ตอนที่ 169 เรื่องถึงเขาเมฆา
มารแท้ถูกตีสองครั้งไม่ใช่ว่าทำให้เขาบาดเจ็บเพียงอย่างเดียว นับว่าทิ้งตราประทับไว้ให้เขาด้วย ทั้งสามล้วนเข้าใจว่าร่องรอยแบบนี้ยากนักจะหายไปในระยะเวลาอันสั้น มักจะมีบางครั้งผู้ประสบเหตุคิดว่าแผลสมานแล้ว แต่ความจริงยังคงทิ้งร่องรอยไว้ ภายในร้อยปีไม่อาจค่อยๆ สูญหายไปตามกาลเวลา
นี่ยืนยันได้ว่าตอนนี้มารแท้หนีออกนอกขอบเขตของต้าเจินอย่างบ้าคลั่ง ไม่กล้ารีรอโดยสิ้นเชิง อย่างไรเสียมังกรเฒ่าและจี้หยวนก็ยังไม่ได้สาบาน นับว่าเป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม คำพูดของเซียนยังพอเชื่อถือได้ แต่มังกรแท้กลับพูดจากลับกลอกเสียจริง
“ท่านพ่อ ท่านอาจี้ พวกท่านว่ามารตนนี้พอถึงเวลาแล้วจะเสียดายและย้อนกลับมาทำลายต้าเจินหรือไม่”
บุตรมังกรอิงเฟิงแม้สนใจต้าเจินไม่เท่าไหร่ แต่ไม่ได้หมายความว่าอยากให้มีสิ่งอัปมงคลอย่างมารแท้ก่อเรื่องอยู่ในขอบเขตพื้นที่ซึ่งตนใช้ชีวิตอยู่
มังกรเฒ่ามองจี้หยวนที่กำลังหลับตาพักผ่อน จากนั้นกล่าวอย่างคาดเดาลึกซึ้งขึ้นมา
“อย่างน้อยก่อนที่ผลกระทบจากข้าและท่านอาจี้ของเจ้าจะหมดไปโดยสมบูรณ์ เขาไม่กล้ามีความคิดใดๆ ต่อต้าเจินแน่นอน ต่อให้เขากำจัดผลกระทบนั้นออกไปด้วยตนเอง เมื่อมาถึงต้าเจินแล้วก็จำเป็นต้องหลบลี้ข้าและท่านอาจี้ของเจ้าให้ได้ กอปรกับผลกระทบของคำสาบานเลือด เขาเจอพวกข้าไม่ต่างอะไรกับการทำลายตนเอง เมื่อประมือกันพลังแห่งคำสาบานจะก่อเกิด และจำเป็นต้องตายหากผิดคำสาบาน”
เมื่อฟังถึงตรงนี้แล้ว จี้หยวนลืมตามองบุตรมังกรก่อนยิ้มกล่าว
“ต่อให้เป็นเจ้า เขาก็ไม่กล้าเผชิญหน้าเช่นกัน แม้มารแท้แปลกพิสดาร แต่ขณะสาบานพวกเราสามคนล้วนเป็นประจักษ์พยาน”
เนื้อหาคำสาบานเลือดของมารแท้ตนนั้นเรียบง่ายมาก เข้าต้าเจินไม่ได้และยื่นมือเข้ายุ่งเกี่ยวกับต้าเจินด้วยวิธีใดๆ ก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน เมื่ออยู่ในระดับเดียวกับมารแท้และมังกรแท้ นั่นไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเกมทายคำเหมือนเมื่อชาติก่อนของจี้หยวนแล้ว คำสัญญาสาบานทั้งหมดเกิดขึ้นจากมรรคในจิตใจ แม้มารจะโกหกล้อเล่นกับจิตใจคน แต่ก็ต้องแบ่งแยกว่าพุ่งเป้าไปที่ใคร คำสาบานที่ถูกบังคับให้กล่าวครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
ดังนั้นบุตรมังกรยังคงหวาดระแวงอยู่บ้าง ทว่าจี้หยวนซึ่งรับรู้ถึงพลังของฟ้าดินและมังกรเฒ่าที่มีประสบการณ์มากมีพลังแข็งแกร่งกลับสบายใจแล้ว
แม้สองมังกรหนึ่งคนในจวนตระกูลหวงจะสงบใจได้แล้ว กระนั้นเทพข้างนอกจวนตระกูลหวงกลับเป็นกังวลใจมากดังเดิม
