ตอนที่ 184 ขอชมสักครั้ง
จวนเซียนอย่างไรก็คือจวนเซียน ต่อให้เว่ยอู๋เว่ยเห็นโลกมากเท่าไหร่ ตอนมาถึงเขาล้อมหยกก็ยังสะท้านใจไม่น้อย
ถึงเขาล้อมหยกแล้วเห็นเพียงสีเขียวมรกต สวนสมุนไพรส่งกลิ่นโชย ดอกไม้บานเต็มเขา สดชื่นรื่นรมย์ กลางหุบเขามีตาน้ำพุ เหนือหุบเขามีเมฆหมอก สี่ฤดูคงอยู่ทั่วทุกที่ ลมวิญญาณพัดเอื่อยอยู่เรื่อยๆ ตกกลางคืนหมู่ดาวรวมตัว ตอนกลางวันเมฆหลากสีรวมกลุ่ม เมื่อมองดูให้ละเอียดแล้วจะเห็นว่าด้านบนมีลานมรรค อาคารต่างๆ ตั้งอยู่บนยอดเขา ศาลาเรือนล้วนไม่ขาด บ้านมุงจากหรือบ้านไม้ไผ่ก็ครบพร้อม ยอดเขาสูงใหญ่ตระหง่านและสายน้ำไหลใต้สะพานเล็กมีครบอยู่ที่นี่ เจตจำนงเซียนเปี่ยมล้ม เสียงไพเราะมีไม่ขาดสาย นับเป็นแดนอริยะแห่งเขาล้อมหยก
ฉิวเฟิงพาเว่ยบิดาบุตรอู๋เว่ยและเว่ยหยวนเซิงชมทิวทัศน์เขาล้อมหยกด้วยตนเอง แนะนำสถานที่ต่างๆ บนเขาล้อมหยกให้พวกเขาฟังโดยไม่ให้รบกวนผู้ฝึกเซียนคนอื่น อีกทั้งเข้าใกล้สถานที่อัศจรรย์บางแห่งเพื่อเติมเต็มความใคร่รู้ของทั้งสอง
ระหว่างนั้นเห็นกระเรียนเซียนโบยบิน และเห็นหมอกถูกคนเก็บรวมเข้าใส่ขวดเล็กในฝ่ามือราวกับเส้นด้าย รวมถึงเห็นเด็กเทวะฝึกปราณและเซียนผู้สง่างามน่าเกรงขามหรือสะสวยน่ารักเหล่านั้นด้วย
บางคนมองแล้วไม่กินอาหารเหมือนมนุษย์เดินดิน บางคนกลับเรื่องมากหยุมหยิมเหมือนชาวบ้านทั่วไป
ในฐานะที่กระเรียนเซียนเป็นสัตว์เซียนเฝ้าเขาล้อมหยกมาแล้วยี่สิบปี หน้าที่รับผิดชอบหลักไม่ได้อยู่ภายในแดนอริยะเขาล้อมหยก แต่อยู่ที่เทือกเขาเมฆาหมอก จึงไม่อาจร่วมเดินทางได้ตลอด ทว่าเห็นฉิวเฟิงเอาใจใส่ขนาดนี้ก็สบายใจขึ้นได้มาก ยิ่งบอกให้ข้ารับใช้ตระกูลเว่ยที่คอยท่าอยู่ข้างนอกกลับไปได้
ถึงแม้ยังมีสถานที่ต้องห้ามบางแห่งไม่อาจไปได้ แต่ก็ยังคงใช้เวลาหลายวันเพื่อเที่ยวชมทิวทัศน์โดยรอบจนหมด สถานที่ส่วนใหญ่ฉิวเฟิงไม่ได้คุมวาโยนำทางสองบิดาบุตร เพียงเดินเท้าอย่างมั่นคง
อย่างไรเสียหลังจากนี้ก็จะฝึกปราณใช้ชีวิตที่เขาล้อมหยก ไม่ได้มีคนใช้วิชาเหาะเหินเดินอากาศนำทางพวกเขาตลอดเวลา นานวันเข้ายังต้องอาศัยสองเท้าเดิน รู้จักทางไว้ย่อมดีกว่า
ตอนนี้พวกเขากลับไปถึงหน้าเรือนไม้ไผ่ซึ่งฉิวเฟิงใช้ฝึกปราณเป็นประจำแล้ว ต่างคนต่างนั่งพักบนเก้าอี้ไม้ไผ่
“หยวนเซิง จำไว้ว่าอย่าไปรบกวนเซียนท่านอื่น หากหลงทางหรือเจอที่ที่ออกไปไม่ได้ ส่งเสียงดังเรียกสหายกระเรียนก็พอ นางจะพาเจ้าออกไปเอง”
“ทราบแล้วอาจารย์!”
