ตอนที่ 172 จิ้งจอกพูดจ้อ เด็กชายหยวนเซิง
ด่านหลอมกระดูกสำหรับปีศาจ ความจริงจี้หยวนเคยทำการค้นคว้ามาแล้วบ้าง ใช่ว่ามีกระดูกท่อนหนึ่งงอกอยู่ในคอหอยจริงๆ ยิ่งคล้ายกับบรรยายด้วยภาพวาดพู่กันมากกว่า
หลักๆ คือต้องการชี้ว่าสัตว์ปีศาจที่มีปัญญาเริ่มควบคุมลิ้นส่งเสียงได้ คล้ายมีก้างติดคอ มีกระดูกติดคออยากพูดทว่าพูดไม่ออก เมื่อหลอมกระดูกแล้วจะเกิดช่องว่างที่ลิ้น อากาศทำปฏิกิริยา ทำให้เจ้าของลิ้นส่งเสียงได้
และมีคำพูดหนึ่งบอกว่ากระดูกขวางหมายถึง ‘กระดูกลิ้น’ แต่ต้องเป็นอิทธิพลทับซ้อนของสรีระวิทยาและจิตวิทยาเป็นแน่ ไม่ว่าอย่างไรการหลอมกระดูกก็นับเป็นด่านยากด่านแรกในขั้นตอนเปลี่ยนจากสัตว์เป็นปีศาจ หากกล่าวเป็นจริงเป็นจังก็ถือว่าผ่านด่านนี้แล้วจะได้เป็นภูต
ขั้นตอนที่ยากนักจะได้เห็นสักครั้งนี้ จี้หยวนสัมผัสได้อย่างสมจริงผ่านตัวหมาก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงจากการไอแต่ละเสียงของจิ้งจอกแดงหูอวิ๋น เขาล้วนเหมือนกับนั่งฟังอยู่ข้างๆ เอง
ยอดเขาสีชาดเหนือเขาเมฆา บนใบหน้าของจี้หยวนซึ่งนอนตะแคงหลับตาปรากฏรอยยิ้ม จิ้งจอกน้อยตื่นจากฝันแล้ว คราวนี้ความเชื่อมโยงกับตัวหมากเริ่มจางลงแล้ว
ภายในเรือนสันติ อิ๋นชิงได้ยินเสียงไอจึงหันกายไปมอง พบว่าที่กำลังไออยู่คือจิ้งจอกแดงซึ่งอยู่บนโต๊ะหิน เขาไม่เคยได้ยินสัตว์ไอมาก่อน ทีแรกคิดว่ามันสำลักพุทราเสียมากกว่า
“แค่ก…แค่กๆๆ…แค่กๆๆๆ..แค่ก…”
เพิ่งเดินเข้าไปใกล้หลายก้าวก็พบอีกว่าจิ้งจอกน้อยไอหนักขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดคิดไปเองว่าจิ้งจอกไอเอาก้อนฝุ่นออกมาหลายก้อน
“จิ้งจอกน้อยเจ้าเป็นอะไรไป อยากดื่มน้ำหรือไม่”
อิ๋นชิงรีบเดินไปที่หน้าโต๊ะหิน เทน้ำจากกาน้ำข้างโต๊ะ ก่อนจะยื่นไปใกล้ๆ ปากจิ้งจอกแดง
“ดื่มน้ำให้ชุ่มคอหน่อยเถอะ!”
จิ้งจอกแดงไออีกครู่หนึ่งจนในที่สุดก็สงบลง เข้าไปใกล้ถ้วยชาที่อิ๋นชิงวางไว้ข้างๆ เลียน้ำชาเย็นชืดที่ไร้ใบชาไม่ยอมหยุด
ตอนนี้จิ้งจอกแดงหัวใจเต้นเร็วมาก จึงอาศัยการดื่มน้ำระงับอารมณ์ตื่นเต้นตื้นตันในตอนนี้ มันย่อมรู้ชัดเจนแล้วว่าตนเองผ่านด่านอะไรบางอย่าง
ปราณวิญญาณหลายกลุ่มในตอนนี้สัมผัสร่างกาย ความรู้สึกที่มีต่อปราณวิญญาณภายนอกยิ่งว่องไวขึ้นไม่น้อย
จิ้งจอกแดงรู้สึกได้รางๆ ว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นไม่ใช่ความฝันของตนเองทำให้หลอมกระดูกแล้ว แต่จำชื่อที่ลืมไปแล้วในช่วงเวลาหลายปีซึ่งอยู่บนเขา ตนเองชื่อว่า ‘หูอวิ๋น’ เป็นชื่อที่ท่านผู้นั้นตั้งให้!
