ เรือเล็กของพวกเราไม่เพียงข้ามมาก่อน แต่ยังครองความได้เปรียบด้วย ไม่ต้องหันกลับไปมองแล้ว มองไปข้างหน้าดีกว่า ข้างหน้าก็คือจังหวัดจิงจีแล้ว!”
ทั้งคู่ได้ยินแล้วก็หันหน้ากลับมา ตื่นตะลึงในทันทีเพราะพบว่าจะถึงฝั่งตรงข้ามแล้ว
เรือประทุนไม่ได้เข้าฝั่งที่ท่าเรือใหญ่ แต่จอดเรือตรงปากบันไดที่ค่อนข้างเล็กแห่งหนึ่ง พอบัณฑิตสองคนเหยียบหัวเรือที่โคลงเคลงเล็กน้อยขึ้นฝั่งแล้ว จี้หยวนถึงประสานมือบอกลาพวกเขา
“อาจารย์อิ๋น คุณชายสื่อ จากนี้มุ่งหน้าไปทางตะวันตกสิบกว่าลี้ก็จะเป็นจังหวัดจิงจี หวังว่าทั้งสองท่านจะสอบหน้าพระที่นั่งได้และมีชื่อเสียงทั้งคู่นะ!”
ตอนที่อิ๋นจ้าวเซียนและสื่ออวี้เซิงประสานมือกลับพร้อมทั้งบอกลา จู่ๆ ฝ่ายแรกก็นึกขึ้นได้ ควานหาแผ่นป้ายไม้สีดำขนาดเล็กออกมาจากอกเสื้อ
“ท่านจี้ นี่คือ…”
เพิ่งพูดได้ครู่เดียว อิ๋นจ้าวเซียนมองสื่ออวี้เซิง แล้วเหยียบกลับขึ้นเรือประทุนอีกครั้งเพื่อกระซิบกับจี้หยวน
“ท่านจี้ นี่คือของที่ใต้เท้าเทพหลักเมืองแห่งจังหวัดชุนฮุ่ยฝากฝังข้าให้มอบให้ท่าน”
จี้หยวนมุ่นคิ้วรับมา อาจเป็นเพราะปราณเที่ยงธรรมมหาศาล อิ๋นจ้าวเซียนจึงไม่รู้สึกถึงปราณหยินเล็กน้อยที่อยู่บนแผ่นป้ายไม้ในอกเสื้อ
หลังจากจี้หยวนรับแผ่นป้ายไม้มา อิ๋นจ้าวเซียนถึงขึ้นฝั่งอีกครั้ง
พอทั้งสามคนบอกลากันอีกครั้ง บัณฑิตสองคนเดินไปยังท่าเรือตรงนั้น สามารถเหมารถม้าจากที่นั่นมุ่งหน้าสู่จังหวัดจิงจีได้ ส่วนจี้หยวนนั่งอยู่บนเรือประทุนพลางมองแผ่นป้ายไม้ขนาดเล็ก
นี่เป็นไม้หยินบันทึกเหตุการณ์โดยวิธีถ่ายทอดจิตวิญญาณ ในบรรดาแท่งหยกที่ยืมมาจากมังกรเฒ่าก็มีวิธีนี้
‘เทพหลักเมืองจังหวัดชุนฮุ่ยตามหาเราทำไมกัน’
จี้หยวนนั่งลงครุ่นคิด ตั้งใจชักนำข้อความของแผ่นป้ายไม้จนเกิดเป็นภาพของพื้นที่ต่างๆ ในจังหวัด หนึ่งในนั้นมีวิญญาณงูถูกมัดแน่นอยู่ภายในห้องขังสีแดงเข้ม
แส้ลงทัณฑ์ออกสีแดงดำเส้นหนึ่งสะบัดลงบนวิญญาณงูครั้งแล้วครั้งเล่าโดยเจ้ากรมลงทัณฑ์ ทุกครั้งล้วนทำให้วิญญาณงูกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างยิ่งยวด ระหว่างนั้นยิ่งมีมือปราบผีใช้มีดขอดเกล็ด นอกจากนี้ยังปล่อยหนอนที่ทำให้ความหวาดกลัวพังทลายคอยกัดทำลายวิญญาณงูที่กำลังเสียเกล็ดไปด้วย…
จี้หยวนเห็นแล้วอดขนพองสยองเกล้าไม่ได้ เสียงกรีดร้องของวิญญาณงูนั้นยังคงดังต่อเนื่อง ทว่าไม่อาจจบความเจ็บปวด เจ้ากรมลงทัณฑ์ยิ้มเย็นบอกปีศาจงูว่ายังต้องลงโทษอีกร้อยยี่สิบครั้ง มีเพียงการสารภาพผิดเท่านั้น เรื่องนี้ถึงจะจบสวย