เว่ยหยวนเซิงไม่ได้กังวลใจเช่นก่อนหน้านี้แล้ว เป็นเช่นนี้มาหลายวัน กอปรกับอาจารย์ฉิวเฟิงผู้นี้อ่อนโยนใจดี ทำให้ความสดใสชองเด็กชายเจิดจรัสอีกครั้ง
ฉิวเฟิงยื่นมือลูบศีรษะของเสี่ยวหยวนเซิง นี่ถือเป็นศิษย์คนแรกหลังจากเขาฝึกปราณมาได้เกือบสองร้อยปี
แม้ผู้ฝึกเซียนจะไม่ค่อยยี่หระต่อหลายๆ เรื่อง ทว่าหลายครั้งจิตใจล้ำลึกมาก ก่อนหน้านี้ฉิวเฟิงมักช่วยศิษย์พี่ตนเองสั่งสอนศิษย์เหล่านั้น แต่ยังไม่เคยมีความคิดรับศิษย์เองเลย
กระนั้นหลังจากเห็นเว่ยหยวนเซิง เขาถูกชะตาเด็กคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น อีกทั้งเกี่ยวข้องกับจี้หยวนอีก ครั้นรับเว่ยอู๋เว่ยมาแล้วจึงเสนอรับศิษย์ สอบถามความยินยอมของเว่ยหยวนเซิง
บิดาบุตรตระกูลเว่ยย่อมยินดีเป็นอย่างยิ่ง เซียนที่ท่านจี้รู้จักต้องเป็นคนเก่งมีความสามารถแน่อยู่แล้ว รวมถึงอย่างไรก็นับว่าใกล้ชิดกันอยู่บ้าง อีกอย่างท่านเซียนฉิวผู้นี้มีหยวนเซิงเป็นศิษย์เพียงผู้เดียว เทียบกับศิษย์หลายคนหลากอายุที่เซียนจำนวนหนึ่งรับแล้วยิ่งเอ็นดูมากกว่า
ฉิวเฟิงเตือนเว่ยหยวนเซิงเสร็จก็กล่าวกับเว่ยอู๋เว่ย
“ท่านเว่ย ท่านเป็นบิดาของหยวนเซิง โดยทั่วไปก็ดูแลเขามากหน่อย วิชาฝึกเด็กของเขาล้อมหยกท่านอาจฝึกดูได้ แต่อย่างไรก็ดีท่านแปดเปื้อนคาวโลกีย์มาหลายสิบปี จิตวิญญาณไม่กระจ่างใจ กิเลสพัวพันสาหัสเกินไป อยากจะมีผลสำเร็จยากยิ่ง”
“ขอบคุณท่านเซียน แค่ได้ฝึกฝนพร้อมบุตรชายก็ถือเป็นโชคดีมากแล้ว!”
เว่ยอู๋เว่ยประสานมือขอบคุณอย่างจริงจัง มาถึงที่นี่แล้วถึงพบว่าตนเองแม้ไม่นับว่าเป็นศิษย์เขาล้อมหยกก็ฝึกปราณได้เช่นกัน เพียงแต่จากคำพูดของเซียนฉิวเฟิง คุณสมบัติของเขาทำให้ผลสำเร็จมีจำกัด ทว่าขอเพียงทลายระดับขั้นได้บ้าง เขายังมีหวังก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นอีก
ความจริงคุณสมบัติ ‘เรียนเป็นเพื่อน’ อย่างเว่ยอู๋เว่ยเคยปรากฏอยู่บนประวัติศาสตร์เขาล้อมหยกไม่น้อย ทว่าคนที่เป็นวิชาฝึกปราณจริงๆ กลับมีไม่มาก
เหตุผลของเว่ยอู๋เว่ยใช้ได้ หนึ่งคือเห็นแก่หน้าจี้หยวน สองเพราะแต่เดิมชะตาเว่ยอู๋เว่ยมีคุณลักษณะอยู่เลือนราง ทั่วไปแล้วเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ถูกเซียนรับเข้าสำนัก ชะตาปรากฎความเลือนราง ผู้ที่มีคุณลักษณะเลือนรางก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน จึงมอบโอกาสให้เว่ยอู๋เว่ยไปโดยปริยาย
“อาจารย์ ท่านจะไปเยี่ยมท่านจี้เมื่อไหร่หรือ”
เว่ยหยวนเซิงถามด้วยความใคร่รู้
“เมื่ออาจารย์ช่วยให้พวกเจ้าบิดาบุตรพักอยู่ที่นี่ได้อย่างมั่นคงแล้ว ก็จะรีบเคลื่อนไหวมุ่งหน้าไปยังอำเภอหนิงอัน หากยังช่วยให้พวกเจ้าอยู่ที่นี่อย่างสบายใจไม่ได้ ท่านจี้ถามถึงเสี่ยวหยวนเซิงแล้วจะทำอย่างไรเล่า ฮ่าๆ อาจารย์จะเอาหน้าที่ไหนไปตอบกัน!”
