ตอนที่ 139 ลักขื่อเปลี่ยนเสา
ถึงแม้ไป๋รั่วจะร้องขอด้วยความจริงใจเพียงใด แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่นางพูดออกมา
จี้หยวนถอนหายใจ รู้สึกได้ถึงความยากลำบากในทันที
“เจ้าลุกขึ้นปรับปราณดั้งเดิมที่โกลาหลให้สงบสักหน่อย ให้ข้าคิดใคร่ครวญดูก่อน”
เห็นนางยังคงคุกเข่า จี้หยวนจึงจงใจพูดเสียงเย็นขึ้นระดับหนึ่ง
“ทำไม ข้าไม่ช่วยเจ้า เจ้าเลยไม่ลุกขึ้นหรืออย่างไร”
เสียงของเซียนตรงหน้าเปลี่ยนไปแล้ว ทำให้ไป๋รั่วไม่กล้าชักช้า รีบลุกขึ้นยืน และไม่กล้าออกจากวงล้อมของตัวอักษร ‘ซ่อน’ รอบกาย นั่งลงที่เดิมและปรับลมหายใจ ควบคุมปราณปีศาจ ปรับหางขาดที่เชื่อมเข้ากับร่างกายเมื่อครู่นี้ให้มั่นคง
แม้จะใช้วิชาปีศาจตัดหางเส้นนี้ไป และไม่ได้ถูกทำลายทิ้งโดยสิ้นเชิง แต่หากผ่านไปนานแล้วยังไม่มั่นคงก็คงจะต้องบาดเจ็บเพราะหางขาดแล้วจริงๆ
สำหรับไป๋รั่วแล้ว ตอนนี้นางอยู่ในภาวะคาดหวังจนเป็นกังวล แต่สำหรับจี้หยวนก็มีความรู้สึกว่าสุดท้ายเรื่องยุ่งยากก็ตกมาถึงตัวเอง
นี่คือผลลัพธ์ของการยุ่งไม่เข้าเรื่อง แต่เรื่องนี้หากให้เขาเลือกอีกครั้งหนึ่ง แปดส่วนก็ยังคงจะเข้าไปยุ่งอยู่ดี เขาคนแซ่จี้เพียงกลัวว่าตนเองจะเข้าไปยุ่งช้าเกินไป หากมาเร็วกว่านี้สักห้าหรือสิบปีก็คงจะดี แต่นี่เป็นชะตาฟ้าลิขิตเช่นเดียวกัน และเขาไม่หวังให้ย้อนเวลากลับไป เพราะตอนนั้นตนเองยังไม่ได้มาอยู่ที่โลกนี้เลย
การพาแม่นางกวางขาวไปที่ศาลเทพหลักเมืองจี้หยวนไม่มีทางทำแน่นอน เมื่อครู่ไป๋รั่วเพิ่งสร้างความวุ่นวายในศาลมืด ตอนนี้หากจี้หยวนพานางไปมอบให้ศาลมืด นั่นน่าเศร้าเกินไปแล้ว
เขาสงบจิตใจหาข้อสรุป รูปปั้นเทพมีปราณเพลิงสามส่วน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิญญาณเทพของจังหวัดหลักในต้าเจิน ต่อให้ความเป็นไปได้ในการวิวาทจะไม่มาก ทว่าต้องมีสีหน้าไม่น่ามองอย่างแน่นอน
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอย่างหนัก จี้หยวนขมวดคิ้วจนหว่างคิ้วยับย่น ไม่เพียงใคร่ครวญคำขอของไป๋รั่วเท่านั้น ยังคิดด้วยว่าทำอย่างไรถึงจะเป็นผลดีที่สุด
ในใจของจี้หยวนนั้น ปีศาจอย่างไป๋รั่วมีความจริงใจแล้ว มุมมองที่มีต่อสิ่งมีชีวิตไม่ใช่มุมมองของปีศาจทั่วไปอีกต่อไป จี้หยวนกลับหวังให้นางได้มรรค
ทันใดนั้นจี้หยวนพลันเกิดความคิดบรรเจิด รีบมองไปยังแม่นางกวางขาวที่ปรับปราณวิญญาณรอบกายอย่างระมัดระวังและเชื่องช้า
“เจ้าไปศาลมืดเลยเถอะ เทพหลักเมืองจังหวัดจิงจีอาจไม่เติมเต็มปรารถนาของเจ้า เกียรติของเจ้าก็ไม่ได้มากขนาดนั้น มันเสี่ยงและไม่คุ้มกับการทำลายการฝึกปราณ”
ไป๋รั่วฟังคำของจี้หยวนแล้ว ใบหน้าง้ำงอทุกข์โศกพูดไม่ออก ทว่าจี้หยวนยังกลับคำอีก
“ทำตามความคิดเจ้าไม่เหมาะแน่ ข้ากลับมีอุบายดีๆ อีกอย่าง อาจทำให้เจ้าเข้าศาลมืดไปพบโจวเนี่ยนเซิงได้สักครั้ง อีกทั้งอาจอยู่ด้วยกันได้ช่วงเวลาหนึ่งแล้วค่อยออกมาจากศาลมืดก็ได้!”
