ตอนที่ 179 เคารพและทำตามคำสอนอาจารย์
หูอวิ๋นกระโดดออกจากถ้ำ หางยาวแผ่ออกและสะบัดไปมาอยู่ข้างหลัง มันดูออกว่าเจ้าภูเขาลู่ดีใจมากจนอดกลั้นไม่ไหว จึงไม่ค่อยสนใจว่ามันจะทำอะไร
จี้หยวนมองจิ้งจอกแดงและมองเสือตัวใหญ่เป็นพิเศษตัวนั้น
“ไปเถอะ หาสถานที่ที่เหมาะสม ถ้ำนี้มืดเกินไป ส่วนข้างนอกถ้ำก็เป็นป่ารกชัฏ แสงสว่างไม่เพียงพอ”
จี้หยวนเหยียบลงเต็มเท้า ร่างกายเขากระโจนไปข้างหน้าเหมือนหดตัว เสือร้ายและจิ้งจอกแดงตามไปติดๆ มีลมภูเขาคอยช่วยเหลือ
ตอนเจ้าภูเขาลู่เร่งฝีเท้ากระโจนไปข้างหน้าตามทันจี้หยวน มันหันไปมองถ้ำของตัวเอง ถ้ำสีดำสนิทที่ซ่อนอยู่กลางร่มเงาป่า ถึงแม้มีแสงดาวและแสงจันทร์ส่องลงมา ทว่าผ่านป่าทึบแล้วก็เหลือพียงแสงจางๆ เท่านั้น
‘ท่านจี้เห็นว่าถ้ำเป็นเหมือนสภาพจิตใจของข้ากระมัง เมื่อออกจากถ้ำมืดๆ จิตใจก็ผ่องใสมากขึ้น!’
คำพูดเรียบง่ายของจี้หยวนเมื่อครู่นี้ กลับทำให้เจ้าภูเขาลู่วางใจและสดชื่น ขนทั่วร่างเสือของมันคล้ายกับทอประกาย ความรู้สึก ‘ท่านจี้มานำทางข้า’ เกิดขึ้นอยู่ในใจภูตเสือแล้ว
จี้หยวนที่เดินอยู่ข้างหน้ารู้สึกได้จึงหันไปมอง เขาไม่แน่ในใจว่าเจ้าภูเขาลู่คิดอะไรอยู่ เพียงรู้สึกว่าภูตเสือมีความสามารถไม่ธรรมดาตามคาด นับว่าโดดเด่นเหนือชั้นท่ามกลางปีศาจอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าจิ้งจอกแดงตัวนั้นที่อยู่ข้างหลังมาก
เขาเดินอยู่กลางป่าเขาที่กว้างใหญ่ไพศาล ขามาเป็นเวลากลางวัน มองเห็นสถานที่ที่เหมาะสมแห่งหนึ่ง เมื่อเดินกลางป่าได้หนึ่งเค่อก็จะถึงที่นั่นแล้ว
ที่นั่นเป็นหินผารูปวงรีขนาดประมาณสามจั้ง ตั้งอยู่บนชะง่อนผาที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้กระจัดกระจาย ราวกับหินรูปไข่ห่านขนาดใหญ่
เมื่อเดินไปถึงหน้าหินก้อนใหญ่ จี้หยวนกระโดดขึ้นไปบนนั้นอย่างแผ่วเบา จากนั้นเสือร้ายและจิ้งจอกแดงก็กระโดดตามขึ้นไป
แสงจันทร์พอเหมาะ แสงดาวสว่างจ้า กลางป่าลึกบนเขาโคเทพที่ร่องรอยคนน้อยนิดนี้ หินยักษ์ถูกแสงส่องจนขาวผ่องเหมือนดวงจันทร์
หนึ่งคนหนึ่งเสือหนึ่งจิ้งจอกนั่งลงบนหินยักษ์
สำหรับหูอวิ๋นแล้วไม่รู้สึกอะไร แต่เจ้าภูเขาลู่รู้สึกได้ถึงพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ แท่นจันทราสีขาว นั่งอยู่ร่วมกับอาจารย์ ตั้งใจฟังคำสอนชี้แนะ
จี้หยวนตอบสนองความมเคารพของเจ้าภูเขาลู่ ภูตเสือปฏิบัติกับเขาด้วยความเคารพนบนอบอย่างถึงที่สุด นับเป็นความสัตย์ซื่อที่ยากนักจะได้มา ครั้นเจอตนเองแล้วพลังปราณก็เปลี่ยนเป็นบริสุทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านและสัตว์ในภูเขาซึ่งรู้แจ้งและเกิดสติปัญญา หูอวิ๋นเป็นหนึ่งในนั้น แม้มันจะจิตวิญญาณ ทว่ายังไม่รู้ถึงความยากของการฝึกตน เจ้าภูเขามีประสบการณ์อันยากลำบากในการฝึกตนมาเป็นร้อยปีตั้งแต่หลอมกระดูก รู้ความขมขื่นในการแสวงหามรรคแล้ว”
จี้หยวนนั่งสบายๆ ยันร่างกายไว้ด้วยมือข้างเดียว ส่วนมือขวาปลดปิ่นหยกบนศีรษะ ผมยาวสลวยพลิ้วไสวราวกับน้ำตกต้องลม ส่องแสงเรืองรองชั้นหนึ่งท่ามกลางแสงจันทร์
“คนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้มรรคได้จิตวิญญาณ! ปีศาจก็ดี มนุษย์ก็ช่าง ฝึกตนหรือฝึกเซียนแล้วอย่างไร”
วินาทีนี้จี้หยวนเข้าใจมรรคลึกซึ้ง สายตาของเขาทำให้เจ้าภูเขาลู่และหูอวิ๋นไม่กล้ามองตรงๆ
“เจ้าภูเขาลู่ ท่านอาวุโสกว่าหูอวิ๋น ท่านลองพูดดูสิ”
“ขอรับ!”