ที่น่าเวทนาที่สุดคือปีศาจงูพูดทุกสิ่งทุกอย่างออกไปแล้ว สุดท้ายลดโทษได้แค่ยี่สิบครั้ง โทษทัณฑ์ที่เหลือต้องดำเนินต่อไปครึ่งปีเต็มๆ จนกระทั่งโทษสุดท้ายจบสิ้น วิญญาณงูแตกสลายไปเพราะทนไม่ไหว กลายเป็นปราณวิญญาณหยินส่งเสริมศาลมืด
วิญญาณงูรับโทษเป็นเรื่องรอง เรื่องหลักยังคงเป็นปีศาจสารภาพระหว่างการรับโทษ
หนึ่งในความวิเศษของวัตถุสื่อจิตคือทำให้ผู้อ่านอ่านเรื่องที่ค่อนข้างยาวนานจบลงในเวลาอันสั้น จี้หยวนอ่านเนื้อหาบนไม้หยินจบแล้ว โลกภายในเพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น
“เฮ้อ ตอนนี้ข้าไม่มีเรี่ยวแรงสนใจเรื่องนอกต้าเจิน เทพหลักเมืองจ้าวประเมินข้าสูงไปแล้ว…”
พึมพำประโยคหนึ่งแล้ว จี้หยวนเก็บแผ่นป้ายไม้ไว้ในอกเสื้อ จากนั้นหยิบไม้พายขึ้นดันฝั่ง พายเรือกลับไปยังหมู่บ้านตระกูลเฉิน
เช้าวันต่อๆ มา ภายในวังน้ำของแม่น้ำเทียมฟ้า บุตรมังกรอิงเฟิงได้รับการรายงานจากยักษ์ต่อเนื่องสองวัน บอกว่าตามหาชาวประมงวิเศษเหนือแม่น้ำผู้นั้นไม่เจอแล้ว อิงเฟิงร้อนใจจนว่ายน้ำตามหาในแม่น้ำอย่างอดรนทนไม่ได้ ทว่าไม่พบสหายของบิดาตามคาด
…
จี้หยวนจะไม่เดินเล่นในจังหวัดจิงจีได้อย่างไร ทว่าก็แตกต่างกับอิ๋นจ้าวเซียนและสื่ออวี้เซิงที่มองหาบ้านของชาวบ้านเพื่อเช่าสำหรับเตรียมสอบ เขาไม่ได้มีเป้าหมายที่แน่นอน และไม่ใช่ว่าต้องมีเตียงถึงจะนอนหลับได้ จึงอาศัยความรู้สึกเดินเตร่อยู่ในเมืองเท่านั้น
ถนนใหญ่และตรอกเล็กล้วนเป็นระเบียบ ร้านรวงบ้านเรือนเรียงกันเป็นทิวแถว หนทางกว้างขวางเจริญรุ่งเรืองนับเป็นความประทับใจแรกของจี้หยวน
ตรงที่ถนนหลักหลายสายตัดผ่านกันเป็นสถานที่ที่คึกคักที่สุดในเมือง เสียงรถม้าและล้อบดถนน รวมถึงเสียงอื่นๆ ดังระงม เสียงเร่ขายของและร้องตะโกนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พ่อค้า นักท่องเที่ยว และคนทั่วไปจากทั่วทุกสารทิศรวมตัวกันอยู่ที่นี่ แม้แต่จังหวัดชุนฮุ่ยก็ไม่อาจคิดเทียบที่นี่ได้โดยสิ้นเชิง
จังหวัดจิงจีมีจัตุรัสใหญ่ทั้งหมดแปดสิบเอ็ดแห่ง มีคนอาศัยอยู่เกือบสี่แสนครัวเรือน เป็นจังหวัดใหญ่ของต้าเจินอย่างไม่ต้องสงสัย
จี้หยวนที่แต่เดิมเดินเตร่อยู่ในตัวเมืองพลันถูกเรื่องหนึ่งดึงดูดความสนใจเข้า
บนถนนที่มีร้านค้ากระจายอยู่ทั่วมีผู้ลาดตระเวนทิวาเดินผ่าน ด้านหลังยังมีทูตดึงวิญญาณแบกร่มตามมาด้วย พวกเขาไม่ได้เดินไปจนสุดถนน ทว่าเลี้ยวเข้าไปในตรอกแห่งหนึ่ง
จี้หยวนพลันใจเต้น นี่น่าจะเป็นเวลาที่มีคนอายุขัยเหลือน้อยกำลังจะจากโลกนี้ไป ศาลมืดจึงมาดึงวิญญาณแล้ว!