ฉิวเฟิงตอบเช่นนี้ ทว่าในสมองกลับคิดถึงวาสนาได้พบหน้าเมื่อครั้งนั้น
“จริงสิ ศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงของอาจารย์ลุงใหญ่เจ้าเมื่อปีนั้นก็เคยพบท่านจี้เหมือนกัน ศิษย์พี่หญิงอีอียิ่งมอบความประทับใจอย่างยิ่งยวดต่อหน้าท่านจี้ด้วย จะทำไปความรู้จักกันไว้ให้มากหน่อยก็ได้”
“อ๋อ…จริงสิอาจารย์ เมื่อไหร่ข้าจะลงเขาไปพบท่านแม่ได้บ้าง”
ฉิวเฟิงถูกศิษย์ตนเองเย้าจนหัวเราะ เพิ่งขึ้นเขามาก็คิดจะออกไปเสียแล้ว
“อย่างน้อยต้องรอเจ้าฝึกปราณขั้นพื้นฐานได้เสียก่อน และแม้เขาล้อมหยกจะไม่นับว่าตัดขาดจากโลกมนุษย์ แต่เจ้าก็ต้องเข้าใจคำว่ากลางเขาไร้กาลเวลา ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันที่มารดาเจ้าแก่ชรา เจ็บป่วย ล้มตาย อย่างไรตระกูลเว่ยของเจ้าย่อมดูแล”
“ไม่ถูกต้องๆ!”
เว่ยหยวนเซิงส่ายศีรษะเหมือนรั่วกลอง
“หลังจากนี้ข้าอาจดูแลตระกูลเว่ย แต่ข้าล้วนคิดถึงท่านแม่และแม่นม หากล้มป่วยแล้วต้องไปเยี่ยม ยังต้องดูแลพวกนางในวัยชรา รวมถึงเสี่ยวชุ่ยด้วย!”
ฉิวเฟิงก้มหน้ามองศิษย์ของตนเอง เด็กชายดวงตาสุกใส ท่าทางไม่เหมือนมีกิเลสหนาแต่อย่างใด
“ได้น่ะย่อมได้ แต่ผู้มีมรรควิถีน้อยเกินไปและมุ่งทางโลกมากเกินไปนั้น จะหลงผิดได้ง่าย!”
คำสั่งสอนที่ธรรมดาสามัญอย่างยิ่งยวดนี้ เว่ยหยวนเซิงกลับส่ายหน้าเล็กๆ และมุ่นคิ้วเถียงอีก
“วันนั้นท่านจี้พูดถึงมุมมองต่อการฝึกปราณให้ข้าฟังมากมาย และชื่นชมมุมมองเมื่อครู่นี้ของข้าเป็นอย่างมาก!”
“โอ้? ท่านจี้มีความเห็นอย่างไรหรือ”
แม้ฉิวเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ ทว่าในใจตื่นเต้นมากแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งนับว่าเป็นการเปรียบเทียบการสอนศิษย์อยู่รางๆ
เว่ยอู๋เว่ยร้อนใจอยู่บ้าง ถึงเซียนฉิวเฟิงจะนิสัยดี ทว่าบุตรชายตนเองคุยโม้กับอาจารย์เซียนได้อย่างไร เปลี่ยนเป็นเขาจะใช้คำพูดที่ดีกว่านี้
เว่ยหยวนเซิงกลับไม่กลัวเลยสักนิด เขาจิตใจบริสุทธิ์ รู้ดีว่าอาจารย์ตนเองไม่มีทางตำหนิ จึงตอบคำถามโดยไม่กดดันแม้แต่น้อย
“ท่านจี้บอกว่าหากกตัญญูแล้วลุ่มหลงทางโลก นั่นพูดได้เพียงว่าไม่เหมาะฝึกเซียน ล้มลุกคลุกคลานท่ามกลางธุลีแดงจะเหมาะกว่า ไม่เข้าสู่โลกมนุษย์แล้วจะบรรลุธุลีแดงได้อย่างไร เจ้ากลัวสิ่งเหล่านั้นแล้วจะเอาชนะมันได้อย่างไร ใต้ดินไม่มีเทพเซียนแห่งความอกตัญญูหรอกนะ!”