ภูตเสือเครียดมาก ถึงขนาดมีความรู้สึกเหงื่อตก เนื้อที่อุ้งเท้าทั้งสีมีเหงื่อซึมออกมาเช่นกัน
“เรียนท่านจี้ ข้าคิดว่าการฝึกตนนั้นเพื่อการหลุดพ้น เพื่อให้มีอายุยืนยาว ปรารถนาหรือต้องการอะไรล้วนได้มาครอบครอง ไม่ต้องเจอเคราะห์ ไม่ต้องเจ็บป่วย จิตใจสงบนิ่งได้ในที่สุด!”
“ดี พูดได้ดี!”
จี้หยวนชมจากใจจริง เพียงพบกันไม่กี่ครั้ง ทว่าภูตเสือตัวนี้กลับนำความประหลาดใจมาให้เขาไม่น้อย หากพิธีรับศิษย์ก่อนหน้านี้นับเป็นอุบัติเหตุ ตอนนี้มีความหมายเช่นนั้นแล้วจริงๆ
หูอวิ๋นฟังเจ้าภูเขาลู่แล้วเห็นต่างอยู่บ้าง
‘แค่เพื่อความปรารถนาและความต้องการเท่านั้นหรือ ท่านตัวใหญ่และดุร้ายที่สุด มีทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ทำไมท่านจี้ต้องชมเขาด้วย!’
ทว่าพอเห็นจี้หยวนเหลือบมองมา มันรีบนั่งตัวตรงเลียนแบบเสือร้ายทันที
จี้หยวนหัวเราะเสียงหนึ่ง วางปิ่นหยกไว้ข้างตัว เขาปล่อยผมสยายเช่นนี้น้อยมาก ด้วยก่อนหน้านี้รู้สึกว่าเหมือนสตรีเกินไป แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ
สบายกายทว่าไม่ฟุ้งซ่าน จิตใจสงบนิ่งมาก คำพูดของเจ้าภูเขาลู่อธิบายความในใจของตนเอง นี่ไม่เท่ากับจี้หยวนได้รับคำชี้แนะเช่นกันหรือ
หากพูดตามตรงแล้ว ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่จี้หยวนถ่ายทอดแก่นแท้ของการฝึกตนอย่างจริงจัง ความรู้สึกนึกคิดละเอียดลออ คำพูดที่ใช้จึงไม่อาจไม่เป็นทางการเกินไป
จี้หยวนมองเสือร้ายที่จริงจังตั้งใจและจิ้งจอกแดงที่พยายามตั้งใจเรียนรู้ ขณะเดียวกันในปากท่องบทประพันธ์ที่ไม่มีอยู่ในโลกนี้
“ปรโลกมีปลา มันมีนามว่าคุน ความใหญ่ของคุณ ไม่รู้ว่าหนักกี่พันชั่ง ครั้นแปลงกายเป็นนก มันมีนามว่าเผิง หลังของเผิง ไม่รู้ว่ากว้างกี่พันลี้ ครั้นบินด้วยความโกรธา ปีกของมันกางออกเหมือนเมฆบนท้องฟ้า…”
คำพูดหลังจากนั้นของจี้หยวน เว้นการถกเถียงที่เกี่ยวกับ ‘รวมเรื่องเซียนโบราณ’ ในข้อความต้นฉบับ เพียงอธิบายแก่แท้ภายในนั้น
“…อาศัยความชอบธรรมของฟ้าดิน ป้องกันการถกเถียงของปราณทั้งหก ผู้ที่อยากพเนจรไม่มีที่สิ้นสุด นับว่าเขาชั่วร้ายหรือไม่ เรียกได้ว่านักบุญไม่เป็นตัวของตัวเอง เทพไร้ความสามารถ อริยะไร้ชื่อเสียง”