เทพหลักเมืองจังหวัดฉางชวนยืนสูงสามจั้งด้วยท่าของพระพุทธเจ้า ดวงตาจ้องมองท้องฟ้าที่เพิ่งเปลี่ยนแปลงไปเมื่อครู่ ตอนนี้เมฆดำกระจายตัว มีทั้งฟ้าแลบและฟ้าร้อง ดูแล้วยังคงมีความกดอากาศเหมือนเวลาฝนใกล้ตก
“เจ้าที่ เจ้าบอกว่าท่านเซียนระงับสิ่งชั่วร้ายนั่นไว้ได้ กำลังดื่มชากันอยู่ข้างในหรือ”
มีผู้พิกษาถามเจ้าที่ที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง เพราะอย่างไรก็มีเพียงเขาที่เห็นสถานการณ์จริงอยู่หลายครั้ง
เจ้าที่กลับมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม
“ไม่เป็นไรหรอก แม้ข้ามรรควิถีตื้นเขิน แต่ก็รับรู้ได้ว่าพลังของสิ่งชั่วร้ายนั่นตกเป็นรอง อีกทั้งยังมีมังกรแท้อยู่ด้วย!”
ความจริงแล้วผู้พิพากษายังอยากพูดว่ามังกรก็นับเป็นเผ่าปีศาจ แต่คิดดูแล้วว่าอยู่ใกล้ขนาดนี้ รวมถึงอีกฝ่ายเป็นถึงมังกรแท้ จึงไม่กล้าพูดอะไรมากเช่นกัน
“พวกเจ้าบอกว่าสิ่งชั่วร้ายนั่นมาจากที่ใดนะ”
“ไม่ใช่ปีศาจธรรมดา ไม่เช่นนั้นท่านเซียนยังต้องทำถึงขั้นนี้ด้วยหรือ”
“ถูกต้อง พวกเรายืนอยู่ตรงนี้แต่ไม่พบความผิดปกติอะไรในจวนตระกูลหวงเลย”
“เมื่อครู่เหมือนรู้สึกว่าปราณมารต่างไปจากเดิม”
“เหมือนจะเป็นเช่นนั้น”
“การต่อสู้สั้นๆ เมื่อครู่นี้มันเรื่องอะไรกัน”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูไม่เหมือนเป็นการต่อสู้ที่จะใช้พลังทั้งหมดนะ”
“ทำได้แค่รอผลลัพธ์แล้ว”
…
ระหว่างทางที่วิพากษ์วิจารณ์ ฝั่งจวนตระกูลหวงกลับมีเงาร่างสวมชุดคลุมเดินออกมา คนผู้นั้นไม่ได้ประดับกวานบนศีรษะ ไม่ปรากฏความผิดแปลกอัศจรรย์ใดๆ ท่ามกลางสายฝนโปรย
แต่เทพและผีทุกคนอยู่ต่อหน้านักพรตผู้นั้นแล้วล้วนจิตใจสั่นสะท้าน จากคำบอกเล่าของเจ้าที่ พวกเขาย่อมรู้ว่านั่นเป็นใคร จึงพากันประสานมือทักทาย
“คารวะท่านเซียน!”
“คารวะท่านเซียน!”
…
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่แทบเรียกได้ว่าอยู่ในระดับเซียนแท้ในตำนาน ต่อให้เป็นเทพหลักเมืองจังหวัดฉางชวนก็ไม่กล้าชักช้าไร้มารยาท
ผู้มาเยือนคือจี้หยวน เทพและผีจากศาลมืดทั้งหมดต่างแตกตื่นเพราะเรื่องในวันนี้ ออกมาพบหน้ากล่าวขอบคุณเสียหน่อยนับเป็นมารยาทขั้นพื้นฐาน ส่วนมังกรเฒ่าคร้านจะพบพวกเขา บัดนี้บินจากไปก่อนแล้ว
เห็นเทพและผีทำความเคารพ จี้หยวนรีบประสานมือคารวะกลับเช่นกัน
“ทุกท่านไม่จำเป็นต้องมากพิธี เรื่องในคราวนี้เกิดขึ้นกะทันหัน ลำบากให้ทุกท่านช่วยเหลือถึงจัดการสำเร็จได้ด้วยดี นี่เป็นบันทึกรายชื่อและฐานะทั้งสองเล่ม ขอศาลมืดทั้งสองแห่งเก็บไว้ให้ดี!”
