ตอนที่ 138 เพียงอิจฉายวนยางไม่อิจฉาเซียน
แน่นอนว่าคำพูดนี้ของจี้หยวนเกินจริงไปบ้าง เจ้าที่จังหวัดหลักของต้าเจินมีฝีมืออะไรเขาไม่นับว่ารู้ชัดนัก ที่เขาพูดถึงก็คือการแย่งชิงคนมาจากในมืออีกฝ่ายเท่านั้น
เหตุผลที่จงใจพูดประโยคนี้ก็เพื่อเตือนสตรีนางนั้น เพื่อยืนยันว่าเขาจี้หยวนช่วยนางกลับมา และเขาแย่งนางมาจากมือเจ้าที่เองโดยไม่จำเป็นต้องกระทบกระทั่งกัน
ถึงอย่างไรเสียก็เป็นปีศาจ อีกทั้งถูกตามสังหารอย่างต่อเนื่อง หากเสียความสงบนิ่งไปและคิดว่าจี้หยวนเป็นศัตรูเหมือนกัน จากนั้นระเบิดอารมณ์ขึ้นมา แน่นอนว่าเทพหลักเมืองและเจ้าที่ต้องหาตัวพบ เช่นนั้นแล้วเขาคนแซ่จี้ก็ต้องเข้าไปพัวพันด้วย
ตอนจี้หยวนหันไปมองปีศาจสาวนามว่าไป๋รั่ว บนห้องใต้หลังคาเหลือเพียงไป๋รั่ว กายเนื้อหางเส้นนั้นที่อยู่บนพื้นเชื่อมเข้ากับร่างกายแท้จริงอีกครั้ง
หลังจากไป๋รั่วตื่นตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้ว นางคุกเข่าหมอบกับพื้น หันหน้าไปทางจี้หยวนทันที
“ขอบคุณท่านเซียนที่ช่วยเหลือ ไป๋รั่วไม่มีทางลืมพระคุณของท่านเซียนไปจนวันตาย หากมีอะไรที่ข้าทำให้ท่านได้ ต่อให้เป็นงานหนักต่างวัวต่างม้าข้าก็ไม่เกี่ยง!”
การคุกเข่ากราบไหว้ในต้าเจินเป็นการแสดงความเคารพที่ใช้กันน้อยนัก มีแต่พวกขุนนางที่ใช้กัน นอกเสียจากคนทำความผิดร้ายแรง ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีใครคุกเข่าทั้งนั้น แม้ในศาลต่อหน้ารูปปั้นเทพก็มีเบาะรอง แต่จุดธูปส่วนใหญ่ยืนจุดกันหมด มีเพียงขอร้องเรื่องสำคัญจริงๆ ถึงจะคุกเข่าบ้าง
ส่วนพิธีที่จำเป็นต้องคุกเข่าทำความเคารพก็มีแต่กราบไหว้ฟ้าดินเวลาแต่งงานเท่านั้น
ตอนนี้จี้หยวนช่วยชีวิตไป๋รั่ว บุญคุณใหญ่หลวงนี้ทำให้ฝ่ายหลังคุกเข่าขอบคุณทันที แถมยังสุภาพและกล่าวคำพูดออกมาจากใจจริงอีกต่างหาก
จี้หยวนลืมตาทั้งสองข้างเต็มที่ตอนที่นางกล่าวขอบคุณ มองทะลุรูปลักษณ์และปรากฏกวางขาวตัวหนึ่งใต้ความคลุมเครือ
“ฮ่าๆ มิน่าหางเส้นนี้ถึงได้สั้นนัก ข้ายังคิดอยู่เลยว่าเจ้าเป็นปีศาจอะไรกันแน่ ที่แท้เป็นแม่นางกวางขาวนี่เอง!”
