ตอนที่ 186 ความรู้สึกที่ไม่อาจพูด
เมื่อฉิวเฟิงไปแล้ว อิ๋นชิงและหูเฟิงภายในลานของเรือนสันติถึงค่อยโล่งใจ
จี้หยวนอยู่ข้างนอกเรือนยังไม่กลับมา อิ๋นชิงหันไปมอง ชี้แนะหูอวิ๋นด้วยน้ำเสียงของอาจารย์
“เจ้าดูตนเองสิ จิ้งจอกตัวหนึ่งส่งเสียงดังทั้งวัน อีกทั้งอยู่กับท่านจี้ที่นี่ หากเป็นที่อื่น คนอื่นเห็นจิ้งจอกตัวหนึ่งมักจะใช้เพียงสองเท้าวิ่งและกระโดด แม้กระทั่งพูดได้อีกต่างหาก อันดับแรกต้องตกใจเกือบตายเป็นแน่ จากนั้นตั้งสติได้แล้วคงจะไปหาเครื่องมือประเภทจอบหรือคราดเหล็ก รวมกลุ่มชาวบ้านมาตีเจ้าจนตาย!”
“เจ้าพูดมั่ว! อีกอย่างมีหรือข้าจะกลัวพวกเขา กรงเล็บและฟันข้าร้ายกาจมากนะ!”
หูอวิ๋นคำรามพลางโบกกรงเล็กที่ตนเองถือว่าแหลมคม ปะทะฝีปากกับอิ๋นชิง
“นี่ ร้ายกาจถึงเพียงนั้นเลยหรือ เช่นนั้นเหตุใดพวกเราวิ่งผ่านตรอกซอกซอย พอเห็นหมาเข้าเจ้าก็ขดตัวเป็นก้อนกลมอยู่ข้างหลังข้าเล่า”
อิ๋นชิงเหน็บแนม ใช้สายตาเหยียดหยามอย่างยิ่งยวดมองจิ้งจอกแดงตัวนี้ ทำให้ฝ่ายหลังพองขนราวกับแมวตัวหนึ่ง อ้าปากเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมเปี๊ยบ ท่าทางเหมือนจะเอาชีวิต
“จิ๊ๆๆ…”
อิ๋นชิงถกแขนเสื้อขึ้นเช่นกัน เผยให้เห็นแขนแกร่ง
“มาๆๆ ดูสิว่าใครจะตีใคร!”
หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกคุมเชิงกันอยู่นาน แต่กลับไม่มีใครก้าวไปข้างหน้าจริงๆ ผ่านไปครู่หนึ่งแล้วเกร็งจนทนไม่ไหวอยู่บ้าง อิ๋นชิงมองจี้หยวนที่เดินผ่านพวกตนกลับไปนั่งหน้ากระดานหมากอีกครั้ง ราวกับท่านจี้ไม่คิดจะเข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างคนและจิ้งจอกเลยสักนิด
“ช่างเถอะๆ ข้าจะทะเลาะกับจิ้งจอกตัวเหม็นที่เพิ่งหัดพูดได้ไปทำไม ข้าเป็นถึงนักเรียนเชียว!”
อิ๋นชิงหัวเราะเสียงเย็น สะบัดชายแขนเสื้อให้กลับสู่ตำแหน่งเดิม
“ช่างเถอะๆ ข้าก็เป็นนักเรียนเช่นกัน อายุมากกว่าเจ้าเสียด้วย แล้วจะทะเลาะกับเด็กตัวขนอย่างเจ้าไปทำไมกัน!”
หูอวิ๋นก็มีท่าทีชนิดที่ว่าจะไม่ขอเหมือนกับอิ๋นชิง
จี้หยวนหันไปมองทั้งสอง ส่ายหน้าและวางหมากต่อ
การเข้าใจทางหมากของยอดฝีมืออาวุโส สำหรับผู้อื่นอาจเป็นเพียงวิธีหนึ่งในการพัฒนาทักษะหมากล้อมของตนเอง แต่สำหรับจี้หยวนกลับเป็นการฝึกปราณอย่างหนึ่ง
อิ๋นชิงและหูอวิ๋นสบตากัน หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกเดินไปนั่งลงที่หน้าโต๊ะเงียบๆ
“ท่านจี้ ท่านผู้นั้นเมื่อครู่เป็นใครหรือ หูอวิ๋นไม่รู้ว่าเขาอยู่ข้างใน หากเป็นคนธรรมดาเห็นจิ้งจอกตัวหนึ่งพูดภาษาคนได้วิ่งเข้ามา น่าจะตกใจแทบแย่แล้วกระมัง!”