จี้หยวนพูดพลางส่งหนังสือของศาลมืดสองเล่มออกไป มันลอยถึงมือของผู้พิพากษาของศาลมืดทั้งสองแห่ง
เทพหลักเมืองจังหวัดฉางชวนมองจวนตระกูลหวง จากนั้นกล่าวถามอย่างระมัดระวัง
“ท่านเซียน ประมุขมังกรจากแม่น้ำเทียมฟ้าและสิ่งที่อยู่ข้างในเล่า”
จี้หยวนชี้ไปบนท้องฟ้า
“ประมุขมังกรมีธุระมากมาย บัดนี้จากไปก่อนแล้ว ส่วนสิ่งที่ครอบครองกายเนื้อของฉู่หมิงไฉเป็นมารแท้ เขาถูกบังคับให้ลงคำสาบานเลือดมารสวรรค์ เข้าสู่ต้าเจินไม่ได้อีก อีกทั้งได้รับการจู่โจมจากข้าและประมุขมังกร หลบหนีออกจากต้าเจินไปแล้ว”
มารแท้!
ผู้ฟังล้วนอกสั่นขวัญหาย นี่ยังถือว่ามีโชคอยู่บ้าง สิ่งชั่วร้ายแปลกและอันตรายพรรค์นี้ไม่มีใครหวังพบเจอทั้งนั้น
“เรื่องนี้จบลงแล้ว ต้องรบกวนเจ้าที่รับคนตระกูลหวงกลับมา ร่างของฉู่หมิงไฉผู้นั้นยังอยู่ในจวนตระกูลหวง จะจัดการอย่างไรข้าไม่ขอยุ่งแล้ว แต่หวังว่าทุกท่านจะจัดการอย่างเหมาะสม”
เรื่องจุกจิกมีรายละเอียดแบบนี้ เทพและผีในที่นี้ไม่กล้าทำให้เซียนแท้ลำบากเช่นกัน
“ท่านเซียนโปรดวางใจ ข้าจะให้ผู้อาวุโสตระกูลฉู่ซึ่งยังมีอายุขัยอยู่ในศาลมืดจังหวัดฉางชวนเข้าฝันคนในตระกูล เพื่อให้คนตระกูลหวงเข้าใจว่าลูกหลานถูกมารร้ายทำร้าย ไม่มีทางพาลใส่ตระกูลหวงแน่นอน”
มีคำพูดนี้ของเทพหลักเมืองจังหวัดฉางชวนแล้วย่อมลดความกังวลลงได้มาก ถึงเวลานั้นต่อให้สองตระกูลหวงและฉู่บาดหมางกันอีกก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลแล้ว
“ลำบากท่านเทพหลักเมืองแล้ว ลำบากทุกท่านเช่นกัน ข้าขอตัวลาก่อน!”
จี้หยวนประสานมือคารวะอีกครั้ง จากนั้นพยักหน้าให้เจ้าที่เบาๆ คราวนี้ถึงจะย่ำเท้าลอยขึ้นสู่เมฆหมอก หายเข้าไปในเมฆดำบนท้องฟ้าอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
หลังจากนั้นครู่หนึ่งไม่ได้มีฝนตกหนัก เมฆดำบนท้องฟ้ากระจายตัวหายไปจนสิ้น
ทั้งวันนี้คนตระกูลหวงย่อมกระวนกระวายใจตลอดเวลา แต่สำหรับเทพผีทั้งหมด โดยเฉพาะเจ้าที่ยิ่งอกประหวั่นพรั่นพรึง
คนธรรมดาเพียงล่วงรู้ว่าเป็นภัยจากปีศาจทว่าไม่รู้รายละเอียดภายใน ส่วนสำหรับเทพผีแล้ว เซียนแท้ มังกรแท้ มารแท้ ไม่ว่าฝ่ายไหนล้วนเป็นการคงอยู่ในตำนานเลื่อนลอย วันนี้ได้พบทั้งสามฝ่ายพร้อมกัน อีกทั้งเกือบประมือกันในอำเภอตงเยวี่ยแห่งนี้ด้วย แต่หากมีการเคลื่อนไหวชนิดมังกรดินพลิกตัว จะบอกว่าโชคดีเป็นล้นพ้นคงไม่มากจนเกินไป
…
เขาเมฆา ภายในอารามเขาเมฆาบนยอดเขาหมอกอำพราง จี้หยวนและมังกรเฒ่า รวมถึงบุตรมังกรกลับมาถึงที่นี่พร้อมกัน
เพิ่งถึงหน้าประตูอารามไม่ทันไร ฉีเหวินที่กำลังคิดจะออกไปเก็บฟืนเห็นทั้งสามคนพอดี พลันตื่นเต้นร้องทักเสียงดังขึ้นมา
“ท่านจี้! อาจารย์…ท่านจี้กลับมาแล้ว ท่านจี้กลับมาแล้ว!”