เมื่อครู่เห็นหางสีขาวท่อนหนึ่ง จี้หยวนยังไม่แน่ใจจริงๆ ว่าเป็นสัตว์อะไร เดาไว้ทั้งกระรอก เพียงพอน ถึงอย่างไรก็ไม่เคยศึกษาหางกวางทั้งสองชาติ จนกระทั่งตอนนี้ถึงเห็นของจริง
ไป๋รั่วได้ยินแล้วตัวสั่นครั้งหนึ่ง เอาแต่หมอบกายอยู่บนพื้นไม่กล้าลุกขึ้น ความจริงแล้วนางไม่แน่ใจว่าเซียนผู้นี้ช่วยนางด้วยเหตุผลใด เป็นไปได้มากว่าเพิ่งออกจากถ้ำเสือก็เข้าสู้ถ้ำมังกรเสียอย่างนั้น
“ลุกขึ้นเถอะ ข้าไม่จำเป็นให้เจ้าทำงานต่างวัวต่างม้าให้ เจ้าตอบคำถามข้าสักหน่อยก็พอแล้ว”
ไป๋รั่วเหยียดกายขึ้นทั้งๆ ที่ยังคุกเข่าอยู่ที่เดิม รอคอยจี้หยวนถามด้วยความกังวลอยู่บ้าง กลับเห็นอีกฝ่ายยิ้มขึ้น
“แม่นางไป๋ เล่าประวัติของเจ้าที บอกข้าหน่อยว่าเจ้ากับโจวเนี่ยนเซิงผู้นั้นรู้จักกันได้อย่างไร แล้วรักฝังลึกกันเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าก็เป็นผู้ที่ชอบฟังเรื่องเล่าเหมือนกัน”
ไป๋รั่วมองจี้หยวน เห็นเขามีสีหน้าจริงจัง
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง สงบจิตใจได้แล้วค่อยหวนรำลึกและเอ่ยปากอย่างเชื่องช้า
ลมฤดูหนาวพัดเข้ามาในห้องใต้หลังคาผ่านประตูที่เปิดกว้าง ทำเอาผ้าม่านข้างในพัดพลิ้ว และทำให้จอนผมของไป๋รั่วปลิวไสวเช่นกัน
“หกสิบกว่าปีก่อนบนภูเขารกร้างทางใต้มีปีศาจที่ไม่รู้ว่าใช้วิธีการใดให้ได้มาซึ่งยาลี้ลับ เมื่อเซียนสวรรค์รู้เข้าก็ขี่เมฆตามไปถึงพื้นที่รกร้างทางใต้ ตอนนั้นยังมีเซียนกระบี่สองคนจากเขากระบี่อยู่ด้วย บวกกับเซียนสวรรค์นับนิ้ว ปีศาจตนนั้นแน่นอนว่าหนีไม่รอด สุดท้ายถูกจับกลับสวรรค์ ไม่รู้เหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วถูกสังหารหรือจองจำอยู่ในเจดีย์ขังปีศาจ…”
ไป๋รั่วลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ
“ทว่าหลายปีให้หลังยังคงมีเซียนสวรรค์ไปค้นหาพื้นที่รกร้างทางใต้ จากนั้นข่าวลือที่ว่ายังหายาลี้ลับไม่พบก็แพร่สะพัดไป เป็นเหตุให้ปีศาจในพื้นที่รกร้างทางใต้วุ่นวาย มีปีศาจจำนวนหนึ่งกินยาอายุวัฒนะ ก้าวหน้าในมรรควิถี ประกาศตนเป็นราชาปีศาจ หลังจากนั้นอีกยี่สิบกว่าปีก็รุนแรงขึ้นเรื่อย ภายใต้เปลวเพลิงปีศาจอาละวาด ถึงขนาดมีกลุ่มปีศาจก่อจลาจลในอาณาจักรเล็กๆ บนพื้นที่รกร้างทางใต้ เกิดเหตุการณ์น่าเวทนามากมายขึ้น…สุดท้ายกรรมตามสนอง เทพภูเขาพิโรธหนัก จวนเซียนทุกหนแห่งลงมือ วิทยาราชแห่งพระพุทธศาสนาก็ปรากฏตัว กลุ่มปีศาจหนาวสะท้าน ไม่รู้ว่ามีผู้รอดชีวิตเท่าไร…”
ยิ่งไป๋รั่วเล่าเรื่อง จี้หยวนยิ่งขมวดคิ้วมุ่น ไป๋รั่วบรรยายครบถ้วนมาก ภายใต้การทับซ้อนกันของตาทิพย์และโลกในเขตแดน ราวกับตรงหน้าปรากฏภาพปีศาจภูเขาหลายหมื่นตนอาวะวาดตรงพื้นที่รกร้างทางใต้ ปีศาจที่เคยต่างคนต่างฝึกปราณก่อความวุ่นวายเพราะยาลี้ลับหม้อเดียว ทำเอาปราณปีศาจตลบอบอวลไปทั่วทุกสารทิศ
