ตอนที่ 153 ชื่อเสียงโด่งดังชั่วข้ามคืน
แม้ว่าตระกูลฉู่ดูเหมือนไม่มีใครสอบเป็นขุนนาง แต่ไม่อาจดูถูกความสามารถของคนตระกูลนี้เช่นกัน กระนั้นไม่อาจดึงดูดความสนใจของจี้หยวนได้เท่าไรนัก เขายังนั่งอยู่บนหออ่านตำราพลางกินซาลาเปา
ยามจี้หยวนอ่านหนังสือจะกินอาหารช้ามาก ซาลาเปาห้าลูกชายฉกรรจ์ทั่วไปกินแค่เจ็ดแปดคำก็หมด ยิ่งเขาเพลินอ่านตำราก็ยิ่งกินช้า
กระทั่งเห็นตะวันคล้อยลงทางตะวันตก จี้หยวนอ่านประวัติศาสตร์ร้อยจังหวัดจนเกือบครบชุดแล้ว เพียงแต่ซาลาเปาในมือยังเหลือเล็กน้อย คล้ายรออ่านตำราจบชุดก่อนค่อยกินหมด
อ่านประโยคสุดท้ายเสร็จ เปิดถึงหน้าหลังของประวัติศาสตร์ร้อยจังหวัดเล่มหก จี้หยวนค่อยโยนเศษซาลาเปาในมือซ้ายเข้าปาก ท่าทางไม่รู้ว่าลิ้มรสซาลาเปาหรือดื่มด่ำกับเนื้อหาตำรา
เปรียบเทียบกับชาติก่อน สภาพจิตใจของจี้หยวนตอนนี้ไม่อาจพูดว่าต่างกันนัก แต่อย่างน้อยก็นิ่งสงบและอดทนมากขึ้น ต่อให้เป็นเช่นนั้นบางครั้งก็ยังหวนนึกถึงมือถือกับอินเทอร์เน็ตบ้าง เรื่องประเพณีท้องถิ่นแต่ละพื้นที่แค่จิ้มหาบนเน็ตสองครั้งก็เจอแล้ว
จี้หยวนลงมาชั้นล่างวางประวัติศาสตร์ร้อยจังหวัดกลับจุดเดิม เมื่อกลับชั้นสามอีกครั้งก็เตรียมนอนเข้าแล้ว แต่เขาไม่ได้หลับจริงๆ อาศัยเวลานอนมาหยั่งรู้วิชาอัศจรรย์ที่ยืมมังกรเฒ่ามา
แม้ของจากมังกรเฒ่าไม่ใช่วิชาจวนเซียนดั้งเดิม แต่ถึงอย่างไรก็เป็นมังกรแท้ ขอแค่มังกรเฒ่าสนใจจริง ทั้งมีเวลาค้นคว้า แย่เพียงใดก็ต้องมีผลผลิตคล้ายของจริง อย่างร่างก่อนใช้วิชาสัตว์เซียนของกวางขาว หลังจากจี้หยวนทำให้สมบูรณ์แล้วคิดว่าค่อนข้างโดดเด่น
สิ่งที่จี้หยวนสนใจที่สุดในแท่งหยกซึ่งยืมมา แน่นอนว่าคือวิชา ‘วัตถุสื่อจิต’ และ ‘ควบคุมเมฆหมอก’ อย่างแรกยามฝึกค่อนข้างสะดวก อย่างหลังคือหนึ่งในวิชาเหาะเหินซึ่งมีชื่อเสียง ต้องกลั่นกรองโดยละเอียดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฝึกเลียนแบบในเขตแดนรวมถึงห้วงฝัน
ยามผู้ฝึกเซียนทั่วไปศึกษาวิชาเหินอากาศ ล้วนมีผู้อาวุโสตามคุ้มครอง กลัวว่าไม่ระวังจะตกลงมาตาย