“หู…หูอวิ๋น…”
เสียงสดใสดังออกมาจากปากจิ้งจอกแดง ทำเอาอิ๋นชิงตกใจจนสะดุ้งโหยง ชี้จิ้งจอกน้อยพูดไม่ออก ความตื่นตกใจที่มีเจือไว้ด้วยความกลัวอันแรงกล้ากลุ่มหนึ่ง
จิ้งจอกน้อยพูดชื่อของตนเองแล้ว พลันใช้อุ้งเท้าสองข้างปิดปากตนเองไว้ตามจิตใต้สำนึก ตามด้วยความหวั่นกลัวและความตื่นเต้นที่มากกว่า ส่วนอิ๋นชิงเบิกตาโพลงมองมัน
“เจ้าพูดได้?”
อิ๋นชิงกล่าวออกไป สอบถามด้วยความระมัดระวังระคนแปลกใจ
จากนั้นจิ้งจอกแดงพูดเลียนแบบเขาโดยสัญชาตญาณ
“เจ้า พูดได้…”
“เดิมทีข้าพูดได้อยู่แล้ว ข้าถามเจ้าต่างหาก!”
“เดิม ทีข้าพูดได้อยู่แล้ว ข้าถามเจ้า…”
ความปีติในดวงตาจิ้งจอกแดงยิ่งมายิ่งปิดบังไว้ไม่อยู่ เลียนแบบอิ๋นชิงพูดจาเหมือนนกแก้ว แม้พบว่าการออกเสียงยังผิดแปลกอยู่ ทว่าเสียงสดใสน่าฟังทีเดียว
“เจ้ากำลังเลียนแบบข้าพูด?”
“เรียน พูด!”
จิ้งจอกแดงพยักหน้าแรงๆ จากนั้นใช้อุ้งเท้าชี้ตนเอง
“หู…อวิ๋น!”
อิ๋นชิงชะงักไปเล็กน้อย คิดดูแล้วค่อยนึกถึงรายละเอียดเรื่องราวในช่วงเวลานั้น ความยินดีบนใบหน้ายิ่งชัดเจน
“ใช่ๆๆ เจ้าชื่อหูอวิ๋น ท่านจี้ตั้งชื่อให้เจ้า เจ้าชื่อหูอวิ๋น!”
“หูอวิ๋นๆ เจ้าชื่อหูอวิ๋น!”
จิ้งจอกแดงยกอุ้งเท้าขึ้นด้วยความดีใจ
“ไม่ถูกๆ ข้าชื่ออิ๋นชิง เจ้าต่างหากชื่อหูอวิ๋น! ช่างเถอะๆ ข้าจะสอนเจ้าพูดเอง!”
“สอน พูด! สอนพูด!”