มีวิธีแบบนี้ด้วย?
ไป๋รั่วฟังแล้วงุนงง ไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง
“ท่านเซียน…มีวิธีเช่นนั้นอยู่ด้วยหรือ”
“แน่นอนว่ามี แต่ต้องลำบากแม่นางไป๋เป็นรถเทียมวัวสักครั้งหนึ่ง อืม พวกเราก็ต้องกลบเกลื่อนเหมือนกัน ลบสถานะ ‘ปีศาจ’ นี้ของเจ้าเสีย!”
จี้หยวนยิ้มให้นาง
“รบกวนเจ้าระงับปราณตั้งแต่หัวจรดหาง อย่าปรากฏร่างเดิมต่อหน้าวิญญาณเทพ”
“ข้ากลัวถูกผู้พิพากษาตัดสินโทษ…”
ไป๋รั่วลังเลพลางตอบ แม้จะไม่เข้าใจ แต่ดูจากท่าทีจริงจังของจี้หยวนแล้ว ในใจมีความหวังขึ้นมารางๆ เช่นกัน
…
กลางดึกสงัดสองคืนหลังจากนั้น ยามสามเพิ่งพ่านพ้น ยามสี่เพิ่งมาถึง ละแวกศาลเจ้าที่ทางตะวันตกของเมืองมีคนเคาะบอกเวลาเดินผ่าน
เครื่องเคาะบอกเวลาดังช้าหนึ่งครั้ง ดังถี่สามครั้ง ส่งเสียงตามจังหวะการตีของคนเคาะบอกเวลา
ตึง…ตึงๆๆ
คนเคาะบอกเวลาตะโกนว่า “อากาศหนาวเย็นนัก”
ตึง…ตึงๆๆ
“อากาศหนาวเย็นนัก”
เมื่อตะโกนแล้วหลายรอบ คนเคาะบอกเวลาจับแขนและเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า โคมไฟที่ถืออยู่ส่ายไหวเพราะการจับแขนนั้น
“ซี้ด…ฮู่…อากาศหนาวจริงๆ รีบบอกเวลาแล้วกลับไปนอนดีกว่า!”
คนเคาะบอกเวลาเดินผ่านไปได้ประมาณหนึ่งถ้วยชา ด้านนอกศาลเจ้าที่อันเงียบสงบมีเสียงย่ำพื้นชัดเจนดังมา
เสียงนี้คล้ายกับกีบม้าสัมผัสพื้น แต่กลับมีจุดที่แตกต่างกันอยู่บ้าง งดงามและสงบนิ่งกว่าอย่างชัดเจน
กวางขาวแข็งแกร่งเหมือนม้าตัวหนึ่งย่ำกีบเดินอยู่บนถนนกลางเมือง กวางไร้เขาตัวนี้มีสีขาวดุจหิมะทั่วทั้งตัว ขนของมันพลิ้วท่ามกลางลมหนาวเล็กน้อย บนตัวยิ่งทอแสงสีขาวเรืองรองบางเบา หางกวางเส้นหนึ่งขยับตามจังหวะการเดินอยู่เรื่อยๆ
จี้หยวนถือ ‘ทฤษฎีควบคุม’ ในมือ หลังแบกกระบี่เซียน ตั้งใจอ่านตำราในมืออยู่บนหลังกวาง ร่างกายของเขาขยับไหวเป็นครั้งคราว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเนื้อหาตำราเปลี่ยนแปลงไปมา หรือเพราะความโคลงเคลงจากการย่ำเดินของกวางขาว
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง กวางขาวก้าวมาถึงหน้าประตูศาลเจ้าที่แล้ว
เวลานี้ไม่มีแขกมาเยือนแน่นอน ผู้มากราบไหว้และคนทำงานในศาลนอนหลับตั้งนานแล้ว หน้าประตูศาลย่อมปิดสนิท
วินาทีที่กวางขาวหยุดอยู่หน้าประตูศาล จี้หยวนค่อยวางตำราลงและลงจากหลังกวาง ถือตำราในมือพลางประสานมือคารวะศาลเจ้าที่
“ผู้ฝึกตนมีนามว่าจี้หยวน เดินทางมากราบไหว้ท่านเจ้าที่แห่งจังหวัดจิงจี หวังว่าท่านเจ้าที่จะปรากฏตัวให้เห็นสักครั้ง!”