“อะไรนะ ท่านจี้กลับมา!”
นักพรตชิงซงก็วิ่งออกมาจากข้างในเช่นกัน มองจี้หยวนสามคนด้วยความแปลกใจระคนยินดี
จี้หยวนสวมชุมคลุมเต๋าไม่อ้วนไม่ผอม ส่วนชายชราและชายหนุ่มข้างๆ สวมชุดคลุมผ้าไหมหรูหราในระดับเดียวกัน มองดูแล้วไม่เหมือนปีศาจ
“โอ้ ท่านนี้ก็คือนักพรตชิงซงที่คุยโวว่าฝีมือทำอาหารยอดเยี่ยมกว่าจวนเซียนหรือ”
บุตรมังกรเห็นนักพรตชิงซงแล้วพลันเย้าประโยคหนึ่ง จากนั้นเขาคล้ายกับเล่นมายากล ยกปลาซ่งตัวใหญ่ขนาดเท่าครึ่งตัวคนขึ้นจากข้างกาย
“นี่คือปลาซ่งจากแม่น้ำเทียมฟ้า ข้าขอดูหน่อยเถอะว่าเจ้าจะทำรสชาติใดออกมาได้!”
“ปลาตัวใหญ่ขนาดนี้เชียว! ข้าขอลองยกหน่อยได้หรือไม่”
ฉีเหวินเบิกตากว้าง เดินไปข้างหน้าด้วยความใคร่รู้ บุตรมังกรจึงส่งปลาให้เขา
ปลาตัวนี้เพิ่งถึงมือฉีเหวิน ปลาซ่งที่เมื่อครู่นี้ไม่ขยับเหมือนกับปลาตายดีดตัวดังพึ่บพับ ทำให้ฉีเหวินซวดเซเกือบจับไว้ไม่อยู่ ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่าเสื้อผ้าจะเปื้อนหรือไม่ รีบจับไว้ให้มั่นก่อน
“ปลานี้ยังมีชีวิตอยู่หรือ พวกท่านนำมันปีนเขาขึ้นมาได้อย่างไร หนักยิ่งนัก อาจารย์ ปลานี้หนักมากกว่าสี่สิบชั่งแน่ๆ!”
ขณะฉีเหวินพูด ปลาตัวใหญ่ยังคงดีดดิ้นอยู่ในอ้อมแขนเขา มองดูแล้วน่าขันนัก แต่ความจริงแล้วหากเปลี่ยนเป็นบุรุษธรรมดา ป่านนี้คงแบกปลาตัวนี้ไว้ไม่ไหวแล้ว
“อย่ามัวยืนอยู่ข้างนอกเลย รีบเข้าไปข้างในเถอะ มีปลาตัวใหญ่แล้ว วันนี้ข้าจะต้องทำอาหารรสเลิศสักมื้อแน่นอน!”