เดิมทีจิ้งจอกแดงฟังภาษาคนรู้เรื่องส่วนหนึ่งแล้ว อย่างน้อยแยกแยะเจ้าข้าเขาได้ ทว่าการพูดกับการฟังนั้นแตกต่างกัน จึงอดไม่ได้ที่จะพูดเลียนแบบอิ๋นชิง มีอิ๋นชิงสอนมัน ความเร็วในการเรียนพูดไม่มีทางช้าแน่นอน
หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกต่างฝ่ายต่างดีใจอยู่ในเรือนสันติ ราวกับเจอสิ่งน่าสนุกบางอย่าง เริ่มพูดคุยต่อบทสนทนากันแล้ว
ต้นพุทราช่วยบังแสงอาทิตย์สีทองอร่ามของฤดูใบไม้ร่วงที่ลานบ้าน กิ่งก้านและใบพลิ้วไหวตามสายลม ต้นไม้ทั้งต้นสงบสุขยิ่งขึ้น
…
จวนตระกูลเว่ยแห่งจังหวัดเต๋อเซิ่ง ตอนนี้มีเด็กทารกตัวขาวอวบสวมตู้โตวสีแดงกำลังวิ่งเท้าเปล่าอยู่บนทางเดินในจวน
บนมือเด็กชายกอดตุ๊กตาเสือทำจากผ้าฝ้ายตัวใหญ่ ขณะเดียวกันสับขาเล็กๆ วิ่งบนทางเดิน
“นายน้อย…นายน้อยอยู่ที่ไหน! นายน้อยอย่าทำให้ข้าตกใจเลย!”
เสียงตระหนกของสาวใช้ดังมาจากอีกด้านหนึ่ง รีบร้อนวิ่งผ่านทางเดินของลานด้านในตรงนี้ จากนั้นย้อนกลับมาทันที เจ้าตัวเล็กอวบอ้วนสวมตู้โตวยังคงวิ่งอยู่ข้างหน้า นางผ่อนลมหายใจแรงๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะรีบตามไป
“นายน้อย นายน้อยอย่าวิ่งเลย ระวังล้มด้วยเจ้าค่ะ!”
เด็กชายสวมตู้โตวก็คือเว่ยหยวนเซิง แก้วตาดวงใจของเว่ยอู๋เว่ย หรือเรียกได้ว่าเป็นแก้วตาดวงใจของเหล่าผู้อาวุโสตระกูลเว่ย ส่วนคนที่ตามมาคือสาวใช้ติดกายคอยดูแลเด็กชายผู้นี้ ปีนี้นางอายุสิบเจ็ดปี
“เรียนหนังสือไม่สนุก ไม่สนุกเลยสักนิด ข้าจะไปหาท่านแม่ ข้าจะไปหาท่านพ่อ!”
สาวใช้คล่องแคล่วว่องไว เร่งความเร็วขึ้นไปสิบกว่าก้าวก็ตามเด็กชายทันแล้ว นางรวบเขาอุ้มขึ้น
“นายน้อยอย่าซนสิเจ้าคะ อาจารย์มาสอนหนังสือท่านวันแรก อย่าสร้างความประทับใจที่ไม่ดีแก่เขาเลยนะเจ้าคะ!”
เด็กชายไม่สนใจคำพูดจริงจังของสาวใช้ ขยับตัวไปมาในอ้อมแขน ใช้มือเท้าเล็กมีเนื้อนุ่มเตะตีใบหน้าสาวใช้เป็นครั้งคราว
“เสี่ยวชุ่ยรีบปล่อยข้า ข้าจะไปตัดสินกับท่านพ่อ ไหนเลยจะให้เด็กสามขวบเริ่มเรียนหนังสือตอนนี้ ข้าไม่ไปๆ อาจารย์เคราเฟิ้มนั่นข้าก็ไม่อยากไปเจอ!”
ด้านหลังทางเดิน อาจารย์อาวุโสคว้าตำราวิ่งมาพลางหอบหายใจ
“ฮู่…ฮู่…แม่นางเสี่ยวชุ่ย หาเจอหรือไม่”
“เจอแล้วเจ้าค่ะ อาจารย์ท่านไม่ต้องกังวล มีคนมากมายซ่อนตัวเฝ้าดูอยู่ทั้งในและนอกจวนตระกูลเว่ย นายน้อยไม่มีทางเป็นอะไรเจ้าค่ะ โอ๊ยๆๆ…นายน้อยดึงตรงนั้นไม่ได้”
อาจารย์อาวุโสรีบปิดตาหลับหลังหัน ปากพร่ำพูดว่า “เสียมารยาท มองไม่ได้!”
