ตอนที่ 162 ภัยมนุษย์พลิกผัน
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม พวกเขายังเดินไม่ถึงเชิงเขาหมอกอำพราง ยังคงก้าวเดินอยู่กลางเขาเมฆา ช้ากว่าตอนฉีเหวินมาไม่ใช่แค่ขั้นหนึ่ง
เขาเมฆาสำหรับฉีเหวินถือว่าเดินจนชินนานแล้ว แต่สำหรับหวงซิ่งเยี่ยคือทางเขาขรุขระ สำหรับบ่าวประจำตระกูลสี่คนถือว่าไม่สบายนัก โดยเฉพาะยามหาบของ ส่วนลี่เหมี่ยนถือว่าดีหน่อย
อย่างน้อยลี่เหมี่ยนก็เป็นจอมยุทธ์ ถึงแม้ไม่นับว่าเป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพอะไร แต่แถบอำเภอตงเยวี่ยถือว่าพอมีแวว ที่ว่าการอำเภอมีแค่นายกองแข็งแกร่งกว่าลี่เหมี่ยน หัวหน้ามือปราบคนอื่นหากไม่ทุ่มสุดตัวย่อมสู้ลี่เหมี่ยนไม่ได้สักคน
มองฉีเหวินซึ่งคล่องแคล่วดุจเหาะเหินข้างหน้า ทั้งมองของเต็มตะกร้าไผ่ด้านหลังเขา ลี่เหมี่ยนทอดถอนใจประโยคหนึ่งอย่างอดไม่ได้
“นักพรตน้อยคนนี้ไม่มีวิชายุทธ์จริงหรือ พลังกายนี้ถ้าบอกว่าเดินเขาจนชินคงเกินจริงอยู่บ้างกระมัง!”
หวงซิ่งเยี่ยมองคานหาบของพวกข้ารับใช้ สี่คนหาบคานคู่ ตะกร้าล่างหาบไม่ใหญ่ มีผ้ามีแพรมีสุรามีขนม พูดถึงน้ำหนักของที่บรรจุน่าจะสู้ตะกร้าไผ่ของฉีเหวินไม่ได้ ถึงอย่างไรในตะกร้าไผ่ของฉีเหวินก็มีเนื้อรมควันไข่ไก่ ยังมีของจำพวกฟักทองและเผือกที่ชาวนามอบให้อีก ล้วนเป็นของหนักทั้งสิ้น
“ฮู่…ฮู่…ไม่แปลกๆ ยิ่งเป็นเช่นนี้…ฮู่…มาอารามเขาเมฆานี้ ยะ ยิ่งถูกต้องแล้ว…ฮู่…”
หวงซิ่งเยี่ยเริ่มอายุมากแล้ว แม้ว่าไม่อ้วนเท่าไหร่ แต่สุดท้ายพลังกายยังด้อยอยู่บ้าง ปีนเขานานขนาดนี้ ยามนี้เขาหอบหายใจแล้ว
ตอนนี้ฉีเหวินยังรู้สึกสบายมาก ความจริงหากเป็นเมื่อก่อนเขาแบกของหนักเดินนานขนาดนี้ย่อมเหนื่อยมากเช่นกัน แต่ช่วงนี้กลับรู้สึกว่าพลังกายดีขึ้นมาก ลงเขาหาบน้ำฝีเท้าล้วนว่องไวนัก
เมื่อตะกายมาถึงเนินเขาราบเรียบ ในที่สุดก็มาถึงเชิงเขาหมอกอำพราง ฉีเหวินหันกลับมาตะโกนบอกทุกคนซึ่งอยู่ห่างไปด้านหลังสองสามจั้งอย่างค่อนข้างยินดี
“ทุกท่านพยายามหน่อย ถึงยอดเขาหมอกอำพรางแล้ว เริ่มปีนเขาได้!”
หา? เริ่มปีนเขา?