“อือๆ!”
หูอวิ๋นพยักหน้าอยู่ข้างๆ
จี้หยวนถอนใจ
“รู้ก็ดีแล้ว ดังนั้นต่อไปสำรวมหน่อย โดยเฉพาะเจ้า”
จี้หยวนหันไปมองจิ้งจอกแดง
ครั้นสบเข้ากับดวงตาสีเทาไร้แววคู่นี้ จิ้งจอกแดงพลันอึ้งงัน
“กับข้าไม่เป็นไร แต่ไม่ได้หมายความว่าอยู่ข้างนอกนั่นแล้วจะเป็นเช่นเดียวกัน ปีศาจใจงามบนโลกนี้มีน้อยมาก เผ่าปีศาจที่พิสูจน์ว่าตนเองมีเมตตาได้ยิ่งน้อยกว่า ความจริงที่อิ๋นชิงกล่าวล้วนถูกต้อง อย่าประมาทเกินไปจนกว่าเจ้าจะมีพลังหรือวิชาอะไรดีกว่า”
เห็นจิ้งจอกตัวนี้ไม่กล้าพูดจา จี้หยวนก็ไม่พูดอะไรมากอีก
“เอ่อ คือว่าท่านจี้ พวกข้าไปทำอาหารก่อนดีกว่า อีกเดี๋ยวจะนำมากินด้วยกันที่นี่ ขอตัวไปก่อนนะ!”
อิ๋นชิงรู้สึกว่าวันนี้จี้หยวนอาจจะอารมณ์ไม่ค่อยดีจึงขยิบตาให้หูอวิ๋น ก่อนจะจากไปอย่างเร็วรี่พร้อมกับฝ่ายหลัง
จี้หยวนวางหมากในมือลง เพียงชำเลืองมองเงาหลังของหนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกจากไป ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เนิ่นนานหลังจากนั้นค่อยส่ายหน้า
…
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วยามกว่า ฉิวเฟิงเพิ่งคุมวาโยกลับถึงเขาล้อมหยก ทันทีที่กลับมาก็ไม่สนใจไปดูศิษย์ของตนเอง เรียกอาจารย์หยางหมิงมาก่อน และไปตามหาอาจารย์อาเริ่นที่หอเมฆาสงบด้วยกัน
หอเมฆาสงบเป็นอาคารพิเศษในเขาล้อมหยก ภายในนั้นลงอาคมไว้มากมาย ช่วยให้ผู้ฝึกเซียนจิตใจสงบ เป็นสถานที่ให้เหล่าศิษย์เข้าฌานกักตัว
ขณะเดียวกันทุกยี่สิบปีจะมีเซียนอาวุโสสองท่านประจำการอยู่ที่หอเมฆาสงบ คอยดูแลอาคมในอาคารเพื่อไม่ให้ผู้ฝึกเซียนเข้าฌานซึ่งจิตใจสงบนิ่งเข้าสู่ทางมาร ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือจัดการธุระจำนวนหนึ่งของเขาล้อมหยกในยี่สิบปีนี้
ความจริงแล้วสำนักจวนเซียนบนโลกนี้ไม่นับว่าตรงตามตำรา โดยคร่าวแบ่งออกเป็นสองประเภท หนึ่งคือสำนักทางศาสนา เบื้องบนมีคนสอนสั่งคอยดูแลธุระในจวนเซียน เขาล้อมหยกเป็นประเภทที่สอง ไม่มีผู้รับผิดชอบสอนสั่ง เมื่อมรรควิถีถึงขั้นที่แน่นอนแล้ว ทุกคนจะผลัดเปลี่ยนกันดูแลแดนอริยะเขาล้อมหยก