เสียงพูดดังเข้าไปถึงข้างใน ประมาณสี่หรือห้าลมหายใจต่อมา บนพื้นดินมีควันสะอาดม้วนลมเอื่อย ชายในชุดผ้าไหมร่างสูงใหญ่กำยำปรากฏต่อหน้าจี้หยวน
เขาตัวใหญ่มาก หนวดเคราสีดำขลับม้วนเล็กน้อย ต่อให้ไม่ได้ใส่หมวกก็ยังสูงกว่าจี้หยวนหนึ่งศีรษะ ดูจากดวงตาสีดำทมิฬแล้วไม่มีทางใช่ผีสางเทวดาทั่วไป แต่เป็นวิญญาณเทพภูผาวารีที่ฝึกตนตามครรลองและได้รับกำยาน
‘ว้าว…รูปโฉมนี้ต่างจากภาพลักษณ์ของเจ้าที่ไปไกลโข…’
จี้หยวนเพิ่งเคยเห็นเจ้าที่แห่งจังหวัดจิงจีเป็นครั้งแรก แรงกระแทกจากการเห็นด้วยตาตัวเองยิ่งใหญ่นัก
เจ้าที่ก็พิจารณาจี้หยวนเช่นกัน ผู้มาเยือนสวมเสื้อสีพื้น ผมปักปิ่นสีดำ ดูไม่ออกว่ามีพลังหรือแสงเทพอะไร แต่มรรควิถีไม่ด้อยแน่นอน ดวงตาสีเทาคู่นั้นไร้ระลอกคลื่นเหมือนบ่อน้ำโบราณ คล้ายกับมองทะลุฤดูกาลได้ อีกทั้งขี่กวางขาวได้นั้นไม่ธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด มีท่วงทำนองวิญญาณเซียนเพิ่มขึ้นโดยปริยาย
เห็นจี้หยวนยังคงคารวะ เจ้าที่จึงคารวะตอบจี้หยวนบ้าง
“ไม่ทราบว่าสหายฝึกมรรคเซียนมาหาข้าด้วยธุระใด”
จี้หยวนมีสีหน้านบนอบ มองกวางขาวข้างหลังแล้วตอบเจ้าที่
“ข้าคนแซ่จี้มาสารภาพผิดกับท่านเจ้าที่ เรื่องนี้พูดแล้วยาวนัก หาที่เงียบๆ ในศาลค่อยๆ เล่าได้หรือไม่”
เจ้าที่พิจารณาพวกเข้าอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นพยักหน้าเล็กน้อย ผายมือไปทางกำแพงศาล ย่อมมีแสงธรรมอยู่เหนือพื้นดิน
“เชิญ ไปคุยกันบนจวนของข้าเถอะ”
เดินตามเจ้าที่ไปข้างหน้า ผ่านแสงธรรมเหนือพื้นดินมายังจวนเจ้าที่ซึ่งอยู่ลึกลงไปถึงชั้นสิบ หลังจากดำดินด้วยเวลาอันสั้นอย่างน่าประหลาด จี้หยวนค่อยเอ่ยปากต่อหน้าเจ้าที่
เขาเล่าว่ากวางขาวมักได้ฟังเรื่องราวความรักจาก ‘ตำรานอกรีต’ ที่เขาอ่านอยู่เสมอ เกิดเป็นความประทับใจ จึงถือโอกาสตอนที่เขาไม่สนใจ จากไปสืบค้นว่าสิ่งที่เขาเล่านั้นเป็นความจริงหรือไม่ท่ามกลางหมู่มนุษย์
จี้หยวนเปลี่ยนรายละเอียดเนื้อเรื่องเล็กน้อย แต่ความจริงของเรื่องกลับไม่เปลี่ยนแปลง ความรักระหว่างคนและปีศาจเปลี่ยนเป็นความรักระหว่างคนและกวางเซียน ความจริงสะเทือนใจไม่ลดน้อยลงสักนิด แต่จุดที่น่าสงสารกลับเพิ่มขึ้นมา ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น นี่คือกวางเซียน และ ‘ด้านบนมีคน’