เช่นนั้นเมื่อครู่พวกเราทำอะไรกัน
พวกหวงซิ่งเยี่ยต่างอึ้งงันอยู่บ้าง เดิมคิดว่าใกล้ถึงอารามเขาเมฆาแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะเจอประโยคนี้ เงยหน้ามองยอดเขาหมอกอำพรางสูงชัน พวกเขากลืนน้ำลายดังอึกตามจิตใต้สำนึก
ไม่นับความสูงของเนินเขาแห่งนี้ ทั้งไม่สนการคำนวณเหนือระดับน้ำทะเลอะไร แค่เริ่มนับจากฝีเท้าของฉีเหวินยามนี้ ยอดเขาหมอกอำพรางสูงประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบจั้ง อารามเขาเมฆาอยู่ตรงความสูงประมาณหนึ่งร้อยจั้ง
แม้ว่าความจริงไม่ถือว่าสูงนัก แต่ความลาดชันมาก ระหว่างขึ้นเขาเดินๆ หยุดๆ พักแล้วพักอีก เมื่ออยู่ห่างจากอารามเขาเมฆาไม่ไกลนัก หวงซิ่งเยี่ยกับพวกบ่าวประจำตระกูลเหนื่อยจนทนไม่ไหวแล้ว แม้แต่ลี่เหมี่ยนซึ่งคอยประคองหวงซิ่งเยี่ยตลอดยังเหงื่อออกเต็มตัว
ฉีเหวินใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากตน ตะโกนไปทางอารามเต๋าอย่างตื่นเต้นยินดี
“อาจารย์ ท่านจี้…มีแขกมา…”
หลังจากตะโกนสองสามครั้ง นักพรตชิงซงกับจี้หยวนซึ่งได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวนานแล้วออกมาพร้อมกัน
“ฮ่าๆๆ…ผู้ศรัทธาทุกท่านมาจากแดนไกล ขออภัยที่ไม่ได้ออกมาต้อนรับๆ!”
“เชิญๆๆ เชิญเข้ามาพักในอารามเขาเมฆา!”
นักพรตชิงซงทักทายพลางก้าวไปข้างหน้าพร้อมจี้หยวน แต่ละคนรับหาบจากมือข้ารับใช้ ช่วยพวกเขาหาบเข้าอาราม ตรงนี้ไม่ใช่สถานที่บ่ายเบี่ยงไม่รับของกำนัล
ภายในอารามจี้หยวนกับนักพรตสองคนต่างย้ายม้านั่งเก้าอี้ออกมาจากห้องครัวและสองห้องพัก บอกให้พวกเขานั่งพักผ่อนข้างห้องครัว
นอกจากน้ำชาของอารามเต๋าแล้ว ขนมซึ่งพวกหวงซิ่งเยี่ยนำมาถูกนำมารับรองทุกคน
ตอนนี้ผลาญพลังกายไปมาก ต่อให้เป็นของขวัญที่ตนนำมาพวกเขาก็ไม่เกรงใจแล้ว
รอแขกเหล่านี้พักผ่อนครู่หนึ่ง โดยเฉพาะหวงซิ่งเยี่ยหายใจทั่วท้อง นักพรตชิงซงจึงถามจุดประสงค์การมาของอีกฝ่าย
“ไม่ทราบว่าผู้ศรัทธาทุกท่านมาอารามเขาเมฆาของข้าด้วยเรื่องใด ได้ยินฉีเหวินบอกว่ามากล่าวขอบคุณหรือ ของขวัญนี้ออกจะมากไปหน่อยแล้ว”
หวงซิ่งเยี่ยจัดระเบียบความคิดเล็กน้อย คำพูดครั้งนี้ต่างจากคำพูดยามคุยกับฉีเหวินก่อนหน้า เขาอ้าปากขอความช่วยเหลือทันที
“นักพรตชิงซง ท่านต้องช่วยข้านะ! ข้าเจอปัญหาใหญ่แล้ว!”