ตอนฉีเซวียนเรียก จี้หยวนผายมือเชิญมังกรเฒ่า จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ตามกันเข้าไปในอาราม
หลังจากแนะนำตัวและดื่มชาที่โถงหน้าอยู่พักหนึ่งแล้ว นักพรตชิงซงหาเวลาเชิญจี้หยวนไปที่ห้องครัวข้างๆ ชำเลืองมองผู้สวมชุดคลุมผ้าไหมสองคนที่นั่งอยู่ทางนั้น ฝ่ายผู้ชราหลับตาพักผ่อน ส่วนผู้เยาว์กว่ากำลังสนทนากับฉีเหวิน
ฉีเซวียนถามจี้หยวนเสียงเบา
“ท่านจี้ ข้ามองโหงวเฮ้งของสองคนนั้นแล้วงุนงงนัก พวกเขาไม่ใช่มนุษย์กระมัง”
“หืม โรคเก่ากำเริบใช่หรือไม่ นอบน้อมสามส่วน ธรรมดาเจ็ดส่วนก็เพียงพอแล้ว”
จี้หยวนยิ้มอย่างไม่ยี่หระ ไม่ได้พูดอะไรชัดเจนก็จากไปแล้ว เรื่องมาถึงวันนี้ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับตระกูลอิงแล้วจริงๆ
สองอาจารย์ศิษย์ง่วนอยู่กับการปรุงปลาตัวใหญ่ในห้องครัว ข้างโต๊ะเล็กที่ย้ายออกมาวางหน้าตำหนักหลักของอารามนั้น จี้หยวนพูดคุยเรื่องในวันนี้กับข่าวลือของหอความลับสวรรค์ร่วมกับมังกรเฒ่า
“เดิมทีเรื่องของหอความลับสวรรค์ข้าถือเป็นเพียงเรื่องตลก ไม่คิดเลยว่าจะชักนำมารแท้มาด้วย แต่เขาค่อนข้างโชคร้าย บังเอิญเจอกับท่านจี้”
“เรื่องตลกนี้ไม่ค่อยตลกเท่าไหร่นัก หวังเพียงอย่ามีคนเกี่ยวข้องมากจนเกินไป ผู้อาวุโสอิงก็เคลื่อนไหวหน่อย อย่างไรเสียต้าเจินแห่งนี้ก็เป็นสถานที่พำนักของท่าน”
มังกรเฒ่าจิบชาคุณภาพต่ำของอาราม ดื่มแล้วไม่ชอบใจอยู่บ้าง
“นั่นย่อมแน่นอน พูดแล้วคนพวกนั้นที่เขาล้อมหยกไม่ค่อยมีประโยชน์อะไร ตอบสนองช้าเกินไปด้วย”
คำแขวะของมังกรเฒ่าเตือนสติจี้หยวนแล้ว แม้ต้าเจินจะเป็นสถานที่ห่างไกลตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเกาะเมฆาบูรพา แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้มีมังกรแท้เพียงตัวเดียว เขาล้อมหยกจะลองเสาะหาดูก็ได้
‘ไม่รู้ว่าฉิวเฟิงมีตำแหน่งใดที่เขาล้อมหยก และไม่รู้เหมือนกันว่าคนตระกูลเว่ยขึ้นเขาแล้วหรือยัง…’
ในตำรารวมที่จี้หยวนครอบครองอยู่ตอนนี้ ผู้เขียนส่วนใหญ่ฝักใฝ่ในมรรคเซียน จึงเขียนบรรยายเกี่ยวกับจวนเซียน ภูเขาซึ่งมีชื่อเสียง และทิวทัศน์งดงาม ทว่าเก็บงำเรื่องราวความลับภายในจวนเซียนเอาไว้ ดังนั้นเขาไม่แน่ใจสถานการณ์ในจวนเซียนอย่างชัดเจนเลย
คิดถึงตรงนี้แล้ว จี้หยวนยืมตำราที่นักพรตชิงซงอ่านในเวลาว่างมาศึกษาวิชาดูดวงอย่างละเอียด หลังจากนั้นหยิบหยกประดับตระกูลเว่ยออกมาสัมผัสพลัง นับนิ้วคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง
เหมือนกับความสามารถประหลาดของจี้หยวนก่อนหน้านี้ ทีแรกลองคำนวณแล้วได้ความว่า ‘ไม่ปกติ’ แต่ผลลัพธ์กลับไม่เลว ในใจพลันเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ล่วงรู้ว่าธุระของตระกูลเว่ยยังไม่จบสิ้น ยิ่งมีโอกาสอยู่ในช่วงคลุมเครือถึงสามปี