เขาเล่าอย่างเชื่องช้าบ้าง รวดเร็วบ้าง ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ถึงปรับแก้เรื่องราวเสร็จ ระหว่างนั้นกวางขาวซึ้งใจจนหลั่งน้ำตาอยู่หลายครั้ง เจ้าที่เห็นกับตา
“ขอพูดตามตรงไม่ปิดบัง ข้าเองก็เพิ่งตามเจอร่องรอยของกวางขาว หลายสิบปีมานี้นางนับว่าขาดการฝึกตน ทำให้ยังเหลือปราณปีศาจอยู่บางเบา ทว่าหัวใจกลับไม่เคยคิดทำร้ายมนุษย์ ข้าคนแซ่จี้ทนเห็นกวางขาวตัดขาดหนทางแสวงมรรคเช่นนี้ไม่ได้ จึงถือวิสาสะขัดขวางท่านเจ้าที่และช่วยนางกลับมาในตอนนั้น บัดนี้นางคิดถึงสามีสุดหัวใจ…”
จี้หยวนถอนใจและบอกคำขอของกวางขาวไปทั้งหมด
เจ้าที่ฟังจบแล้วไม่พูดจาอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะมองกวางขาวที่ยังคงมีคราบน้ำตา
“เฮ้อ…หมายความว่าแม่นางไป๋ผู้นี้ยอมถูกหาว่าเป็นปีศาจร้าย อยากเข้าไปอยู่กับโจวเนี่ยนเซิงผู้นั้นในศาลมืดจนกว่าจะสิ้นอายุขัย จากนั้นต่อให้ถูกขัดเกลาวิญญาณก็ไม่เสียดายหรือ”
“ถูกต้อง!”
จี้หยวนยิ้มขื่นพลางส่ายหน้า ปากไม่ได้ปฏิเสธ จากนั้นเขาพูดอีกว่า
“เพียงขอจันทร์ให้ได้อยู่เคียงข้างกัน เพียงอิจฉายวนยางไม่อิจฉาเซียน เฮ้อ!”
เจ้าที่ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้รากไม้ดื่มชาใสบนโต๊ะอึกหนึ่ง
“ข้าเห็นความรักระหว่างมนุษย์มามากนัก แต่หลายปีมานี้เรื่องรักที่เทียบได้กับกวางเซียนไป๋รั่วกลับมีให้เห็นไม่เท่าไร ท่านจี้ก็ไม่อยากให้กวางขาวสิ้นทางมรรคเช่นนี้กระมัง”
จี้หยวนยิ้มขื่นอีกครั้ง
“หากไม่ใช่เช่นนี้ ไยข้าคนแซ่จี้ต้องแบกหน้ามาร้องขอด้วยเล่า ทางมรรคยากนักจะได้มา รักแท้ยิ่งยากกว่าจะมาถึงตัว หวังว่าท่านเจ้าที่จะไปที่ศาลเทพหลักเมืองกับข้าคนแซ่จี้ เป็นเทพเหมือนกัน ทางนั้นน่าจะไว้หน้าท่านเจ้าที่บ้าง”
วิญญาณเทพอย่างเจ้าที่ผู้กพันกับภูผาธารา มีเมตตากับสรรพสัตว์เป็นอย่างยิ่ง แม้จะมีอคติกับปีศาจอยู่บ้างก็ตาม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกวางเซียนในตอนนี้
เจ้าที่ถอนหายใจหลายครั้งและมองใบหน้ากวางขาว จี้หยวนดูออกเลยว่าสำเร็จแล้ว!
[1] ลักขื่อเปลี่ยนเสา หมายถึง การดึงกำลังสำคัญของฝ่ายตรงข้ามมาเป็นของเรา โดยควบคุมให้อยู่ใต้การบังคับบัญชา