หลังจากนั้นครึ่งเค่อ เว่ยหยวนเซิงกลับไปยังหน้าโต๊ะในห้องหนังสืออีกครั้ง ถูกสาวใช้เสี่ยวชุ่ยกดร่างลงบนเก้าอี้ปูด้วยเบาะผ้าไหมหลายชั้น
“อาจารย์ ครั้งนี้เสี่ยวชุ่ยจะคอยดูอยู่ข้างๆ ปล่อยพวกท่านเรียนหนังสือกันตามลำพังไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ”
จากประสบการณ์เมื่อครู่นี้ อาจารย์อาวุโสตกใจไม่น้อยเลย ย่อมไม่กล้าปฏิเสธอยู่แล้ว
“ตกลงๆ…”
เว่ยหยวนเซิงที่เมื่อครู่บอกว่าอายุสามขวบนั้นความจริงแล้วอายุยังไม่ครบสองขวบด้วยซ้ำ กระโดดลงจากเก้าอี้ปูเบาะสูงขนาดนั้นดื้อๆ อาจารย์ต้องตกใจจนตัวสั่นแน่อยู่แล้ว จากนั้นเด็กชายไม่เพียงไม่เป็นไร ยังหนีเรียนไปเองอีกต่างหาก
“ทว่าคุณชายของจวนเป็นเด็กฉลาดเพียงคนเดียวที่ข้าผู้ชราเคยพบ หากตั้งใจเรียนให้ดีอนาคตอาจเป็นท่านอิ๋นคนที่สองของจังหวัดเต๋อเซิ่งเราก็เป็นได้”
อิ๋นจ้าวเซียนตอนนี้มีตำแหน่งค่อนข้างสูงท่ามกลางบัณฑิตในจังหวัดเต๋อเซิ่ง อาจารย์อาวุโสผู้มีประสบการณ์และอายุหกเจ็ดสิบปีผู้นี้ก็แอบยกย่องเขาเรียกว่า ‘ท่านอิ๋น’ เช่นกัน เห็นได้ชัดเจนว่าแม้แต่การสอบสามหยวน[1]ก็ได้รับอิทธิพลสูงมาก
อาจารย์อาวุโสลูบเครามองเด็กชายที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ บนตัวมีแต่เนื้อจ้ำม่ำขาวๆ ปากแดง ฟันขาว เขากลัวร้อน จึงสวมเพียงตู้โตวสีแดง มองแล้วยิ่งน่ารักน่าชังกว่าเดิม
คนเกินครึ่งจังหวัดเต๋อเซิ่งล้วนรู้ว่าคุณชายน้อยตระกูลเว่ยเกิดเดือนสิบเอ็ดปีกระต่าย เมื่อเกิดแล้วมีอายุหนึ่งปี บัดนี้ผ่านมาสองปีแล้วจึงมีอายุสามปี แต่ความจริงแล้วมีอายุเพียงหนึ่งปีครึ่งเท่านั้น
เด็กแบบนี้หากอยู่ในครอบครัวอื่น เรื่องที่น่ากังวลใจที่สุดคือการขับถ่าย แต่ตระกูลเว่ยเชิญตนเองมาสอนหนังสือเสียแล้ว
เดิมทีเพียงเห็นแก่เงิน แต่เมื่ออยู่ร่วมกับนายน้อยตระกูลเว่ยผู้นี้ได้พักหนึ่ง อาจารย์อาวุโสก็ประทับใจในความเป็นอัจฉริยะแล้ว
นี่คือเด็กสามขวบหรือ แม้บอกว่ายังคงมีเสียงอ้อแอ้ ทว่าความฉลาดเฉลียวนี้ไม่ธรรมดา หากต้องการอธิบายล่ะก็คงเหมือนมีไหวพริบดีอย่างไรอย่างนั้น
“เสี่ยวชุ่ยเจ้าไปเถอะ เจ้าไม่ไปข้าก็ไม่สอน!”
เว่ยหยวนเซิงยังคงโมโหอยู่ ไม่อยากให้สาวใช้อยู่ข้างกาย
เสี่ยวชุ่ยมองอาจารย์อย่างวางตัวไม่ถูก ลังเลครู่หนึ่งค่อยกล่าวขึ้น
“เช่นนั้นนายน้อยอย่าวิ่งซนนะเจ้าคะ ข้าจะอยู่ข้างนอก และคืนนี้ผู้นำตระกูลต้องถามเรื่องท่านในวันนี้แน่ หากท่านหนีไปอีก ข้าไม่ช่วยท่านไกล่เกลี่ยแล้วนะเจ้าคะ!”