แต่จี้หยวนไม่ได้กลัวตกลงมาตาย ถ้ารู้สึกว่าไม่ปลอดภัยจริง เขาไม่มีทางกลัวเสียหน้าย่อมยอมขอมังกรเฒ่าช่วยคุ้มครองแน่ อย่างมากแค่ทำให้มังกรเฒ่าตกตะลึง ถึงขั้นถูกแซวบ้าง แต่อีกฝ่ายต้องยอมช่วยแน่ เรื่องนี้จี้หยวนมองคน (มังกร) ค่อนข้างแม่นยำมาก ตอนนั้นมังกรเฒ่าอยากผูกมิตรก็เพราะความสามารถของจี้หยวนไม่ใช่หรือ
วิชาอัศจรรย์ของมังกรเฒ่าพิเศษนัก คำอธิบายบางส่วนถึงขั้นละเอียดยิบ หากพูดว่าเป็นการควบคุมเมฆธรรมดา มิสู้บอกว่ามีปัจจัยการควบคุมวารีวาโยและการเปลี่ยนแปลงพิเศษบางส่วนร่วมด้วยยังดีกว่า แตกต่างจากวิชาควบคุมเมฆซึ่งบันทึกในกลยุทธ์เจิดจรัสมาก
สุภาษิตว่าวายุพยัคฆ์เมฆามังกร การควบคุมเมฆหมอกของมังกรเป็นอภินิหารพรสวรรค์ มังกรแท้เป็นผู้นำด้านนี้ เดิมไม่ต้องเรียนรู้อะไร ในเมื่อมังกรเฒ่าขลุกอยู่กับวิชาอัศจรรย์ตระกูลอิง ไม่สนว่าตอนนั้นเขาว่างจนฟุ้งซ่านหรือไม่ แต่ต้องไม่ธรรมดาแน่
จี้หยวนนอนหลับง่ายมาก หยิบห่อผ้าสีเทาซึ่งซ่อนอยู่บนม่านหอวางบนพื้นแทนหมอน จากนั้นค่อยนอนตะแคงรองแท่งหยกไว้ใต้ศีรษะ แค่ไม่กี่ลมหายใจก็เข้าสู่แดนฝัน ฝึกวิชาอัศจรรย์ยามพักผ่อน
ไม่เหมือนผู้ฝึกเซียนทั่วไปเข้าฌานเพื่อฝึกเพิ่มเติม วิธีราบรื่นอย่างจี้หยวนคาดว่าคงมีแค่ยอดบุคคลซึ่งเปลี่ยนเขตแดนเป็นภูผาธาราทั้งซ้อนทับกันตลอดเวลาอย่างเขาที่ใช้ได้
…
จี้หยวนเพิ่งเข้าสู่แดนฝัน ภายในตรอกเยี่ยนหุยริมถนนสันตินิรันดร์กลับมีคนเพิ่งตื่นจากฝันยาวนาน
หวังลี่ยังสะลึมสะลืออยู่บ้าง ขยี้ตาพลางลืมตาขึ้น สิ่งที่เข้าตาคือฝ้าเพดานของห้องเช่า เขาลุกขึ้นนั่งอย่างอึ้งงัน ยืดเอวบิดขี้เกียจพลางหาว
“หาว…”
ขณะหาวหางตามีน้ำตาไหลออกมา ทำให้ทั้งตัวได้สติไม่น้อย
เห็นว่าภายในห้องมืดสลัวอยู่บ้าง ท้องฟ้าน่าจะมืดแล้ว
ชามตะเกียบบนโต๊ะข้างเตียงหายไป เจ้าของบ้านอาจให้คนมาเก็บแล้ว
ตอนนี้หวังลี่ยังมึนงงเล็กน้อย
“ทำไมข้าถึงหลับกะทันหัน คล้ายว่าฝันยาวนานมาก…”
สายตากวาดผ่านโต๊ะ เห็นด้านบนกระดาษซีดจางเขียนว่า ‘วาสนากวางขาว’
พริบตานั้นสมองเหมือนเกิดไฟฟ้าสถิต ทุกอย่างในห้วงฝันยาวนานเมื่อกลางวันล้วนหวนรำลึกขึ้นมา
ทั้งตัวหวังลี่เปลี่ยนจากมึนงงเป็นไหวสั่น ตื่นเต้นขึ้นมาทีละน้อย เลิกผ้าห่มคลานมาหน้าโต๊ะหนังสือ
“วาสนากวางขาว! วาสนากวางขาว! ข้าต้องจดไว้ นี่คือเรื่องราวซึ่งเทพเซียนถ่ายทอดให้ ข้าต้องรีบจดไว้!”