หวงซิ่งเยี่ยวิงวอนพลางลุกขึ้นมาค้อมตัวคารวะประสานมือต่อเนื่อง
“เถ้าแก่หวง นี่ท่าน…เกิดเรื่องอะไรกันแน่”
นักพรตชิงซงซึ่งรีบลุกมาประคองหวงซิ่งเยี่ยทำหน้าแปลกใจ จี้หยวนที่นั่งอยู่ใกล้ประตูห้องครัวขมวดคิ้วเช่นกัน
“ท่านนักพรต เรื่องนี้ข้าคนแซ่หวงต้องกล่าวขอบคุณท่านก่อน วันนั้นท่านตรวงดวงชะตาให้จนช่วยชีวิตข้าไว้…”
หวงซิ่งเยี่ยเล่าเรื่องที่ก่อนหน้านี้บอกกับฉีเหวินระหว่างทางโดยละเอียดอีกครั้งก่อน แต่คราวนี้ลงรายละเอียดกว่ามาก ถึงขั้นเล่าเรื่องที่สงสัยว่าเจ้าที่ช่วยชีวิตออกมาด้วย
“ในเมื่อเถ้าแก่หวงแจ้งทางการแล้ว ที่ว่าการอำเภอยังตามสืบเต็มกำลัง ต่อให้ตัวการหนีรอดชั่วคราวก็น่าจะคุกคามท่านไม่ได้ถึงจะถูก”
นักพรตชิงซงสงสัยอยู่บ้าง
“โธ่ท่านนักพรต ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็ดีสิ! ก่อนหน้านี้ข้าน้อยรู้สึกว่าเจ้าที่ช่วยเหลือจึงไปขอบคุณยังศาลเจ้าประจำเมือง! แม้ว่าศาลเจ้าที่ประจำเมืองของพวกเรายังซ่อมแซมไม่เสร็จ แต่ตั้งรูปปั้นเจ้าที่แล้ว ข้าจึงนำข้าวปลาอาหารไปเซ่นไหว้…”
เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องดี ผู้ไม่รู้เรื่องราวด้านข้างฟังแล้วมึนงง หวงซิ่งเยี่ยเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ
“เมื่อข้าคนแซ่หวงเซ่นไหว้เสร็จ ใช้ไม้เสี่ยงทายถามเจ้าที่ว่าครั้งนี้สถานการณ์พลิกผันแล้วหรือไม่…แต่โยนไม้เสี่ยงทายลงพื้นสามครั้ง ไม่มีลายลักษณ์มงคลสักครั้ง ข้าคนแซ่หวงลนลานจนเสี่ยงทายติดกันหกครั้ง เก้าครั้งไร้ลายลักษณ์มงคล ครั้งที่สิบแม้แต่ไม้เสี่ยงทายยังแตกไปข้างหนึ่ง…”
“เฮือก…”
นักพรตชิงซงฟังแล้วสูดหายใจสะท้าน ตัวเขาหยั่งรู้มรรคทำนายอย่างลึกซึ้ง รู้อันตรายของคำทำนายยิ่งกว่าหวงซิ่งเยี่ย หากไม่ใช่ว่าจี้หยวนนั่งอยู่ด้านข้าง ตอนนี้เขาคงรักษาความนิ่งสงบไม่อยู่แล้ว
ไม้เสี่ยงทายเหมือนกระบอกเซียมซี เป็นเครื่องมือทำนายอย่างหนึ่งที่มักจัดเตรียมไว้ในศาลเจ้า โดยทั่วไปทำจากปล้องไผ่ของต้นไผ่ทอง ผ่าออกเป็นสองซีก บ้างใช้เปลือกหอยกาบบางชนิดแทน ส่วนใหญ่ยาวหนึ่งนิ้วกว้างสองนิ้ว
ใช้ร่วมกับการเสี่ยงเซียมซีหรือการถามดีร้าย เป็นวิธีสื่อสารโดยง่ายอย่างหนึ่งระหว่างผู้มากราบไหว้กับวิญญาณเทพ บ้างได้ผลบ้างไม่ได้ผล มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัววิญญาณเทพและความเลื่อมใสของผู้มากราบไหว้อยู่บ้าง
ไม้เสี่ยงทายถูกโยนลงมาโดยผู้กราบไหว้จากความสูงสองสามฉื่อ หนึ่งหงายหนึ่งคว่ำสื่อว่าหยินหยางประสานเป็น ‘ลายลักษณ์มงคล’ หรือก็คือ ‘โชคดี’ ถามไม่ละเอียดจะออกหงายคู่ ถ้าออกคว่ำคู่คือ ‘โชคร้าย’