“เจ้า! เจ้า!”
เว่ยหยวนเซิงใช้นิ้วอวบอ้วนชี้เสี่ยวชุ่ย อยากต่อว่าแต่นึกคำหยาบไม่ออกโดยสิ้นเชิง
“เจ้าใจร้าย!”
“รบกวนอาจารย์แล้วเจ้าค่ะ!”
เสี่ยวชุ่ยคารวะอาจารย์แล้วถึงออกไป ฝ่ายอาจารย์อาวุโสก็ประสานมือคารวะกลับไปเช่นกัน
“ข้าจะพยายามสุดความสามารถ!”
เมื่อสาวใช้ออกไปแล้ว อาจารย์อาวุโสมองเด็กชายอีกครั้ง เผยใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ตนเองคิดว่ามีเมตตาสุดๆ
“คุณชายน้อยรู้หรือไม่ว่าตอนนี้เป็นปีอะไร”
“แน่นอนว่าเป็นปีงู”
“อืม เช่นนั้นปีนี้คุณชายน้อยอายุสามขวบ เท่ากับว่าท่านเกิดปีใดหรือ”
“ปีกระต่าย!”
“ดี เช่นนั้นถ้าหาก…”
“เดี๋ยวๆๆ…”
เว่ยหยวนเซิงโบกมือเล็กๆ
“ถามนู่นถามนี่ นี่ก็ไม่รู้นั่นก็ไม่รู้ ยังกล้ามาสอนข้าอีกหรือนี่”
อาจารย์อาวุโสถูกตอกกลับจนสำลัก
“คุณชายน้อยฉลาดเฉลียวมาก ข้าผู้ชราเกิดมาเพิ่งเคยพบเห็น หลายปีมานี้ข้าเป็นดาวบุ๋นผู้เปล่งประกายในจังหวัดเต๋อเซิ่งเชียวนะ”
“ข้าเพิ่งครบเดือนก็ได้ดื่มน้ำผลไม้เซียนแล้ว แน่นอนว่าต้องสุดยอดมาก”
คำพูดเช่นนี้อาจารย์อาวุโสฟังแล้วย่อมหัวเราะ
“ฮ่าๆ คุณชายน้อยล้อเล่นแล้ว”
“ดูสิ ว่ากันว่าคำพูดเด็กไร้ความหมาย เจ้าก็เลยไม่เชื่อวาจาเด็กสามขวบกระมัง”
ทว่าเด็กชายกลัวบิดา ทำได้เพียงอดทนอดกลั้น แม้น่าเบื่อก็ยังคงพยายามเรียนหนังสือ
อาจารย์อาวุโสลูบเคราพลางหยิบ ‘วาทหมู่ปักษา-คำตอบของนักเรียน’ เล่มหนึ่งขึ้นมา งานเขียนของอิ๋นจ้าวเซียนเป็นที่รู้จักในจังหวัดเต๋อเซิ่งแล้ว ความยอดเยี่ยมของเล่มแรกอยู่ที่ความน่าสนใจและความเรียบง่าย โดยเฉพาะเนื้อหาที่เรียบเรียงใหม่อ่านคล่องปากยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ เหมาะกับการให้ความรู้เป็นอย่างยิ่ง
เมื่อครู่ทดสอบความสามารถในการทำความเข้าใจของคุณชายน้อยแล้ว อาจารย์อาวุโสเชื่อว่าตนเองอ่านให้เขาฟังแล้วน่าจะเข้าใจได้
เย็นวันนั้น เว่ยอู๋เว่ยกลับมาแล้วไถ่ถามเรื่องการเรียนจากอาจารย์อาวุโสแซ่หลี่เป็นอันดับแรก และไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ได้ยินอีกฝ่ายชมความเฉลียวฉลาดของบุตรชายไม่ขาดปาก
จากนั้นค่อยไปถามเว่ยหยวนเซิงตามลำพัง
ในห้องนอนของฮูหยิน หน้าตะเกียงน้ำมันนั้นเอง เว่ยหยวนเซิงอยู่ในอ้อมแขนของมารดาซึ่งนั่งอยู่บนเตียง เว่ยอู๋เว่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือข้างๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เว่ยอู๋เว่ยแบไต๋กับบุตรชายตนเอง
“หยวนเซิง วันนี้เจ้าแสดงความสามารถได้ไม่เลว รู้หรือไม่ว่าเหตุใดพ่อถึงให้เจ้าเรียนหนังสือเร็วขนาดนี้”
เว่ยหยวนเซิงกอดตุ๊กตาเสือที่ตนเองชอบที่สุดพลางตอบ
“เพราะข้าฉลาด!”