ภายใต้ความรู้สึกปั่นป่วน หวังลี่รีบหยดน้ำสะอาดลงจานฝนหมึก เริ่มฝนหมึกใหม่อีกครั้ง เรื่องที่ต้องเขียนไม่สั้น แต่โดยสัญชาตญาณของนักเล่าเรื่อง สมองของเขาร้อยเรียงเรื่องราวจนมีสีสันยิ่งกว่าเดิมแล้ว
“เรื่องนี้ต้องมีห้าตอน ไม่ๆ ต้องมีหกตอน จำเป็นต้องมีหกตอนขึ้นไปถึงเล่าจบ…”
ยามพึมพำกับตัวเองมือเขายิ่งตื่นเต้น ท่าทางฝนหมึกเหมือนกำลังจับสั่น
เพิ่งตื่นนอนไม่นาน ความหนาวเย็นพลันถาโถม หวังลี่ตัวสั่น รีบดึงผ้าห่มมาคลุมตัว
เห็นท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว เขาหยิบตะบันไฟบนโต๊ะมาคิดจุดตะเกียงน้ำมัน เมื่อเปิดปลอกกลับพบว่าเพลิงในตะบันไฟนี้หมดแล้ว
“เสี่ยวตง…เสี่ยวตงอยู่หรือไม่…”
หวังลี่คลายผ้าห่มลุกขึ้นจากเตียงเดินมาตรงประตูก่อนตะโกนสองสามประโยค แต่ไม่กล้าเปิดประตู เขารู้ว่าข้างนอกต้องหนาวกว่าแน่
“อ๊ะ มาแล้ว ท่านพ่อ ท่านแม่ คุณชายหวังตื่นแล้ว กำลังเรียกข้าอยู่”
“นอนมาทั้งวัน คงหิวแล้ว!”
เสียงหัวเราะกับเสียงคุยดังจากห้องด้านข้าง จากนั้นเด็กชายวิ่งเหยาะถึงหน้าห้องหวังลี่ก่อนเปิดประตู
วู้ม…วู้ม…
ลมหนาวยามพลบค่ำพัดเข้ามา หวังลี่ตัวสั่นเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
“คุณชายหวังตื่นแล้วหรือ เตรียมของให้ท่านแล้ว วันนี้ปีใหม่ มีเคาหยก[1]กับเป็ดต้มสับ หึๆๆ อร่อยมาก!”
“อ้อๆๆ ดีเลยๆ กำลังหิวจนหน้ามืด จริงสิ นำตะบันไฟใหม่มาให้ข้าด้วย ต้องใช้งาน ในห้องหมดแล้ว!”
เด็กชายเห็นว่าภายในห้องมืดสนิทไม่สว่างเท่าข้างนอก เขาตอบรับเสียงกระจ่างก่อนวิ่งเหยาะจากไป
หลังจากนั้นครึ่งเค่อ ในห้องหวังลี่จุดตะเกียงน้ำมันคลุมตัวครอบ ข้างโต๊ะสี่เซียนมีเครื่องเขียนวางอยู่ อีกด้านหนึ่งวางอาหารปีใหม่ ตรงกลางคือกระดาษขาวกองหนึ่ง
กระดาษแผ่นบนสุดของกองมีตัวอักษรใหญ่แค่สามคำ ‘วาสนากวางขาว’ ซึ่งจี้หยวนเป็นคนเขียนไว้ หวังลี่คิดนำสิ่งนี้มาทำเป็นกระดาษหน้าปก
ด้วยอักษรเลิศล้ำซึ่งเทพเซียนเหลือไว้ ครั้งนี้นักเล่าเรื่องหวังลี่เขียนอักษรอย่างระวังเป็นพิเศษ แม้ยังไม่ถือว่าเป็นอักษรดี แต่พยามยามเขียนอย่างประณีต มิฉะนั้นจะรู้สึกว่าทำให้อักษรเทพเซียนด่างพร้อย
ตอนนี้จี้หยวนซึ่งหลับฝันคล้ายรู้สึกได้ ในฝันเขายังเหาะเหินบนเมฆหมอก โลกภายนอกร่างกายบนหอตำรากลับเผยรอยยิ้ม
“สะพานสวรรค์ผ่านโต๊ะพัดกระดาษ ฉากกั้นค้อนเล็กเล่าตำนาน”
…