เมื่อท่องบทประพันธ์ยาวยืดบทหนึ่งจบ เจ้าภูเขาลู่ตื่นตะลึงและครุ่นคิดอย่างหนักอยู่เสมอ ความจริงมันคิดไม่ตกและกลัวพลาด มีหลายจุดที่ทำได้เพียงตั้งใจท่องจำ สองประโยคสุดท้ายนั้น ประโยคแรกยังคงสั่นสะเทือนจิตใจ ส่วนประโยคสุดท้ายกลับสงบลงอย่างน่าอัศจรรย์
จี้หยวนมองผ่านปฏิกิริยาของจิ้งจอกแดง แต่มองเจ้าภูเขาลู่และถามว่า
“คิดเห็นอย่างไร”
ครั้งนี้ภูตเสือร้ายไม่ได้ตอบความทันที เพียงตั้งใจคิด ตั้งใจหวนรำลึก ผ่านไปครู่หนึ่งถึงสบตาจี้หยวนด้วยความลังเล
“ท่านจี้ บทประพันธ์ที่ท่านท่องมื่อครู่นี้ชื่อว่าอะไรหรือ”
จี้หยวนแย้มยิ้ม
“ชื่อว่า ‘ท่องเสรี’ !”
บนแท่นจันทร์ขาว เจ้าภูเขาลู่สั่นสะท้านไปทั้งร่าง โก่งตัวคำนับจี้หยวนอย่างจริงจังอีกครั้ง
มันไม่ได้ตอบคำถาม จี้หยวนก็ไม่ได้ถามต่อ มีการสัมผัสอันเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง คล้ายกับทำให้ทั้งสองเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย ความรู้สึกนี้มหัศจรรย์มากและสุขใจมากเช่นกัน
จี้หยวนมองหูอวิ๋นที่งุนงงไม่เข้าใจอยู่ข้างๆ เพียงยิ้มและส่ายหน้า สุดท้ายแล้วมรรควิถีและสภาวะจิตใจก็ยังด้อยอยู่มาก
“ปีศาจฝึกตนรวบรวมปราณวิญญาณฟ้าดินเพื่อปรับแปลงกาย เกิดปราณปีศาจ เปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณ กำเนิดพลังเหนือธรรมชาติ แสวงหามรรควิถี และหวังว่าหลักการของตะวันจันทราจะกำเนิดฟ้าดินภายในร่างกาย ทุกคนเชื่อว่าปีศาจให้ความสำคัญกับการฝึกตนเป็นอันดับแรก ทั้งอิจฉาความดีของร่างกายมนุษย์…แต่พวกเขาไม่รู้ว่าวิชาเคาะใจไม่จำกัดเผ่าพันธุ์ โอกาสบ่มเพาะจิตใจเกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดา…”
จี้หยวนพูดอย่างเชื่องช้า ตอนนี้เจ้าภูเขาลู่เสกสมุดเล่มเล็กๆ มาจดบันทึกเพราะอดไม่ได้ และไม่กล้าสนใจอย่างอื่น ด้วยกลัวว่าจะพลาดรายละเอียดเล็กน้อย
มันรู้สึกว่าสิ่งที่ได้รับจากจี้หยวนในคืนนี้เป็นมรรคสำคัญ และหากใช้คำพูดของจี้หยวนเมื่อชาติก่อน นี่เต็มไปด้วยของดีทั้งสิ้น
เทียบกับการฝึกตนของปีศาจทั่วไป จี้หยวนให้ความสำคัญกับการหล่อหลอมจิตใจให้ผ่องใสมากกว่า และสนใจหลักการทับซ้อนกันของหยินหยางในฟ้าดินเช่นกัน
ไยปีศาจเป็น ‘ปีศาจ’ เหตุใดใช้ความชั่วร้ายมาบรรยายพวกมัน จิตที่เกิด วิชาที่ฝึกฝน และการกระทำมีส่วนทำให้เกิดขอบเขตของวันนี้
“ฝึกตนบ่มเพาะร่างกายปีศาจ ฝึกจิตบ่มเพาะจิตวิญญาณ ร่างกายและจิตใจใสสะอาด เช่นนั้นมรรคปีศาจและมรรคเซียนก็เหมือนกัน!”