เรื่องแบบนี้เขาคนแซ่จี้ไม่เคยเห็นมาก่อน ด้วยความใคร่รู้อยากไปดูให้รู้เรื่อง ย่อมเดินตามไปโดยปริยาย
ผู้คนเดินบนถนน รถม้าแล่นบนถนน ไม่นานจี้หยวนก็เลี้ยวเข้าไปในตรอกนั้น แม้จะมองไม่เห็นคนของศาลมืดแล้วเพราะใช้วิชาบังตา ทว่าใช้จมูกดมดูก็ได้กลิ่นร่องรอยของปราณหยิน หาสถานที่ที่ต้องการพบจึงไม่นับว่าเปลืองแรง
ตรอกนี้มีชื่อว่า ‘ตรอกสมบูรณ์’ แม้จะเทียบกับจวนใหญ่ริมถนนของขุนนางผู้สูงศักดิ์ไม่ได้ ทว่าคนอาศัยที่นี่ก็นับว่าหรูหราร่ำรวย อย่างน้อยบ้านโดยรอบตลอดทางมาก็ไม่เล็ก อีกทั้งที่นี่ก็เป็นจังหวัดจิงจีที่ทุกพื้นที่มีค่าราคาแพง
ประมาณหนึ่งถ้วยชาผ่านไป จี้หยวนตามมือปราบผีศาลมืดทันแล้ว พวกเขากำลังยืนอยู่ข้างนอกจวนแห่งหนึ่ง บนนั้นเขียนไว้ว่า ‘จวนตระกูลโจว’
ตัวหนังสือใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้จี้หยวนดวงตาฝ้าฟางก็แยกแยะได้
มือปราบผีศาลมืดเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง แต่จี้หยวนเบิกตากว้างขึ้นเพื่อมองส่วนในของจวนจากไกลๆ พอจะเห็นปราณของผู้คนที่เพิ่มขึ้นในจวนได้เลือนราง
“เอ๋?”
จี้หยวนสังเกตเห็นความผิดปกติได้เล็กน้อย จึงต้านความเจ็บเบิกตากว้างขึ้นอีกครั้ง ปราณของจวนตระกูลโจวยิ่งแจ่มชัดขึ้นทันควัน ท่ามกลางปราณของหลายคนยังซ่อนปราณพิเศษที่เบาบางเอาไว้ด้วย พูดไม่ถูกว่าเป็นปราณปีศาจหรืออะไร
ตอนนี้มือปราบผีศาลมืดน่าจะสังเกตดูพอประมาณแล้ว จึงพากันทะลุประตูเข้าไป
แม้สมุดรายชื่อของศาลมืดจะตอบสนองต่อสถานการณ์ของผู้บันทึก แต่นั่นไม่ใช่บันทึกความเป็นความตายอะไร ไม่อาจรู้ได้ทันทีที่เกิดว่าเจ้าจะตายเมื่อไหร่กันแน่ เพียงรับรู้ได้ว่าอายุขัยลดน้อยลง รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบุญกรรมของผู้บันทึก ทำให้ศาลมืดรับรู้ว่าคนผู้นี้กำลังจะจากโลกนี้ไปในเวลาที่เหมาะสม คล้ายคลึงกับการตรวจดวงชะตาอยู่บ้าง แต่แม่นกว่า
จี้หยวนตัดสินใจโคจรวิชาบังตา ย่องเข้าไปในจวนตระกูลโจวเช่นกัน
ภายในห้องนอนของเรือนใหญ่ที่ลานหลังของจวนตระกูลโจว ชายใบหน้าซีดขาวอายุประมาณหกสิบกว่าปีนอนอยู่บนเตียง มีชายหญิงล้อมรอบเต็มไปหมด บรรยากาศหดหู่นัก
“หมอบอกว่า ข้า..ก็คือ สองวันหลังจากนี้…ข้าจะตาย…ให้ บุตรชายคนโต ดู ดูแล ทรัพย์สินตระกูล…จดจำไว้ว่าอย่าฝ่าฝืน กฎของตระกูล…”
บุตรชายคนโตที่คุกเข่าตาแดงอยู่ข้างเตียงพลันลุกขึ้นยืน เดินออกไปข้างนอกห้อง
“ท่านพ่อ! นางแพศยานั่นทำร้ายท่านแน่ๆ ท่านใจดีเลี้ยงดูนางอยู่หลายปี นางกลับตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น ข้าไม่ไว้ชีวิตนางแน่!”
