ตอนที่ 146 รวมตัวกัน
หมากในมือยิ่งมากย่อมดีกว่า ตู้เหิงกลายเป็นหมากได้ถือเป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง แต่จี้หยวนก็ไม่มีความคิดตั้งใจเสาะหาอีกแปดคน
เขาย่อมขอให้กลายเป็นหมาก ผู้ที่กลายเป็นหมากได้ต้องมีจุดพิเศษเป็นทุนเดิม พูดตามตรงยังต้องมีวาสนาด้วย ข้อตกลงระหว่างเจ้าภูเขาลู่และจอมยุทธ์ทั้งเก้าในตอนนั้นจะไม่ใช่หนึ่งในวาสนาได้อย่างไรเล่า
“นี่ๆๆ…วางหมากอย่าเสียดายๆ!”
“เปล่าเสียหน่อย เมื่อครู่ข้าใจลอย หมากเมื่อครู่ไม่นับแล้ว ไม่นับ!”
ชายชราสองคนข้างๆ เริ่มเถียงกัน ดึงความคิดของจี้หยวนกลับมา
คนหนึ่งจะถอนหมาก ทว่าอีกคนไม่ยอมนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่สองวันนี้จี้หยวนชอบดูชายชราสองคนลงหมากเป็นพิเศษ เพราะพวกเขาทั้งคู่เป็นยอดฝีมือทางหมากอย่างแท้จริง ประเภทที่มองดูทั้งร้านหมากแล้วไม่มีใครสู้ได้ กระนั้นหมากกระดานนี้ก็พูดยากแล้ว
เมื่อเจอเหตุการณ์คนหนึ่งอยากถอนหมาก แต่อีกคนไม่ยอมให้ถอน สองคนนี้จะมีวิธีแก้ปัญหาที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง
“เอาละๆ ไม่เถียงกับเจ้าแล้ว ข้าจัดการเอง!”
“ก็เอาสิ!”
ดังนั้นทั้งสองคนเลิกเถียงกันในทันที ลงหมากตามสถานการณ์ในตอนนี้ไปเรื่อยๆ
สำหรับยอดฝีมือแล้ว เวลาในการลงหมากต่อไปอาจยาวนานมาก บางครั้งวันหนึ่งลงหมากได้แค่สองสามตัว สถานการณ์ในตอนนี้ก็เช่นกัน หมากกระดานนี้ของทั้งสองคนนั้น กว่าจะลงจนจบได้ก็ใช้เวลาครึ่งชั่วยามกว่าแล้ว
ชายชราที่คิดถอนหมากพยายามอยู่ตลอด ส่วนคนที่ไม่ให้ถอนหมากกลับไม่อ่อนข้อให้สักนิด เมื่อลงหมากไปเรื่อยๆ คนนอกเห็นแล้วแบ่งแยกชัยชนะได้ ทว่าสองคนอยู่ในสภาวะโมโห ไม่ยอมลงหมากจนจบกระดาน
จี้หยวนมองซ้ายมองขวา ตอนนี้คนที่ล้อมเข้ามาดูหมากเพิ่มมากขึ้นแล้ว เพราะทุกคนล้วนรู้ว่าเรื่องสนุกกำลังจะเริ่มขึ้น
“ฮ่าๆๆๆ…เป็นข้าชนะ แล้วจะให้เจ้าถอนหมากได้อย่างไรเล่า”
“หึๆ เอาใหม่ๆ!”
ชายชราสองคนตีฝีปากกัน ครั้นเก็บตัวหมากแล้วเริ่มหมากกระดานใหม่ กลับคืนสู่จุดที่เถียงกันว่าจะถอนหมากก่อนหน้านี้ ทว่าตอนนี้เป็นสถานการณ์ยอมให้
“เอาละ หากเมื่อครู่ข้าไม่ได้ใจลอยลงหมากผิด เจ้าต้องตายเป็นแน่แท้!”
“ขี้โม้! คอยดูเถอะ!”