และการหนีเตลิดเปิดเปิงหลังจากนั้นก็เหมือนแพร่ปราณชั่วร้ายออกไป ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วดีหรือร้าย จี้หยวนนึกถึงแผ่นป้ายไม้ชิ้นเล็กของตนเอง เนื้อหาในนั้นเป็นสัญญาณไม่ดีอย่างหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด
“เพราะข้าถูกลากไปเกี่ยวพันด้วยในที่สุด จึงต้องข้ามเขาข้ามน้ำมาเป็นพื้นเป็นหมื่นลี้ถึงต้าเจิน ตอนนั้นข้าได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ปราณดั้งเดิมเสียหายไปมาก แต่หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ไม่กล้าทำอะไรโดยไม่คิด ยิ่งไม่กล้าทำร้ายคน…จากนั้นข้าได้พบกับท่านโจวที่กำลังเข้าเมืองมาสอบ จึงใช้แผนหญิงงามเข้าไปในขบวนรถม้าของเขา เพื่อหลบเลี่ยงเจ้าที่ทั่วทั้งต้าเจิน และยังมีความคิดชั่วร้ายอยู่เล็กน้อย…”
ส่วนหน้าล้วนเป็นที่มาที่ไป๋รั่วเล่าถึงตัวเอง ตอนนี้ถึงช่วงความรักระหว่างนางกับโจวเนี่ยนเซิงแล้ว
“ตอนนั้นบัณฑิตโจวสนใจข้า อยากได้ตัวข้าไปครอบครอง แต่กลับไม่เคยแตะต้องข้าเลย บอกเพียงจะต้องแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณีเท่านั้น…”
บนใบหน้าไป๋รั่วเผยสีหน้าอ่อนโยน
“เขาดีกับข้ามากจริงๆ ในฐานะที่เป็นปีศาจ ข้าไม่เคยรู้สึกถึงความรักที่ห่วงใยและจริงใจเช่นนั้นมาก่อน อีกทั้งทุ่มเทเงินซื้อสมุนไพรล้ำค่าทุกอย่างให้ข้า ทำเอาข้าหลงใหล และมีวันหนึ่งที่ข้าเปิดเผยเท้ากวางโดยไม่ทันระวัง…”
พอถูดถึงตรงนี้ สีหน้าของไป๋รั่วมีทั้งความรู้สึกโกรธและอยากหัวเราะ ความใคร่รู้ของจี้หยวนจึงเพิ่มมากยิ่งขึ้น
“เดิมทีคิดว่าท่านโจวจะต้องกลัวแน่นอน แต่ตอนนั้นข้าลงมือฆ่าเขาไม่ได้แล้ว คิดเพียงจะไปจากเขา แต่ไม่คิดเลยว่าเขา…แค่ตกใจอยู่ครู่เดียวเท่านั้น ทว่าหลังจากนั้นไม่ส่งเสียงร้องเลยสักแอะ ถามข้าว่า ‘ปีศาจให้กำเนิดลูกกับข้าได้หรือไม่’…ฮ่าๆ…”
ไป๋รั่วหัวเราะอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าขึ้นสีแดงเล็กน้อย
จี้หยวนกลับรู้สึกว่าเหลือเชื่อ มองไม่ออกเลยว่าโจวเนี่ยนเซิงผู้ชราในวันนี้จะมีความกล้าเช่นตอนนั้น นี่เป็นความกล้าหรือความโง่กันแน่นะ คาดว่าคงเหนือชั้นกว่าพี่ใหญ่สวี่เซียน[1]กระมัง
“ตอนนั้นคำถามนี้ทำให้ข้างุนงงอยู่นานทีเดียว…คืนนั้นข้าถึงได้รู้ว่าพวกข้ารู้จักกันมากกว่าครึ่งปีแล้ว ท่านโจวสังเกตเห็นว่าข้าผิดปกติอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน ทีแรกก็เคยกลัว แต่พบว่าข้าไม่มีทางทำร้ายเขา กลับปฏิบัติกับเขาอย่างอ่อนโยน ความกลัวจึงค่อยๆ จางหายไป จนถึงคืนนั้นความจริงแล้วก็แค่ตกตะลึงเล็กน้อยเท่านั้น…”
