ตอนที่ 163 ไม่มีทางนิ่งดูดาย
ตอนแรกจี้หยวนทราบจากฉีเหวินว่าเรื่องของหวงซิ่งเยี่ยคลี่คลายแล้ว ครั้งนี้มากล่าวขอบคุณ เริ่มแรกแค่ฟังเรื่องสนุก
แต่หลังจากฟังถึงเรื่องเจ้าที่ จี้หยวนรู้ว่าเรื่องราวไม่ธรรมดา จากภัยมนุษย์เรียบง่ายกลับกลายเป็นเรื่องปีศาจร้าย
ตอนนี้จี้หยวนลืมตาทิพย์ประมาณสามส่วนสี่ มองหวงซิ่งเยี่ยรวมถึงเหล่าผู้ติดตามโดยละเอียด ปราณและเพลิงของคนกลุ่มนี้ซึ่งเดิมเหมือนภาพมายาในสายตาเขาพลันเปลี่ยนเป็นเด่นชัดยิ่งกว่าเดิม เปี่ยมสีสันขึ้นมาเช่นกัน
จี้หยวนพบว่าตัวหวงซิ่งเยี่ยยังดี แม้ว่าขนาดกลิ่นอายเพลิงชีวิตของพวกบ่าวไม่เปลี่ยนแปลง แต่กลับมีแสงโลหิตและไอมรณะซ่อนอยู่ในเพลิงชีวิตพลุ่งพล่านแล้ว
ได้ยินจี้หยวนเอ่ยปากกะทันหัน หวงซิ่งเยี่ยซึ่งสงบใจลงเล็กน้อยมองนักพรตชิงซงพลางเอ่ยถาม
“นักพรตชิงซง ท่านนี้คือ?”
“นี่คือท่านจี้ เป็นผู้มีบุญคุณใหญ่หลวงของข้ากับอาจารย์…”
ฉีเหวินรีบกล่าวตอบประโยคหนึ่ง แต่จี้หยวนตัดบทเขาทันที เรื่องของตนไม่ต้องเพิ่มสีสันต่อหน้าคนนอกมากเกินไป
“ข้าคือสหายของนักพรตชิงซง ไม่กี่ปีก่อนนักพรตเดินทางไปรัฐอื่นเลยรู้จักกัน ตอนนี้อาศัยอยู่อารามเขาเมฆาชั่วคราว”
“ใช่ๆๆ ท่านจี้เป็นแขกคนสำคัญของอารามข้า สิ่งที่เขาถามเมื่อครู่เป็นสิ่งที่ข้าอยากถามพอดี เถ้าแก่หวงเคยไปศาลหลักเมืองอำเภอตงเยวี่ยเพื่อกราบขอร้องหรือไม่”
ต่อให้ชาวบ้านสมัยนี้ไม่เคยเจอเทพผี แต่โดยทั่วไปยังนับถือเทพรวมถึงงมงายเรื่องมรรคมารนอกรีตบางอย่างเช่นกัน มาถึงขั้นนี้เถ้าแก่หวงคงไม่ถึงขั้นไม่ตอบสนองกระมัง
หวงซิ่งเยี่ยสงบอารมณ์ลงไม่น้อย ลมหายใจไม่ตื่นเต้นกระชั้นถี่เหมือนเมื่อครู่ สงบสติอารมณ์ก่อนกล่าวตอบ
“แน่นอนว่าข้าน้อยไปศาลหลักเมืองอำเภอตงเยวี่ยแล้ว สืบข่าวจากที่นั่นจนรู้ว่านักพรตชิงซงเป็นนักพรตบนเขาเมฆา ด้านหนึ่งข้าออกเงินสั่งคนซ่อมแซมรูปปั้นเจ้าที่ประจำเมืองตรงบ้านเกิด ทั้งนำของเซ่นไหว้มากมายมาถวายเทพหลักเมือง จากนั้นค่อยตามหาจนมาถึงเชิงเขาเมฆา…”
จี้หยวนมองหวงซิ่งเยี่ย คนผู้นี้ถือว่ามีหัวคิดจริงๆ ใคร่ครวญรอบด้าน จากนั้นค่อยหันหน้ามองนักพรตชิงซงพลางกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง
“นักพรตชิงซง ข้าเคยได้ยินท่านพูดว่าเจ้าที่ยังไม่ได้ตั้งศาล มรรควิถีมรรคเทพน่าจะยังไม่ถือว่าสูง อย่างน้อยก็ยังไม่รับกำยานจนกลายเป็นเทพ”