พวกเขาเริ่มลงหมากตามสถานการณ์อีกรูปแบบหนึ่ง ครั้งนี้ทางหมากเริ่มแตกต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง กลายเป็นชายชราอีกคนหนึ่งโมโหมาก ส่วนอีกคนหนึ่งรับมืออย่างระมัดระวัง อารมณ์ปรวนแปรน่าสนุกมาก
สำหรับคนที่ชมหมากแล้ว การเปลี่ยนแปลงของความเป็นไปได้ทั้งสองยอดเยี่ยมเหมือนกัน ถึงขั้นขับเคลื่อนความรู้สึกของผู้ชมหมากได้
นี่อาจจะน่าเบื่อสำหรับคนที่ไม่ชอบหมากล้อม อย่างไรเสียบางครั้งก็ใช้เวลานานมากกว่าจะเห็นอีกฝ่ายลงหมาก มองดูแล้วน่าเบื่อ แต่คนที่นี่ล้วนชอบหมาก การต่อสู้ดิ้นรนบนกระดานหมากก็คือสงครามที่ไร้เสียง วิธีในการประมือกันจึงมีสีสันน่าสนใจมาก
ในสายตาของจี้หยวน ทางหมากของชายชราสองคนแตกต่างกัน เนื่องจากคนอื่นเห็นกระดานหมากรุกที่มีเส้นแนวตั้งและแนวนอนสิบเก้าเส้น ดังนั้นหมากขาวดำจึงแข่งขันกันมากกว่าสามร้อยแต้มแล้ว แต่ในสายตาของเขากลับไม่ใช่เช่นนั้น
กระดานหมากไม่ได้ทับซ้อนกับความคิดในจิตใจตลอดเวลา ขอบเขตที่หมากขาวดำกระจายตัวไปได้ก็ไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งที่ต้องแย่งชิงไม่ใช่ปราณเล็กน้อยอีก ตอนหมากสองตัวสูสีกันบนกระดานหมาก หยินหยางเปลี่ยนแปลงปรากฏอยู่ตรงกลาง กระบวนการต่อสู้ระหว่างหมากขาวดำของชายชราทั้งสองก็ฉายกระบวนการก่อเกิดซึ่งกันและกันในสายตาของจี้หยวนเช่นกัน
ดังนั้นสิ่งที่จี้หยวนได้ประสบคือความมหัศจรรย์ของระดับทั้งสอง หนึ่งคือหมากล้อมตามกฎเกณฑ์ทั่วไป สองคือทางหมากในเขตแดน ความตื่นเต้นของประสบการณ์นั้นย่อมมากกว่าคนอื่นส่วนหนึ่ง
จนสุดท้ายแล้วชายชราอีกคนหนึ่งเป็นฝ่ายชนะ ทั้งสองคนจึงต่อปากต่อคำกันยกหนึ่ง ผู้มีใจรักในหมากล้อมข้างๆ ก็วิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน
“ไม่เล่นแล้วๆ วันนี้วันที่สามสิบ ต้องกลับบ้านเร็วหน่อย”
“ใช่ ข้ายังไม่ได้ซื้อกลอนคู่เลย!”
“หาบัณฑิตเตรียมสอบขุนนางเขียนให้สิ เลือกความหมายดีๆ!”
“ใช่ๆ!”
มีคนในร้านหมากสนทนากันพลางเดินจากไป
ตั้งแต่จี้หยวนดึงสติจากทางหมากก่อนหน้านี้ได้ เขามองดูในร้านหมาก มีคนเดินออกไปหลายคนแล้วโดยไม่รู้ตัว เพิ่งดูหมากไปได้ไม่กี่ตา เวลากลับคล้อยบ่ายเสียแล้ว พนักงานร้านหมากกำลังเก็บถ้วยชา กระดานหมาก และข้าวของอื่นๆ ผู้ดูแลร้านกำลังติดกลอนคู่แขวนโคมแดงตกแต่งร้านหมากอยู่ด้วย
“ท่านจี้ ให้ข้าประมือกับท่านสักตาดีหรือไม่”
หลงจู๊ร้านหมากประดับกวานทรงสี่เหลี่ยมบนศีรษะ เดินเข้ามาเสนอตัวกับจี้หยวนอย่างมีไมตรี
ทำแล้วถึงจะรู้ แม้หลงจู๊ร้านหมากจะไม่เคยเห็นท่านจี้ผู้นี้ลงหมากสักเท่าไร แต่คิดว่าเขาจะต้องเป็นยอดฝีมือทางหมากอย่างแน่นอน
เพราะกลิ่นอายของคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ทำให้หลงจู๊รู้สึกสนใจอยู่บ้างอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ร่วมกันชมหมากอยู่หลายครั้งโดยบังเอิญ เห็นสีหน้าของท่านจี้ยามชมหมากเปลี่ยนไปเล็กน้อย จึงมีความรู้สึกว่ารู้สถานการณ์ดีกว่าผู้เล่นสองคนเสมอ ทว่าฝีมือลงหมากของท่านจี้ผู้นี้อยู่ในระดับไหนก็ไม่แน่ใจ อย่างไรเสียในร้านหมากแห่งนี้เหมือนจะไม่มีใครทำให้เขาสนใจลงมือได้ ส่วนชายชราสองคนนั้นทำให้เขาสนอกสนใจชมอยู่นานเท่านั้นเอง
“ไม่ดีกว่า ฝีมือหมากของข้าน้อยย่ำแย่และน่าเกลียด วันนี้วันที่สามสิบแล้ว หลงจู๊ไม่คิดปิดร้านเร็วหน่อยหรือ”
จี้หยวนปฏิเสธแล้วถามไปตามมารยาท จะเปิดกิจการอย่างร้านหมากเปิดได้ต้องเป็นคนรวยอย่างแท้จริง เพราะต้องไม่เสียดายเงิน หลงจู๊ผู้นี้เป็นผู้รักในหมากรุก ถึงแม้มีกิจการอื่นแต่กลับใช้เวลาที่ร้านหมากมากที่สุด บางครั้งเจอผู้มีฝีมือในการลงหมากก็จะมอบชาและเมล็ดแตงโมให้ อีกทั้งบันทึกหมากให้โดยไม่คิดเงิน
หลงจู๊ฟังแล้วมองไปรอบๆ เห็นว่ายังมีเจ็ดหรือแปดโต๊ะที่ยังคงลงหมากอยู่
“ให้ผู้ดูแลร้านคอยดูแล อย่างไรก็ต้องลงคนลงหมากเสร็จก่อน ข้าจะไปซื้อกลอนคู่ใหม่ที่มุมถนนดาวบุ๋นสักหน่อย”
“บังเอิญข้าคนแซ่จี้รู้จักบัณฑิตก้งซื่อผู้หนึ่งที่เก่งกาจมาก เขาตั้งแผงอยู่ตรงถนนนี้เอง หลงจู๊จะไปดูด้วยกันก็ได้!”