ต้าเจินจัดการสอบขุนนางมาหลายครั้ง ปัจจุบันการสอบระดับเมืองหลวงและการสอบหน้าพระที่นั่งจัดขึ้นทุกสามปี
เมื่อก่อนการสอบระดับเมืองเอกทุกรัฐค่อนข้างอิสระ หัวข้อแตกต่างเวลาสอบก็ต่างกัน บ้างไม่กี่ชั่วยามบ้างสอบทั้งวัน แต่เนื้อหาการสอบระดับเมืองหลวงแตกต่างกัน
เนื้อหาการสอบพื้นฐานที่ต้องท่องจำทุกคนต่างเตรียมตัวมา การสอบแต่งกลอนลำนำส่วนใหญ่ต้องเตรียมการมาก่อนเช่นกัน แต่หัวข้อถกกลยุทธ์กับแก้ปัญหาบางส่วนค่อนข้างมาก ด้วยถึงเวลาเลือกผู้เป็นขุนนางอย่างแท้จริงแล้ว เวลาที่ต้องใช้จึงยาวนานไม่น้อย
การสอบระดับเมืองหลวงทุกกระทรวงของราชสำนักจะร่วมกันออกโจทย์โดยกระทรวงพิธีการเป็นผู้นำ เริ่มตั้งแต่วันที่เก้าเดือนยี่ แบ่งเป็นวันที่เก้า สิบสอง สิบห้ารวมสามวัน จัดการสอบสามรอบ ทุกรอบสอบนานติดกันสามวัน
ประมาณช่วงดอกซิ่งเบ่งบาน ทางการจะประกาศผลการสอบระดับเมืองหลวง ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่า ‘กระดานดอกซิ่ง’ ระหว่างนี้ผู้มีชื่อบนกระดานถือว่าเป็นอัจฉริยะแล้วจริงๆ
หลังจากประกาศกระดานดอกซิ่งจะพักผ่อนห้าวันก่อนเริ่มการสอบหน้าพระที่นั่งเป็นลำดับสุดท้าย บัณฑิตแห่งยุคทั่วต้าเจินแข่งขันกันจนปรากฏรายชื่อ ถึงแม้ไม่แน่เสมอไปว่าจ้วงหยวนจะเป็นขุนนางใหญ่ แต่อย่างน้อยก็สร้างเกียรติแก่วงศ์ตระกูลได้แล้ว
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่ายังหนาวสะท้าน แต่หัวใจของเหล่าก้งซื่อกลับร้อนระอุ
วันนี้เป็นวันที่สามสิบเดือนยี่ วันประกาศกระดานดอกซิ่ง บัณฑิตมากความสามารถทุกรัฐทั่วต้าเจินล้วนรวมตัวนอกกำแพงสนามสอบแบบปิดของเมืองหลวง รอเจ้าหน้าที่ประกาศผลด้วยความรู้สึกร้อนรนซับซ้อน
เดิมจี้หยวนไม่รู้ว่าสนามสอบแบบปิดอยู่ทางไหน แต่เมื่อยืนมองจากหอตำราของจวนตระกูลฉู่ก็รู้ตำแหน่งแน่ชัดแล้ว ด้วยตรงนั้นปราณบุ๋นรวมกลุ่มหนาทึบ คิดมองข้ามคงยากนัก
‘เดิมอาจารย์อิ๋นก็พรสวรรค์โดดเด่น ช่วงปีใหม่รับปราณพิสุทธิ์จากฟ้าดิน ตอนนี้ปราณยิ่งใหญ่โชติช่วง ความรู้สึกนึกคิดมั่นคงหาใดเปรียบ ผลงานต้องก้าวขึ้นไปอีกขั้นแน่!’
เมื่อมีความมั่นใจต่อสหายเช่นนี้ จี้หยวนไม่ไปสนามสอบแบบปิดเพื่อร่วมสนุกโดยสิ้นเชิง
…
อิ๋นจ้าวเซียนกับสื่ออวี้เซิงเบียดสู้คนอื่นไม่ได้ ทั้งไม่มีบ่าวประจำตระกูลเบิกทาง ถูกบัณฑิตมากมายบีบจนมาอยู่ตรงมุม
“โธ่เอ๊ย พี่อิ๋น ทำไมท่านไม่ร้อนรนสักนิด ในใจข้าคันยุบยิบเหมือนอุ้งเท้าแมวสะกิดแล้ว!”