ช่วงยี่สิบปีนี้ถึงคราวอาจารย์และอาจารย์อาของฉิวเฟิงรวมถึงหยางหมิงพอดี ระหว่างนี้ไม่อาจเข้าฌานกักตัว ไม่อาจออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกตามใจชอบ หากเจอเรื่องอะไรแล้วผู้ที่จะเข้ามาจัดการก่อนอันดับแรกคือพวกเขาสองคน ทั่วไปแล้วไปรบกวนผู้สูงส่งรุ่นอาวุโสไม่ได้
และ ‘เซียนอาวุโส’ ไม่ได้สอดคล้องกับการฝึกปราณและพลังอ่อนแรงเข้มแข็งโดยสิ้นเชิง พลังย่อมเป็นหนึ่งในมาตรฐาน แต่ที่มากยิ่งกว่านั้นคือจะได้รับความหมายแท้จริงของความลึกลับในการฝึกปราณหรือมรรควิถีหรือไม่ ความหมายของคำว่า ‘แท้’ สำคัญมาก คำว่าเซียนไม่ใช่การแบ่งจุดแข็งและจุดอ่อนง่ายๆ แต่ให้ความสำคัญกับความหมายที่แท้จริงของการฝึกปราณมากกว่า
นั่นก็คือผู้สูงส่งที่วัยวุฒิสูงมาก ส่วนใหญ่ทำเป็นเรียกได้ว่า ‘เซียนอาวุโส’ เท่านั้น ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
แน่นอนว่า ‘เซียนอาวุโส’ ที่ว่าเป็นเพียงคำเรียกกันเองในเขาล้อมหยก ส่วนโลกฝึกเซียนดั้งเดิมส่วนใหญ่มีการเรียกผู้ฝึกปราณสำเร็จว่า ‘เซียน’ เช่นกัน
เซียนอาวุโสสองท่านในตอนนี้ไม่ได้ว่างเหมือนเมื่อก่อน อันดับแรกมีข่าวลือหอขอบฟ้าแพร่มายากแยกแยะจริงเท็จ หากบอกว่านั่นยังต้องรอเซียนระดับสูงกลับมาค่อยว่ากล่าว เช่นนั้นวันนี้ฉิวเฟิงเยี่ยมเยียนจี้หยวนกลับมาแล้วเล่าเรื่อง นั่นไม่มีทางเป็นเรื่องเล็กแน่นอน
เหนือหอเมฆาสงบ อาจารย์อาเริ่นในเสื้อสีเขียวฟังฉิวเฟิงเล่าเรื่องในวันนี้อย่างเรียบง่ายจนจบ ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นไม่ได้คลายออก ฝ่ายฉิวเฟิงและหยางหมิงนั่งคอยท่าอยู่ด้านล่าง
“เรื่องในวันนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ข้าเองก็ตัดสินใจไม่ได้ ต้องปรึกษาร่วมกับสหายและอาจารย์จากยอดเขาหลอมหยกก่อนถึงจะได้!”