คำแนะนำของจี้หยวนตรงใจของหลงจู๊ กอปรกับอยากทำความรู้จักท่านจี้ผู้นี้อยู่แล้วจึงตอบตกลง มุ่งหน้าไปยังถนนดาวบุ๋นด้วยกัน
ความจริงแล้วแต่แรกเริ่มถนนดาวบุ๋นเป็นชื่อเรียกของชาวบ้าน ต่อมาค่อยๆ แพร่หลายขึ้น เพราะบัณฑิตที่มาสอบขุนนางหลายคนจะตั้งแผงหาเงินอยู่ทั่วถนนเส้นนี้
ถึงแม้การสอบหน้าพระที่นั่งจะเกิดขึ้นสามปีครั้ง แต่ก็มีบัณฑิตมาที่จังหวัดจิงจีอยู่เรื่อยๆ ถนนดาวบุ๋นยิ่งรุ่งเรืองมากขึ้นเช่นกัน
ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ขายตัวอักษรเท่านั้น ยังเป็นสถานที่ที่ดีในการชื่นชมความสามารถทางวรรณกรรมของบัณฑิตก้งซื่อ หากตวัดพู่กันเขียนหนังสือไม่ได้ ใครเล่าจะกล้าตั้งแผงบ้าง
ภาพวาดและกลอนคู่ ไม่ว่าสิ่งไหนล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถของบัณฑิต ดังนั้นบัณฑิตก้งซื่อที่เข้าร่วมการสอบแม้ไม่ตั้งแผงก็จะต้องมาเดินเล่นบนถนนดาวบุ๋นอย่างแน่นอน เพื่อทำความเข้าใจความสามารถของคู่แข่ง แม้กระทั่งขุนนางที่เกี่ยวข้องกับการสอบก็มาที่นี่เป็นครั้งคราวด้วย
อิ๋นจ้าวเซียนและสื่ออวี้เซิงถึงไม่ได้ขาดเงิน ครั้งนี้ก็ตั้งแผงเช่นเดียวกัน ทว่าลายมือของสื่ออวี้เซิงนั้นธรรมดามาก กลายเป็นเขาที่เดินเที่ยวเล่น ส่วนอิ๋นจ้าวเซียนตั้งแผงเขียนตัวอักษร
ถนนไม่กว้าง รอบข้างมีโรงน้ำชา โรงเตี๊ยม หรืออาคารทรงสูงบดบัง บนถนนจึงไม่มีลมหนาวสักเท่าไร ตอนจี้หยวนและหลงจู๊ร้านหมากเดินผ่าน เห็นข้างแผงของอิ๋นจ้าวเซียนมีคนมุงอยู่หลายคนพอดิบพอดี ชายชราสองคนที่ประลองหมากกันก่อนหน้านี้ก็อยู่ตรงนั้นด้วย
“หลงจู๊ลู่ คนที่ตั้งแผงอยู่ตรงนั้นเป็นบัณฑิตก้งซื่อที่ข้าคนแซ่จี้พูดถึง เจี้ยหยวนของรัฐจี เก่งกาจทางด้านวรรณกรรม ประเด็นคือ…”
จี้หยวนพูดถึงตรงนี้พลันยิ้มขึ้น
“ข้าก็เป็นคนรัฐจีเช่นเดียวกัน รู้จักกับอิ๋นเจี้ยหยวนผู้นี้อยู่ก่อนแล้ว รู้ว่าเขามีแต่ความชอบธรรม หากขอกลอนคู่จากเขาจะมีแต่สิริมงคล ชำระล้างความสกปรกในบ้านได้”
“มีเรื่องพรรค์นี้ด้วย? เช่นนั้นคนแซ่ลู่ต้องให้เขาเขียนกลอนคู่ให้มากหน่อยแล้ว”
หลงจู๊ลู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นตามจี้หยวนเดินไปข้างหน้า
หลังจากเดินเข้าไปใกล้แล้ว เพื่อไม่ให้รบกวนอาจารย์อิ๋น จี้หยวนตั้งใจหลบไปยืนข้างๆ ส่วนหลงจู๊ลู่เข้าไปชมดูใกล้ๆ แล้ว
“ตัวอักษรดี!”