เมื่อประโยคนี้จบลง จันทราส่องสว่างกลางท้องฟ้าถูกเมฆดำบดบัง ภูเขาหินที่พวกเขานั่งอยู่ไม่ใช่แท่นจันทร์ขาวอีก จี้หยวนถือโอกาสหยุดพูดในตอนนี้
ครืน…
เสียงฟ้าร้องคลุมเครือดังขึ้นกลางเมฆ จี้หยวนรู้ว่านั่นเป็นความรู้สึกเห็นใจที่สวรรค์มีต่อมนุษย์ ซึ่ง ‘มนุษย์’ ผู้นี้สามารถสื่อสารกับ ‘ปีศาจ’ ได้
ก่อนเจ้าภูเขาลู่แปลงกาย ทุกครั้งที่มีโอกาสพัฒนาทะลวงสู่ขั้นต่อไป มันจะดึงดูด ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ ที่คล้ายกันได้อย่างง่ายดาย ยิ่งปราณล้ำลึกมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดึงดูดฟ้าร้องได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
ความจริงการฝึกฝนผลัดกระดูกของหูอวิ๋นก่อนหน้านี้ก็คล้ายคลึงกัน เพียงแต่ปราณปีศาจของหูอวิ๋นมีอยู่น้อยนิดมาก อีกทั้งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นพุทรา ฟ้าร้องเหรือเมฆดำบนท้องฟ้าส่งเสียงไม่กี่ครั้งไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับมัน
แน่นอนว่ามีข้อยกเว้นเช่นกัน อย่างในช่วงพายุฝนฟ้าคะนองและฟ้าผ่าอยู่เรื่อยๆ ปีศาจจงใจวิ่งฝ่าไปในพื้นเปิดโล่ง นั่นอาจจะกลายเป็นสายล่อฟ้าขนาดใหญ่ และสายฟ้าก็ไม่ลืมที่จะผ่าลงมาเช่นกัน
“เอาล่ะ เป็นทั้งวาสนาและวิชา มีเริ่มต้นต้องมีจุดจบ วันนี้พอแค่นี้เถอะ!”
จี้หยวนหยุดอยู่นานถึงพูดประโยคนี้ ปลุกเจ้าภูเขาลู่ที่ติดอยู่ในภวังค์ความคิดและหูอวิ๋นที่กำลังครุ่นคิดอย่างหนัก
“ฮ่าๆ แม้ความเป็นไปได้จะไม่มาก แต่ข้าคนแซ่จี้อยู่บนแท่นหินนี้ หากถูกฟ้าผ่าเข้าคงจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่!”
คำพูดล้อเล่นของท่านจี้ทำให้เสือร้ายและจิ้งจอกแดงมองท้องฟ้าตามจิตใต้สำนึก ดวงจันทร์และดวงดาวกระจ่างฟ้าล้วนถูกเมฆดำบดบังไปหมดแล้ว
จี้หยวนหยิบปิ่นหยกขึ้นจากแท่นหิน ใช้มืดปักปิ่นบนมวยผม จากนั้นค่อยลุกขึ้นยืน
“ฝึกตนและปฏิบัติดีล้วนเพื่อตนเอง อย่าให้เวลามาควบคุมอิสระ…”
ครั้นพูดถึงตรงนี้ จี้หยวนหยุดไปเล็กน้อย พลางมองไปทางเจ้าภูเขาลู่
“อย่าเที่ยวประกาศไปทั่วว่าข้าเป็นอาจารย์ของท่าน”
พูดแล้วจี้หยวนก็ใช้เท้าเหยียบ ใต้เท้ามีเมฆหมอกเกิดขึ้นและยืดขยาย ห่อหุ้มทั้งตัวเขาเอาไว้
ร่างกายเสือยิ่งใหญ่ของเจ้าภูเขาลู่แข็งทื่ออยู่บนภูเขาหิน ในแววตาเกิดความรู้สึกงุนงง ทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าเชื่อ จากนั้นเปลี่ยนเป็นความดีใจจนแทบคลั่ง
เสือร้ายลุกขึ้นคุกเข่าคำนับเงาร่างที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าไกลแล้ว
“ศิษย์คำนับอาจารย์! โฮก…”
มันคำรามก้องภูเขา สัตว์ป่ามากมายตื่นตกใจ บนสันเขาเกิดลมกรรโชก นกนับไม่ถ้วนบินออกจากป่าเพราะว้าวุ่น แต่เจ้าภูเขาลู่ควบคุมความรู้สึกในใจไว้ไม่ได้จริงๆ
“โฮก…โฮก…”