ชายเสื้อเขียวลุกขึ้นยืน
“พวกเจ้าก็มาด้วยกันเถอะ”
ทั้งสามคนออกจากหอเมฆาสงบด้วยกัน ลอยไปยังเมฆเรืองรองทางตะวันออกของเขาล้อมหยก หนึ่งในพื้นที่หวงห้ามของเขาล้อมหยก
ลอยท่ามกลางอาคมแสงเมฆาลวงตาอยู่นานมาก ภายในนั้นยิ่งมีสถานที่ซึ่งคล้ายกับลมแรงพัดกรรโชกตลอดเวลา ผ่านไปครู่หนึ่งแล้วถึงผ่านแสงทอประกายที่คล้ายกับยิ่งมายิ่งรุนแรงในที่สุด สิ่งที่ปรากฏตรงหน้ากลับเป็นยอดเขาขนาดมหึมาที่ด้านบนมีแต่เมฆขาว ด้านล่างมีสีเขียวขจี ซึ่งก็คือยอดเขาหลอมหยกของเขาล้อมหยก
ยอดเขาหลอมหยกตั้งไว้ด้วยเรือนหยกหลายหลัง กระจายอยู่ทั่วทั้งยอดเขา บนยอดสุดมีตำหนักอยู่หลังหนึ่ง โดยทั่วไปแล้วไม่มีคนอยู่ที่นั่น ทว่าตอนนี้เริ่นปู้ถงกลับพาศิษย์หลานสองคนมุ่งหน้าไปยังตำหนักหลักบนยอดเขาหลังนั้น
รอบข้างตำหนักใหญ่ที่มีสีขาวหยกทั้งหลังมีเสาสีขาวราวกับหิมะล้อมรอบอยู่หลายต้น ส่วนยอดสุดเป็นระฆังทองขนาดยักษ์ลูกหนึ่ง
เริ่นปู้ถงท่องอาคม สะบัดแขนเสื้อตั้งนิ้วดุจกระบี่ โค้งตัวสัมผัสระฆังทองติดต่อกัน ก่อนที่พวกมันจะพากันทอแสงธรรมออกมาหลายสาย
แก๊ง…แก๊ง…แก๊ง…
เสียงระฆังดังขึ้น แสงสลัวเหมือนหมอกและตาข่ายแผ่ออกมา ตามด้วยเสียงระฆังดังไปทั่วทั้งยอดเขาหลอมหยก
ฉิวเฟิงและหยางหมิงสบตากันอยู่ข้างหลัง ถึงแม้ระดับการฝึกปราณของพวกเขาจะเป็นอาจารย์ของคนอื่นได้แล้ว แต่ก็ยังคงเห็นความตระหนกจากในดวงตาของอีกฝ่ายอยู่บ้าง
เสียงระฆังดังทั้งหมดหกครั้ง บ่งบอกว่าขอเพียงไม่ใช่ผู้เข้าฌานกักตน ย่อมต้องมุ่งหน้าสู่ตำหนักเมฆาหยกเพื่อตัดสินใจเรื่องสำคัญ หากดังติดต่อกันเก้าครั้งก็หมายความว่าเป็นเรื่องใหญ่ถึงตายต่อแดนอริยะเขาล้อมหยกแล้ว
เมื่อรออยู่สักครู่หนึ่ง รอบตำหนักใหญ่มีแสงลอยออกมา โดยรอบปรากฏชายหญิงหลายคนหรือใบหน้าทั้งหนุ่มและชรา ฝ่ายเริ่นปู้ถงนำศิษย์หลานสองคนประสานมือคารวะพวกเขาทีละคน
ผู้ที่มาได้มีทั้งหมดสิบเอ็ดคน ผู้มากวัยวุฒิที่สุดคือชายชราที่บรรพจารย์เริ่นปู้ถงเรียกว่า ‘จูหยวนจื่อ’ บัดนี้อายุแปดร้อยกว่าปีแล้ว มรรควิถีฝึกปราณสูงที่สุดในเขาล้อมหยกเช่นกัน ความแข็งแกร่งของพลังยิ่งยากจะหยั่งคาด มองโดยรวมแล้วนับว่าเป็นผู้มีหวังที่จะกลายเป็นเซียนจริงๆ มากที่สุดในเขาล้อมหยก ทว่าขาดอีกกี่ส่วนคงมีเพียงเจ้าตัวที่รู้
ผู้สูงส่งยิ่งกว่านี้ไม่มีแล้ว ต่อให้เป็นเซียนในสายตาของมนุษย์ กระนั้นยังคงหลีกเลี่ยงเกิดแก่เจ็บตายไปไม่ได้