“ไม่เลวๆ ตัวอักษรนี้ดีจริงๆ!”
“ปักษากู่ร้องยินดีโลกมนุษย์เข้าสู่วสันต์ฤดู หมู่มังกรประทานโชคมงคลในศตวรรษใหม่…ยอดเยี่ยม!”
“บัณฑิตผู้นี้เป็นใครกัน”
“เก่งกาจจริงๆ!”
“ท่านผู้นี้เขียนกลอนให้ข้าสักคู่เถอะ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา!”
อิ๋นจ้าวเซียนเก็บพู่กันแล้วเป่าลมใส่กลอนคู่ที่เพิ่งเขียนเสร็จ จากนั้นนวดข้อมือที่เมื่อยขบอยู่บ้าง ข้างกายมีคนรวมกลุ่มชื่นชมมากมายโดยที่เขาไม่รู้ตัว ทำให้เขาตกใจจนสะดุ้งอยู่เหมือนกัน
“ได้โปรดรอสักครู่ เข้ามาทีละคนเถอะๆ!”
“ถึงตาข้าแล้วๆ ท่านเขียนคำอวยพรตัวใหญ่ๆ ให้ข้าที”
“ได้!”
อิ๋นจ้าวเซียนเปลี่ยนใช้พู่กันขนาดใหญ่ เขียนคำว่า ‘สิริมงคล’ ลงบนกระดาษทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ตัวอักษรอ่อนช้อยแต่กลับไม่ไร้พลัง เขียนตัวอักษรขนาดใหญ่แล้วยิ่งเห็นชัดเจนว่าเขาลายมือสวยมาก
“ตัวอักษรดี!”
“ขอบคุณท่านจริงๆ!”
อิ๋นจ้าวเซียนยิ้ม ขณะเดียวกันนึกถึงเรื่องที่คุยกับจี้หยวนในตอนนั้น จึงกำชับชายชราสักคำว่า
“ผู้อาวุโสกลับบ้านไปติดตัวอักษร นอกจากตรงประตูหลักแล้ว อย่าลืมติดตัวอักษรสิริมงคลคว่ำลงภายในเรือน”
“ติดคว่ำลง?”
“อ๋อ เรียกว่า ‘สิริมงคลมาถึง’ ?”
คนเหล่านี้เป็นผู้มีสติปัญญาไม่น้อย เข้าใจเจตนาภายในในทันที พลันมีคนกล่าวชื่นชม
ตอนที่การค้าขายของอิ๋นจ้าวเซียนดียิ่งขึ้น จี้หยวนกลับพบสหายอีกคนหนึ่ง เพียงเห็นมังกรเฒ่าในชุดหรูหราเดินมาจากอีกด้านหนึ่งของถนนดาวบุ๋น ครั้นเห็นจี้หยวนก็ประสานมือคารวะแต่ไกล อีกทั้งมีเสียงเบาๆ ดังมา
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าก่อนปีใหม่ท่านจี้ต้องยังอยู่ที่จังหวัดจิงจีแน่ เมื่อพบอิ๋นจ้าวเซียนก็จะได้พบท่าน!”
จี้หยวนยิ้มเช่นกัน มังกรเฒ่าผู้นี้วันที่สามสิบแล้วแต่กลับไม่อยู่กับครอบครัวในแม่น้ำเทียมฟ้า วิ่งมาหาเขาเช่นนี้มีธุระอะไรกัน
จากนั้นจี้หยวนมองไปอีกด้านหนึ่ง เห็น ‘คุณชายสาม’ ผู้นั้นคล้ายกับมาหาอิ๋นจ้าวเซียนเช่นกัน เดินปรี่เข้ามาทางแผงลอยของอาจารย์อิ๋นโดยมีข้ารับใช้ผู้หนึ่งนำทาง
แม้หลายฝ่ายจะไม่นับว่าเกี่ยวข้องกัน แต่จี้หยวนยังแขวะอยู่ในใจ
‘รวมตัวกันแบบนี้ก็ยุ่งน่ะสิ!’