“หลังจากรู้ว่าความจริงแล้วข้าเป็นกวางขาวตัวหนึ่ง ท่านโจวยิ่งเบิกบานใจอยู่บ้างอย่างน่าประหลาด บอกว่าที่บ้านเกิดของเขานั้นกวางขาวถือเป็นสัตว์มงคล อีกทั้งมีเรื่องเล่าว่าคนหลงป่าเจอกวางขาวแล้วจะหลุดพ้นจากสถานการณ์ลำบาก เช่นนั้นแล้วจึงไม่กลัวข้าโดยสิ้นเชิง…”
บนใบหน้าของไป๋รั่วคล้ายกับยังคงมีความฉงนในปีนั้น ด้วยไม่รู้เพราะเหตุใดเพียงตนเองเป็นกวางขาว ท่านโจวก็ไม่กลัวนางแล้ว
กลับเป็นจี้หยวนที่คิดอะไรได้ โจวเนี่ยนเซิงผู้นั้นอาจจะแค่หาข้ออ้างให้ตัวเองสบายใจกระมัง
“จากนั้นท่านโจวไม่ได้เข้าร่วมการสอบขุนนางระดับสูง พวกข้าแต่งงานและอาศัยอยู่ที่เมืองหลวง…”
ทันใดนั้นสีหน้าสุขใจของไป๋รั่วก็เปลี่ยนเป็นโศกเศร้า
“เขาไม่รู้ ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน หลังจากแต่งงานแล้วพวกข้าไม่รู้จักควบคุม ที่จริงแล้วทำลายปราณดั้งเดิมของท่านโจวไป…”
จี้หยวนถามทันทีในตอนนี้
“สังเกตได้หลังจากนั้นแล้ว เขาถึงแต่งภรรยาอื่นเป็นอนุหรือ”
ไป๋รั่วชะงักไป ทว่าส่ายหน้า
“ไม่ใช่ เพราะร่างปีศาจของข้าไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ เขาถึงได้แต่งกับมนุษย์สตรีคนอื่น ว่ากันว่าความกตัญญูมีสามประการ และการไม่มีทายาทสืบสกุลถือว่าอกตัญญูอย่างถึงที่สุด ข้าไม่หวังให้ตระกูลโจวจบสิ้นและไม่ยินยอมเช่นกัน”
เยี่ยม ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง
เพราะสังคมศักดินาดังคาด…จี้หยวนอยากแขวะ แต่ก็เข้าใจว่านี่ก็คือสังคมในตอนนี้
“ประมาณเจ็ดหรือแปดปีหลังจากนั้น ในที่สุดข้าก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ถึงแม้ก่อนหน้านี้ข้าจะไม่เคยทำเรื่องไม่ดีกับท่านโจว ตอนร่วมรักกันก็พยายามคุ้มครองเขาอย่างสุดความสามารถ ยิ่งปกปิดปราณปีศาจไม่ให้แปดเปื้อนไปถึงเขาแม้สักนิดเดียว ทว่าปราณดั้งเดิมของเขายังคงรั่วไหล อายุขัยไม่มั่นคง ตอนนั้นข้าร้อนใจยิ่งกว่าตอนอยู่บนภูเขาของพื้นที่รกร้างทางใต้เสียอีก เริ่มเสาะหาหนทางที่จะช่วยรักษาเขาได้ไปทั่วทุกที่…”
แต่จี้หยวนกลับฟังแล้วสบายใจมาก เรื่องราวที่อัดแน่นไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกของไป๋รั่วเป็นความรักระหว่างคนและปีศาจอย่างแท้จริง ถึงขนาดไม่อาจนับได้ว่าเป็นโศกนาฏกรรมรัก มีจุดจบที่สมบูรณ์แบบอยู่ในที
ถึงจะอยู่ท่ามกลางมนุษย์ แต่มีความรักฉันท์สามีภรรยาที่เทียบได้กับไป๋รั่วและโจวเนี่ยนเซิงมากน้อยเท่าไรกัน
ไป๋รั่วเล่าจบแล้วเหม่อมองไปทางตรอกศาลเจ้าตลอด ไม่รู้ว่าเหตุใดเล่าเรื่องจบแล้วกลับรู้สึกซึมเซา ด้วยคิดว่าหากตอนนั้นไม่หนีจะดีกว่านี้หรือไม่
ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ใจ
“ไม่ตายก็ถือเป็นเรื่องดีแล้ว! ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรมีเพียงข้าที่รู้ ยิ่งไม่ควรหายไปจากประวัติศาสตร์ด้วย!”
จี้หยวนพูดออกไปเพราะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ อาจปรับแก้รายละเอียดให้อาจารย์อิ๋นเขียน ‘ตำนานรั่วเหนียง’ เป็นอย่างไร
ทว่าถึงคิดถึงตรงนี้ ดึงสติกลับมาแล้วจี้หยวนพบว่าไป๋รั่วคุกเข่าหมอบกราบอยู่ตรงหน้าตนเองอีกครั้ง ท่าทางนบนอบ ไม่มีความคิดจะลุกขึ้น
“แม่นางไป๋รั่ว เจ้าทำอะไร”
ไป๋รั๋วโขกศีรษะเสียงดัง ไม่ยอมลุกขึ้น
“ท่านเซียน ไป๋รั่วรู้ว่าท่านเป็นผู้มีพลังของเทพ ชาตินี้ข้าไม่ต้องการฝึกปราณแล้ว ข้าไม่อยากได้มรรคแล้ว!”
นางเงยหน้าขึ้น บนใบหน้าแขวนไว้ด้วยน้ำตาใสๆ สองสาย
“ข้าอยากไปศาลมืดของเทพหลักเมืองจังหวัดจิงจี ขอท่านส่งข้าไปด้วยเถอะ ข้าหนีออกมาก่อนหน้านี้ หากตอนนี้กลับไปเองต้องถูกตีจนวิญญาณแตกสลายคาที่เป็นแน่ ขอท่านส่งข้าไปด้วยเจ้าค่ะ และขอให้ท่านพูดกับใต้เท้าเทพหลักเมือง ให้ข้าได้อยู่เคียงข้างท่านโจวจนกว่าจะหมดอายุขัย ถึงเวลานั้นขัดเกลาวิญญาณปีศาจของข้าหรือจะทำอย่างอื่น ข้าล้วนเชื่อฟังให้ศาลมืดจัดการ!”
ตึงๆๆ…
นางโขกศีรษะอีกครั้ง หน้าผากกระแทกบนพื้นไม้ห้องใต้หลังคาจนเกิดเสียงอย่างต่อเนื่อง
“ไป๋รั่วรู้ว่าคำขอนี้มากเกินไป แต่ข้าขอร้องใครไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงขอร้องท่านเซียนเท่านั้น ท่านเซียนได้โปรดช่วยข้าด้วย…ตึงๆๆ…”
จี้หยวนงุนงงอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าควรตอบสนองสตรีที่อยู่ตรงหน้าอย่างไรไปชั่วขณะ สิ่งที่เขานึกได้เป็นอันดับแรกไม่ใช่ยินยอมทำเรื่องยุ่งยากอย่างเจรจากับเทพหลักเมืองหรือไม่ แต่เป็นการบ่นเสียงหนึ่ง
“เพียงขอจันทร์ให้ได้อยู่เคียงข้างกัน เพียงอิจฉายวนยางไม่อิจฉาเซียน…”
[1] สวี่เซียน ชื่อของพระเอกในเรื่องนางพญางูขาว