“เด็กคนนี้นี่…เจ้าฉลาดนั้นแน่นอนว่าเป็นเงื่อนไขแรกสุด ทว่าเพราะก่อนเจ้าจะอายุห้าขวบ พ่อจะพาเจ้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง กว่าจะถึงวันนั้นเจ้ารู้จักตัวหนังสือก่อนคงดียิ่งนัก”
“ห้าขวบ?”
เว่ยหยวนเซิงแยกนิ้วนับเลข นั่นไม่ใช่ปีหน้าๆ หรอกหรือ
“สามี…หยวนเซิงยังเด็กอยู่เลย…”
ฮูหยินเว่ยไม่ชอบใจอยู่บ้าง แต่ยังพูดไม่จบก็ถูกเว่ยอู๋เว่ยขัด
“ฮูหยินอย่าห้ามเลย เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงอนาคตของหยวนเซิง และเกี่ยวพันถึงอนาคตของตระกูลเว่ยด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นโอกาสที่พันปียากจะพบสักครั้ง จะปล่อยผ่านไปไม่ได้”
พูดถึงตรงนี้แล้ว เว่ยอู๋เว่ยลุกขึ้นยืน เดินไปที่หน้าเตียงแล้วย่อร่างท้วมของตนเองนั่งยองลง มองบุตรชายตนเองอย่างจริงจังก่อนจะค่อยๆ เอ่ย
“คืนนี้เป็นครั้งแรกที่พ่อพูดความลับของตระกูลเว่ยเราให้เจ้าฟัง แม้เจ้ายังเด็ก แต่พ่อเชื่อว่าเจ้ารู้จักแยกแยะ เรื่องนี้ไม่อาจพูดมั่วชนิดที่ไม่มีอะไรมาอุดปากได้เหมือนเมื่อกลางวัน อย่างน้อยหนึ่งถึงสองปีนี้ก็ไม่ได้ หากลือออกไปข้างนอกแล้วตระกูลเว่ยเราจะโชคดีหรือเจอหายนะก็ยากนักจะคาดเดาได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
เว่ยหยวนเซิงกลัวอยู่บ้าง อ้อนมารดาตนเอง ตอบเสียงอ้อแอ้ว่า
“เข้าใจแล้ว…”
เว่ยอู๋เว่ยพยักหน้า คราวนี้หรี่ตาหวนรำลึกแล้วพูดอีก
“ตระกูลเว่ยเรามีหยกล้ำค่า ก่อนหน้านี้สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น หลายปีมานี้ในหมู่พวกเรามีคนไม่ซื่อสัตย์ภักดี จากนั้นออกจากกลุ่มไปเปลี่ยนฝ่ายเป็นศัตรู…เรื่องนี้ต้องเล่าตั้งแต่ที่อำเภอหนิงอัน…”
[1] การสอบสามหยวน ประกอบด้วย เจี้ยหยวน ฮุ่ยหยวน และจ้วงหยวน คือการสอบชิงอันดับหนึ่งของการสอบระดับเมืองเอก (州解试) การสอบชิงอันดับหนึ่งของการสอบระดับเมืองหลวง (会试) และการสอบชิงอันดับหนึ่งของการสอบหน้าพระที่นั่ง (殿试) ตามลำดับ