“อี้ชิง! แค่กๆๆ…”
คนที่ใกล้เป็นผักอยู่บนเตียงขยับเขยื้อนขึ้นมา ตะโกนเรียกบุตรชายตัวเอง
“เจ้า นางทำเช่นนี้ ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น…ก็ ก็เพราะพวกเราตระกูลโจว!”
ตอนนี้ประตูห้องเปิดออก สตรีในชุดขาวประดับดอกไม้ขาวบนศีรษะเดินตรงเข้ามาถึงเตียงนอน ไม่มองบุตรชายคนโตแห่งตระกูลโจวผู้นั้นเลยสักครั้ง
บุตรชายคนโตตระกูลโจวมีสีหน้าเดือดดาลในทันที วินาทีนี้เขาถอยหลังไปหลายก้าว ไม่กล้ามองสตรีนางนั้นตรงๆ อยู่บ้าง
นางเดินไปถึงเตียงชายชราตระกูลโจวแล้วนั่งลงพร้อมสีหน้าโศกเศร้า ก่อนจะยื่นมือลูบใบของผู้ชราที่นอนอยู่บนเตียงอย่างแผ่วเบา
“เดิมทีวันนี้ข้าไม่ควรมา อีกเดี๋ยวคนจากศาลมืดมาแล้วพบข้าย่อมไม่ไว้ชีวิตข้าแน่ แต่…ท่านรักข้าข้างเดียวมาสามสิบกว่าปี วันนี้ให้ข้าอยู่เคียงข้างท่านจนถึงวาระสุดท้ายเถอะ!”
ปากนางพูดว่าสามสิบปี แต่ใบหน้ากลับงดงามอ่อนเยาว์ ไม่มีเค้าความชราเลยสักนิด
ชายชราที่เดิมทีกำลังจะนอนแน่นิ่งคล้ายกับได้หวนคืนไปในห้วงเวลา ใบหน้าขึ้นสีแดงเล็กน้อย สีหน้าตื่นเต้นยิ่งขึ้น
คนอื่นภายในห้องคล้ายกับรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว พากันหลบลี้ไปด้วยความหวาดกลัว ยิ่งไม่กล้าพูดอะไร
ตอนนี้เอง ทูตดึงวิญญาณจากศาลมืดโดยสารลมหยินมาถึง ทว่าไม่อาจพบความผิดปกติของสตรีข้างเตียง
ทูตดึงวิญญาณทั้งสองก้าวเข้ามากล่าวกับชายชรา “โจวเนี่ยนเซิง อายุขัยของเจ้าหมดลงแล้ว ตามพวกข้าไปเถอะ!”
หากดึงวิญญาณไปเช่นนี้จริงๆ ก็ไม่เป็นไร แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ข้างนอกประตูห้องยังมีผู้ลาดตระเวนทิวาสองคน ตอนที่ทูตดึงวิญญาณปฏิบัติหน้าที่ ผู้ลาดตระเวนทิวาตรวจตรารอบจวนตามความเคยชินแล้วรอบหนึ่งก็เข้ามาในห้อง พวกเขาตื่นตกใจในทันที เพราะศูนย์รวมสายตาอยู่ที่ตัวสตรีข้างเตียงนางนั้น ฝ่ายหลังก็มองผู้ลาดตระเวนทิวาสองคนอย่างไร้กังวลเช่นกัน