จี้หยวนกำลังใคร่ครวญในใจ เจ้าที่น่าจะไม่ได้ฝึกการเชื่อมต่อปราณพิภพ ‘ใช้พลังบรรลุเทพ’ มิฉะนั้นคงไม่ให้คำตอบหวงซิ่งเยี่ยซึ่งทำบุญใหญ่สร้างศาลเจ้า แต่เห็นชัดว่าเจ้าที่ก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องภายหลัง
นักพรตชิงซงอึ้งงันครู่หนึ่ง ข้าเคยพูดเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ
แต่เห็นจี้หยวนถามตนอย่างจริงจังเช่นนี้ ฉีเซวียนตอบสนองทันที
“อะแฮ่ม…เป็นเช่นนั้นจริงๆ ท่านจี้กล่าวไม่ผิด”
จี้หยวนพยักหน้าเล็กน้อย
“ดูท่าว่าข้าไม่ได้จำผิด พิจารณาจากมุมมองของข้าคนแซ่จี้ หากมีคนทำลายรูปปั้นเทพของเจ้าที่ย่อมเพิ่มกำลังตามสืบ หากมีผีร้ายเป็นเหตุจริง เมืองเม่าเฉียนก็เป็นอาณาเขตของอำเภอตงเยวี่ย ต่อให้เถ้าแก่หวงไม่ถวายของเซ่นไหว้ แค่ทราบเรื่องนี้ ใต้เท้าหลักเมืองคงไม่มีทางนิ่งดูดาย ท่านนักพรตข้าพูดถูกกระมัง”
นักพรตชิงซงพยักหน้าไม่ว่างเว้น
“ใช่ๆๆ ท่านจี้พูดถูก!”
“เช่นนี้ย่อมดีที่สุดๆ”
หวงซิ่งเยี่ยได้ยินแล้วสบายใจ แม้ว่าชาวบ้านทั่วไปนับถือวิญญาณเทพอย่างเทพหลักเมืองหรือเจ้าที่ แต่ถึงอย่างไรส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครเคยเจอ ข่าวลือเรื่องวิญญาณเป็นแค่สิ่งที่ชาวบ้านเล่าลือกันปากต่อปาก เมื่อเจอปัญหาเข้าจริงย่อมไม่มั่นใจ ผู้สูงส่งซึ่งมองเห็นและสัมผัสได้อย่างนักพรตชิงซงย่อมทำให้ผู้คนสบายใจกว่า
“จริงสิ เถ้าแก่หวง เมื่อครู่ได้ยินท่านบอกว่าอันตรายครึ่งแรกน่าจะเกิดจากมนุษย์ ถึงตอนท้ายถูกท่านมองออกทั้งกุมหลักฐานแจ้งทางการ ไม่มีเรื่องผิดแปลกอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อท่านทราบลายลักษณ์จากเจ้าที่จึงรู้ว่าผิดปกติใช่หรือไม่”
หวงซิ่งเยี่ยประสานมือกล่าวตอบจี้หยวน
“เป็นอย่างที่ท่านจี้กล่าว ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่าพ้นเคราะห์แล้ว ถึงส่งของเซ่นไหว้ไปขอบคุณเจ้าที่”
ในเมื่อสามารถเป็นสหายของผู้สูงส่งอย่างนักพรตชิงซงได้ คาดว่าท่านจี้คนนี้คงมีความสามารถเหนือกว่าผู้อื่นเช่นกัน อย่างน้อยอาศัยแค่ความนิ่งสงบกับบุคลิกเช่นนี้ก็ไม่ธรรมดาแล้ว
จี้หยวนมองนักพรตชิงซง ฝ่ายหลังสบตาเขาโดยไม่รู้ตัว
“ท่านนักพรต ท่านคิดว่าเรื่องนี้ค่อนข้างแปลกด้วยกระมัง”
“ใช่ เป็นอย่างที่ท่านจี้กล่าว ข้าก็คิดเช่นนั้น อีกทั้งเถ้าแก่หวงยังรอดมาถึงที่นี่ถือว่าโชคเข้าข้างจริงๆ!”