ยิ่งใกล้ช่วงประกาศสื่ออวี้เซิงยิ่งตื่นเต้น ตอนนี้เหงื่อจะไหลลงมาแล้ว แต่มองอิ๋นจ้าวเซียนที่อยู่ด้านข้างกลับพบว่ามีท่าทางไม่ทุกข์ร้อน
อิ๋นจ้าวเซียนได้ยินคำพูดของสื่ออวี้เซิง เขาโต้แย้งประโยคหนึ่งอย่างอดไม่ได้
“ใครบอกว่าข้าไม่ร้อนรน ข้าร้อนรนนัก! แต่ร้อนใจไปก็เปล่าประโยชน์ ยิ่งอยู่ข้างหน้าคะแนนเจ้าจะเปลี่ยนเป็นดีขึ้นหรือ”
“ท่านพูดมามีเหตุผล แต่พวกเราอยู่ด้านหลังขนาดนี้แม้แต่กระดานยังมองไม่เห็น!”
อิ๋นจ้าวเซียนยิ้มขื่นเล็กน้อย เป็นเหตุสุดวิสัยไม่ใช่หรือ ยามคิดพูดอะไรหน่อย เสียงหนักแน่นของเจ้าหน้าที่ราชสำนักพลันดังขึ้น
“สำรวม…”
สภาพแวดล้อมซึ่งเดิมอึกทึกครึกโครมนอกกำแพงสนามสอบแบบปิดเงียบสงบลงทันที
“ประกาศผล…”
เมื่อเสียงคำรามของเจ้าหน้าที่ทางการแผ่วลง มีเจ้าหน้าที่สวมหมวกขอบเงินสี่คนพุ่งออกมาจากสนามสอบแบบปิด คนหนึ่งในนั้นถือม้วนกระดาษเหลือง ยาวกว่าความสูงของเจ้าหน้าที่คนนี้
ด้านนอกมีเจ้าหน้าที่ถือกระบองคอยขวางเหล่าบัณฑิต เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ซึ่งวิชายุทธ์ไม่ธรรมดา ต่อให้บัณฑิตเหล่านี้เบียดแค่ไหนก็ไม่ล้ำเส้น ทั้งมีเจ้าหน้าที่ฉาบกำแพงไว้ล่วงหน้าด้วย
ต่อมาเจ้าหน้าที่สี่คนร่วมแรงกันคลายออก จากนั้นค่อยย่อตัวกระโดดพร้อมกัน สำแดงวิชาตัวเบาเคลื่อนไหวกลางอากาศ ช่วยกันคว้ามุมกระดาษเหลืองไปแปะบนกำแพง
เสียงฝ่ามือกระทบกำแพงดังปึงๆๆๆ
รอเมื่อเจ้าหน้าที่โรยตัวลง กระดานดอกซิ่งขนาดใหญ่ปรากฏ
หลังจากนั้นครู่หนึ่งอิ๋นจ้าวเซียนรู้สึกถึงบรรยากาศคุ้นเคย คล้ายตอนอยู่จังหวัดชุนฮุ่ยแห่งรัฐจี
ภายในฝูงชนบัณฑิตมากมายทยอยพูดคุย
“อิ๋นจ้าวเซียนเป็นใคร”
“คนผู้นี้อยู่ที่ไหน”
“ข้าสอบติดแล้ว ฮ่าๆๆ ข้าสอบติดแล้ว”
“ข้าก็ด้วย ฮ่าๆๆ!”
“ยินดีด้วยๆ…”
“เฮ้อ…”
“รู้จักอิ๋นจ้าวเซียนหรือไม่”
“ไม่รู้จัก…”
“ข้ารู้จักๆ เคยได้ยินชื่อเสียงบนถนนดาวบุ๋น เป็นเจี้ยหยวนจากรัฐจี!”
“โอ้ ผู้มากความสามารถๆ!”
…
เสียงดังมาถึงด้านหลัง ท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ดังกระหึ่มคำว่า ‘อิ๋นจ้าวเซียน’ ถูกกล่าวถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า สื่ออวี้เซิงออกอาการยากจะเชื่ออยู่บ้าง อิ๋นจ้าวเซียนเองก็ใจเต้นรัวเช่นกัน
[1] เคาหยก หมายถึง อาหารซึ่งทำจากหมูสามชั้นตุ๋นผักกาดแห้ง