สถานการณ์ของหวงซิ่งเยี่ยเห็นชัดว่าเจ้าที่ไม่มีทางไม่ตอบรับ
“ด้วยเจ้าที่ตอบรับว่าท่านยังอันตราย เถ้าแก่หวงจึงมาหาข้า อยากให้ข้าช่วยท่านตรวจดวงโดยละเอียดหรือ”
นักพรตชิงซงวิเคราะห์เล็กน้อย แต่กลับเห็นหวงซิ่งเยี่ยส่ายหัวด้วยสีหน้ากังวล
“ไม่เพียงเท่านี้ๆ…เจ้าที่ท่าน…”
หวงซิ่งเยี่ยพูดถึงตรงนี้แล้วเหมือนหวาดผวา กล่าวด้วยเสียงตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม
“วันที่สองข้ารู้สึกไม่เป็นสุขจึงไปจุดธูปไหว้ศาลเจ้าที่อีกครั้ง ผลคือพบว่าหน้าศาลเจ้าล้อมรอบด้วยคนในเมืองไม่น้อย จากการสอบถามจึงรู้ว่าเมื่อคืนรูปปั้นเจ้าที่ถูกคนทำลาย ข้าเข้าศาลเจ้าไปดู มือซ้ายของเจ้าที่ถูกคนตัดลงมา…”
หวงซิ่งเยี่ยพูดถึงตรงนี้แล้วสีหน้าไม่น่าดูถึงขีดสุด ตอนนั้นเขาพลันรู้ชัด รูปปั้นเจ้าที่ไม่ได้ถูกโจรขโมยทำลายอย่างที่ชาวบ้านวิจารณ์กันแน่ มีโอกาสสูงว่าถูกสิ่งน่ากลัวบางอย่างทำลาย
ทุกคนในที่นั้นฟังคำพูดของหวงซิ่งเยี่ยแล้ว ทยอยรู้สึกว่ามีลมเย็นพัดจากฝ่าเท้าขึ้นมาถึงศีรษะ แม้แต่ผู้รู้สถานการณ์บางส่วนอย่างลี่เหมี่ยนยังเป็นเช่นนี้
นักพรตชิงซงยิ่งสีหน้าซีดเผือดอยู่บ้าง ต่อให้ปกติเขาหาเรื่องใส่ตัวมากแค่ไหนก็รู้ว่าเรื่องนี้อยู่เหนือระดับความสามารถของตนอย่างแน่นอน
“ถะ เถ้าแก่หวง อะ อารามเขาเมฆาแห่งนี้เป็นแค่อารามเล็กสันโดษ ส่วนข้าเป็นแค่นักพรตต่ำต้อยที่คอยดูดวงให้ผู้อื่น เรื่องนี้ข้าจะจัดการได้อย่างไร…”
หวงซิ่งเยี่ยสีหน้าไม่น่าดูยิ่งกว่าร้องไห้ คารวะวิงวอนอย่างต่อเนื่อง
“นักพรตชิงซง ข้ารู้ว่าตอนนั้นข้ามีตาไร้แวว วันนั้นหน้าอารามความจริงท่านคิดจัดการให้แล้ว เป็นข้าไม่รู้จักดีชั่วมารยาททราม ไม่เชื่อฟังเดินจากไป ขอร้องท่านให้โอกาสข้าอีกครั้ง ข้าคนแซ่หวงจะไม่ลืมบุญคุณท่านนักพรตแน่นอน!”
นักพรตชิงซงลนลานแล้ว เรื่องแบบนี้แปลกประหลาดเกินไป ถึงขั้นลืมว่าผู้ยิ่งใหญ่อย่างจี้หยวนอยู่ด้านข้าง
“เถ้าแก่หวง ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้า…”
แต่ไม่รอให้ฉีเซวียนพูดจบ จี้หยวนซึ่งสีหน้าเคร่งขรึมกล่าวแทนเจ้าภาพเป็นครั้งแรก
“ขอถามเถ้าแก่หวง เคยไปขอร้องเทพหลักเมืองของศาลหลักเมืองอำเภอตงเยวี่ยหรือไม่”
เสียงจี้หยวนราบเรียบฉะฉานเจือความหนักแน่น คล้ายมีพลังสงบจิตใจบางอย่าง ทำให้ทุกคนในที่นั้นสงบลง
เรื่องนี้ประหลาดทุกด้าน มีความสามารถลงมือกับเจ้าที่ คนธรรมดาอย่างหวงซิ่งเยี่ยกลับกระโดดโลดเต้นมาถึงตอนนี้?