นักพรตชิงซงไม่เพียงแต่คล้อยตามจี้หยวนเท่านั้น ตอนนี้เขาเริ่มดูโหงวเฮ้งสีหน้าปัจจุบันของหวงซิ่งเยี่ยโดยละเอียด กอปรกับตั้งดวงโดยอาศัยเรื่องราวที่บรรยายก่อนหน้านี้ ทำนายออกมาเป็นเรื่องแปลกบางอย่าง
“เถ้าแก่หวง สะดวกบอกวันเกิดแปดอักษรของท่านกับข้าหรือไม่”
มีจี้หยวนอยู่ด้านข้าง นักพรตชิงซงกล้าขึ้นมาบ้าง
คราวนี้เมื่อได้ยินว่านักพรตชิงซงจะดูดวงให้ตน แน่นอนว่าหวงซิ่งเยี่ยไม่มีทางปฏิเสธอีก รีบบอกวันเกิดแปดอักษรกับนักพรตชิงซงด้วยเสียงแผ่วเบา
ฝ่ายหลังฟังแปดอักษรของอีกฝ่าย ในใจใคร่ครวญโดยละเอียด มือนับตามข้อนิ้วเป็นพักๆ ร่วมกับการคำนวณแผนภูมิสวรรค์และกฎเกณฑ์หมู่ดาวในใจ
จี้หยวนมองอย่างใคร่รู้ พวกหวงซิ่งเยี่ยเฝ้ารออย่างตื่นเต้น
ความจริงหวงซิ่งเยี่ยมีครอบครัวใหญ่กิจการใหญ่ ตั้งแต่เล็กจนโตถือว่าดูดวงหลายรอบ โดยส่วนใหญ่ผลไม่ต่างกันนัก ไม่มีอะไรนอกจากคำว่าชีวิตดีเปี่ยมโชคลาภ
ครู่ใหญ่นักพรตชิงซงจึงพิจารณาร่วมกับโหงวเฮ้งของหวงซิ่งเยี่ยตอนนี้ค่อยกล่าว
“ชีวิตเถ้าแก่หวงวาสนาดีนัก ทั้งมีบรรพชนคุ้มครอง ขอแค่ตนกล้าลงมือกล้าทุ่มเทไม่เกียจคร้าน ครึ่งชีวิตแรกราบรื่น ครึ่งชีวิตหลังไม่อมทุกข์ ทว่า…”
“ตอนนี้เถ้าแก่หวงชะตาพบดาวร้าย เดิมบุญหนักไม่เกิดเรื่องใหญ่ แต่ปัจจุบันเจอเรื่องนี้ ภัยมนุษย์เปลี่ยนเป็นอันตราย ถือเป็นเคราะห์ตาย!”
สีหน้าหวงซิ่งเยี่ยไม่น่าดูอยู่บ้าง รอประโยคต่อไปของนักพรตชิงซง
“แม้ว่าชะตาชีวิตของท่านจะดี แต่โชคชะตาของคนเราใช่ว่าไม่เปลี่ยนแปลง ความรู้ ประสบการณ์ กรรมดีกรรมชั่ว ปัจจัยภายนอกล้วนส่งผล ตอนนี้เหมือนโชคชะตาท่านมีปราณประหลาดแฝงซ่อน ถึงขั้นคล้ายสิ่งมีชีวิต ครั้งก่อนดูโหงวเฮ้งท่านต่างจากครั้งนี้ หรือก็คือตอนนี้เมื่อทำนายร่วมกับแปดอักษรจึงค้นพบ…”
คำพูดของนักพรตชิงซงคนอื่นนอกจากตึงเครียดแล้วยังฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่จี้หยวนกลับตั้งใจฟัง ขณะเดียวกันตาทิพย์ยังสังเกตหวงซิ่งเยี่ยโดยละเอียด
เชื่อมโยงกับความรู้สึกที่แสดงออกมายามหวงซิ่งเยี่ยฟังนักพรตชิงซงกล่าว กลิ่นอายเขาเริ่มเปลี่ยนไป ถึงกับมีกลิ่นอายประหลาดคล้ายปลาไหลโคลนแหวกว่ายอยู่กลางกลิ่นอายเขา ถ้าไม่สังเกตโดยละเอียดย่อมมองข้ามโดยง่าย
นักพรตชิงซงทำนายโชคชะตา แน่นอนว่าต้องพูดเรื่องที่อยากกล่าวจนจบ
“ขอเพียงเถ้าแก่หวงฟันฝ่าเคราะห์ปีนี้ไปได้ ปีหน้าชะตาท่านพบเทพดวงจันทร์ กอปรกับแรงกดดันปีนี้ส่งผลสะท้อน หากแสวงความก้าวหน้าไม่เปลี่ยนย่อมพบมงคลใหญ่ ประสบความสำเร็จทุกเรื่อง”
ใบหน้าหวงซิ่งเยี่ยฝืนยิ้มเสี้ยวหนึ่ง
“แต่ต้องผ่านด่านนี้ให้ได้ก่อน!”