บนใบหน้าฉิวเฟิงไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเห็นว่าศิษย์ราวกับขุนนางตัวน้อยๆ ด้วยน่าจะเลียนแบบคำพูดของท่านจี้ตอนนั้น ในใจสั่นสะท้านอยู่บ้าง
อย่ามองว่าคำพูดพวกนี้เข้าใจง่าย เพราะทั้งหมดพูดถึงหลักการของด่านเคาะใจและเคราะห์เคาะใจ สำคัญที่ดูจากในดวงตาสุกใสของเด็กชายอย่างเว่ยหยวนเซิง ฉิวเฟิงมองออกแล้วว่าเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้
‘ต่อไปศิษย์ข้าจะต้องประสบความสำเร็จไม่น้อยแน่!’
“มหามรรคเรียบง่าย ท่านจี้พูดถูกต้อง! ทว่าข้ายังคงยืนยันคำเดิม อย่างไรก็ต้องสร้างรากฐานให้ดีก่อน”
“อ้อ…”
…
ส่วนในของเขาล้อมหยกเกิดการหารือกันอยู่หลายรอบ สุดท้ายตัดสินใจให้ฉิวเฟิงผู้เคยมีวาสนาพบพานเดินทางไปเยี่ยนท่านจี้ผู้ลึกลับ
ไม่ว่าอีกฝ่ายมีที่มาอย่างไรและเดินทางบนโลกมนุษย์ในต้าเจินนานเท่าไหร่แล้ว อย่างไรก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นเซียนวิเศษท่านหนึ่ง กระเรียนกระดาษของเขาส่งข้อความหาฉิวเฟิง ถึงไม่ได้พูดเพียงต้องการพบเขา ทว่าก็ไม่กล้าให้คนมากไปรบกวนเกินไป
อย่างไรเสียผู้ฝึกเซียนระดับหนึ่งบางครั้งยากคาดเดาอารมณ์ สายตาที่ใช้มองหลายๆ สิ่งนั้นอย่าว่าแต่มนุษย์เลย กับผู้ฝึกเซียนคนอื่นอาจไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันด้วยซ้ำ
ฉิวเฟิงกลับไม่กดดัน ตั้งแต่พบกันครั้งเดียวในปีนั้น และจากคำกล่าวของศิษย์ตนเอง เขารู้จักตัวตนของท่านจี้อยู่บ้างแล้ว
กลางเดือนหก รัฐจีอยู่ในช่วงอากาศร้อนจัดแล้ว
ดอกไม้บนต้นพุทรากลางเรือนสันติหายไปแล้ว ทว่าผลบนต้นกลับเหลือไม่มาก อาจพูดได้ว่าเพียงเติมเต็มผลพุทราเหล่านั้นที่หายไปก่อนหน้านี้ มีผลพุทราเล็กๆ ออกสีแดงอ่อนหลายสิบกิ่งยังเจริญเติบโต สิริรวมแล้วมีผลพุทรามากถึงเก้าสิบเก้าลูก
วันนี้จี้หยวนอ่าน ‘กระดานสิบหกเก้าสวรรค์’ อยู่กลางลาน กระดานหมากที่วางอยู่บนโต๊ะหินยังคงเป็นกระดานเดียวกับที่อิ๋นจ้าวเซียนมอบให้ในทีแรก หมากขาวดำวางในรูปแบบหมากที่เขียนไว้บนตำรา
จี้หยวนกำลังเลียนแบบทางหมากในตำรา ว่ากันว่าจะฟื้นคืนกระดานหนึ่งในรอบที่เซียนหมากรุกทั้งสองประลองกัน ลงหมากขาวดำไปถึงขั้นใดในเวลาไหน เขาล้วนเข้าไปแทนที่ความคิดของฝ่ายหนึ่งในนั้น
ส่วนฉิวเฟิงผ่านตรอกซอกซอยจนถึงหน้าประตูเรือนสันติแล้ว ทว่ายังไม่ทันเคาะประตู กระเรียนกระดาษที่อยู่ในถุงผ้าไหมในอกเสื้อก็มีชีวิตขึ้นมา มันลอดออกจากถุงผ้าไหมแล้วกางปีก ก่อนจะกระพือปีกเร็วๆ บินเข้าไปในเรือน
จี้หยวนที่อยู่หน้าโต๊ะเงยหน้าและคลี่ยิ้ม ยื่นมือไปรับกระเรียนกระดาษไว้ กระเรียนกระดาษตัวนี้พิเศษทีเดียว เขาใช้วิชากับมันไปไม่น้อย บัดนี้จิตวิญญาณเพิ่มสูงขึ้นจนถึงขั้นนี้แล้ว
ก๊อกๆๆ…
เสียงเคาะประตูดังขึ้น จี้หยวนกล่าวเสียงเบา “เชิญเข้ามา”
ฉิวเฟิงสูดลมหายใจก่อนค่อยเปิดประตูเดินเข้าไป มองต้นพุทรากลางลานเสร็จถึงมองคนเล่นหมากใต้ต้นไม้ เขายังคงเหมือนกับตอนนั้น เพียงมองเผินๆ เหมือนมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
“ฉิวเฟิงจากเรือนไม้ไผ่แห่งเขาล้อมหยก มาเยี่ยมเยียนท่านจี้โดยเฉพาะ!”