จี้หยวนได้ยินแล้วแสร้งถามประโยคหนึ่ง
“นักพรตชิงซง ท่านเคยคุยเรื่องปีศาจร้ายประหลาดบางอย่างกับข้า บอกว่าปีศาจร้ายบางส่วนสังเกตเห็นโชคชะตาพิเศษของผู้มีโชคยิ่งใหญ่ ทั้งกลัวโชคชะตาหนีหาย กระทั่งจัดฉากบางอย่างทำให้คนตกหลุมพราง เรื่องนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงใช่หรือไม่”
ได้ยินจี้หยวนกล่าวเช่นนี้ นักพรตชิงซงพยักหน้าลูกเดียว
“ท่านจี้พูดถูก คล้าย คล้ายมาก!”
จี้หยวนพยักหน้ากล่าวต่อ
“ก่อนหน้านี้คาดว่าคนถ่อยพวกนั้นไม่ได้อยากเผาเถ้าแก่หวงให้ตายจริงๆ แต่คิดทำให้เกือบตาย ค่อยเรียกร้องอะไรต่อ มิฉะนั้นตัวตายตะเกียงดับมอด โชคชะตาซ่านสลายไม่เกิดผล ใช่หรือไม่ท่านนักพรต”
“ไม่ผิด เป็นอย่างที่ท่านจี้กล่าว แต่ทำให้เกือบตายคงน่าสังเวชยิ่งกว่า…”
นักพรตชิงซงคล้อยตามทั้งยังไม่ลืมแสดงความเห็นของตน ส่วนจี้หยวนกล่าวเสริมต่อ
“บนโลกมีมารปีศาจบางส่วนซุ่มตัวอยู่ ค่อนข้างแปลกจริงๆ พวกมรรควิถีล้ำลึกหรือเจ้าเล่ห์ใช่ว่าไม่อาจฉวยโอกาสหลบเลี่ยงวิญญาณเทพ ครั้งนี้ดูท่าว่าพวกเขาคงไม่ปล่อยเถ้าแก่หวงไปแน่”
เห็นหวงซิ่งเยี่ยหดคอสีหน้าย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม จี้หยวนกล่าวปลอบเขาประโยคหนึ่ง
“แต่เถ้าแก่หวงโปรดวางใจ ตอนนี้ต่อให้เทพหลักเมืองไม่ช่วย นักพรตชิงซงก็ไม่มีทางนิ่งดูดาย ใช่หรือไม่ท่านนักพรต”
“ใช่ๆ ท่านจี้…เอ่อ…”
ฉีเซวียนพยักหน้าครึ่งหนึ่งแล้วตอบสนองกลับมากะทันหัน มองจี้หยวนอย่างอึ้งงัน เห็นฝ่ายหลังพยักหน้าทำให้เขาสบายใจ คราวนี้จึงฝืนกล่าวต่อ
“ไม่ผิด แม้ว่ามรรควิถีข้าตื้นเขิน แต่เมื่อผู้ศรัทธาหวงมาขอร้องถึงที่ ข้าย่อมไม่มีทางนิ่งดูดาย!”
หวงซิ่งเยี่ยเผยสีหน้ายินดี ครั้งนี้เขาขึ้นเขามาวิงวอน สิ่งที่เฝ้ารอคือประโยคนี้ เขารีบลุกขึ้นคารวะกล่าวขอบคุณอีกครั้ง บ่าวประจำตระกูลและสหายลี่เหมี่ยนด้านหลังโค้งคำนับเช่นกัน
“ขอบคุณนักพรตชิงซงที่ช่วยเหลือๆ! ครั้งนี้หากข้าคนแซ่หวงข้ามเคราะห์นี้ไปได้ ย่อมตอบแทนเต็มที่!”