เขาพูดพลางประสานมือคารวะ เฉกเช่นเดียวกับผู้น้อยเคารพผู้ใหญ่
จี้หยวนราวกับตั้งอกตั้งใจดูกระดานหมาก ไม่ได้สนใจอย่างอื่น ตอนนี้ได้ยินเสียงแล้วถึงเงยหน้ามองเขา วางแผ่นไม้ไผ่และหมากขาวในมือลง ยืนขึ้นคารวะอีกฝ่ายคืน
“ท่านฉิวไม่ต้องมากพิธี เจ้าข้านับว่ามีวาสนาต่อกัน หากไม่รังเกียจเชิญนั่งข้างโต๊ะหินก่อนเถอะ”
ฉิวเฟิงยืดตัวตรงและพยักหน้า ก้าวสั้นๆ ไปนั่งลงหน้าโต๊ะหิน จี้หยวนหยิบถ้วยบนถาดชาข้างโต๊ะมาวางไว้ แล้วเทน้ำชาให้ตนเองถ้วยหนึ่ง
“นี่นับเป็นชาดี วสันต์ก่อนฝนในปีนี้ของจังหวัดชุนฮุ่ย”
“ขอบคุณมาก!”
ฉิวเฟิงยกถ้วยชาขึ้นลองชิม รสชาติย่อมเทียบชาวิญญาณเขาล้อมหยกไม่ได้ แต่ก็นับว่าไม่เลวแล้ว บัดนี้สายตาเขามองกระดานหมากบนโต๊ะ
“ท่านจี้เล่นหมากเก่งหรือ”
“ฮ่าๆ เมื่อก่อนไม่ได้สนใจอะไร ศึกษามรรคหมากอย่างจนใจ ตอนนี้นับว่าชอบแล้ว”
ถึงฉิวเฟิงใคร่รู้ก็ไม่กล้าถามมาก มองจี้หยวนวางหมากย้อนทวนอยู่ครู่หนึ่งถึงพูดตรงประเด็น
“ท่านจี้เชิญข้ามาที่นี่แท้จริงแล้วมีธุระอะไร เกี่ยวข้องกับข่าวลือหอความลับสวรรค์หรือไม่”
ตอนนี้จี้หยวนหยิบหมากอีกตัวหนึ่งขึ้น วางลงตรงตำแหน่งสำคัญตามที่แผ่นไม้ไผ่บนโต๊ะบอกไว้ นับว่าผ่านการโจมตีที่ ‘มือพูด’ กดดันหมากดำให้ถอยร่นไป
“ท่านฉิวไม่ต้องเดาแล้ว ข่าวลือนั่นจริงหรือเท็จข้าไม่รู้ แต่สร้างผลกระทบไม่น้อยเลยจริงๆ หลายก่อนมีมารร้ายระดับมารแท้หลายตัวปรากฏตัวเช่นกัน ข้าร่วมมือกับมังกรเฒ่าบังคับขับไล่มันออกจากต้าเจินทันที”
จี้หยวนขยับหมากดำพลางเงยหน้ามองฉิวเฟิง ลองถามหยั่งเชิงคำหนึ่ง
“แต่ความจริงแล้วที่เชิญเจ้ามาในครั้งนี้ เพราะข้ามีเรื่องอยากขอร้อง”
ฉิวเฟิงกล่าวในใจ ‘ว่าแล้วว่าเป็นท่าน!’ จากนั้นตอบว่า
“ท่านจี้เชิญพูด!”
“อืม ข้าคนแซ่จี้ค้นคว้ามรรคบัญชามาโดยตลอด ได้ยินมังกรเฒ่าบอกว่าเขาล้อมหยกมียันต์บัญชาเขาของแท้ หากข้าอยากขอชมสักครั้ง ไม่ทราบว่ามีเงื่อนไขอะไรหรือไม่”