“สหายเริ่นเจอเรื่องยากจะเลือกอะไรหรือ”
“หรือว่าเจอศัตรูตัวฉกาจ”
“สหายเริ่นมาคนเดียวหรือ แล้วสหายเผยเล่า”
ผู้มาเยือนนั่งลงกลางตำหนัก พากันสอบถามอยู่หลายคำ
“พักนี้เกิดเรื่องใหญ่หลายเรื่อง เกี่ยวข้องกับเขาล้อมหยกของพวกเราส่วนหนึ่ง จำต้องรบกวนทุกท่านแล้ว…”
เริ่นปู้ถงพูดออกมาอย่างช้าๆ เริ่มจากข่าวลือหอขอบฟ้า จนถึงมารแท้ซึ่งปรากฏตัวที่รัฐข้างเคียง ร่วมด้วยเรื่องฉิวเฟิงไปอำเภอหนิงอันในวันนี้ อีกทั้งรวมเรื่องที่จี้หยวนขอดูยันต์บัญชาเขาสักครั้ง โดยมีอยู่หลายจุดที่ให้ฉิวเฟิงเป็นฝ่ายอธิบาย
จำนวนข่าวสารไม่น้อย เมื่อพูดทุกเรื่องจบสิ้นแล้ว ทุกคนภายในตำหนักต่างก็อดกลั้นไม่ไหวแล้ว
“ประมุขมังกรนั่นปล่อยผ่านเรื่องในปีนั้นแล้วหรือ”
“ท่านจี้ผู้นี้เป็นอริยเทพองค์ใด ภายในต้าเจินของพวกเราซ่อนเซียนไว้ท่านหนึ่งหรือนี่”
“แซ่จี้นามหยวน เหตุใดไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือว่าจะเป็นชื่อแปลง”
“ข้าว่าไม่เหมือน!”
“หากเป็นจริงเช่นท่านเซียนว่า ประมุขมังกรนั่นอาจจะปล่อยวางแล้วจริงๆ”
“ท่านเซียนพูดจริงหรือไม่”
“เอ่อ…”
“เรื่องหอขอบฟ้านั่นเล่า อีกทั้งมีมารจู่โจมผู้ฝึกเซียนเขาล้อมหยกของพวกเราอีก!”
“เรื่องนี้จริงหรือเท็จยากแยกแยะ สำคัญอยู่ที่ยันต์บัญชาเขา สุดท้ายแล้วจะให้ท่านเซียนชมหรือไม่”
“ของสำคัญของสำนักเรา จะเที่ยวให้คนดูง่ายๆ ได้อย่างไร”
“ถูกต้อง ต่อให้เป็นเซียนอัศจรรย์ก็จะให้ดูง่ายๆ ไม่ได้!”
“คำพูดนี้ไม่ถูกต้อง ท่านจี้ผู้นั้นในเมื่อบอกสหายฉิวว่าเชี่ยวชาญในวิชาบัญชา เขาอาจะเข้าใจวิธีการใช้ยันต์ก็เป็นได้ หากเขาสอนวิชานี้ให้เขาล้อมหยกของพวกเราได้…”
“เหลวไหล วิชาไม่อาจเผยแพร่โดยง่าย ต่อให้เขาใช้วิชาเป็นจริง พวกเราจะบอกเขาด้วยสาเหตุใด”
…
การสนทนานี้ดำเนินต่อไป ไม่ขาดแม้กระทั่งการถกเถียง ฉิวเฟิงและหยางหมิงนั่งเงียบๆ อยู่ข้างอาจารย์อา ไม่กล้าพูดอะไรทั้งนั้น
“สหายฉิวเฟิง ในความเห็นของเจ้า เซียนผู้นั้นอยู่ในระดับใด นอกจากความธรรมดาสามัญแล้ว เขายังมีความพิเศษอื่นอีกหรือไม่”
จูหยวนจื่อที่นิ่งเงียบตลอดพลันเอ่ยปากถามฉิวเฟิง น้ำเสียงที่แก่ชราเป็นพิเศษทำให้การหารือในที่นี่หยุดลงชั่วคราว
ฉิวเฟิงลังเลอยู่บ้าง ความจริงเขาไม่ค่อยอยากพูดเรื่องที่จี้หยวน ‘รู้สึกโศกเศร้า’ ก่อนหน้านี้เป็นสถานการณ์หนึ่ง ทว่าในเมื่อตอนนี้บรรพจารย์อย่างจูหยวนจื่อถามแล้ว สิ่งที่หวังจะรู้ย่อมไม่ใช่เมื่อครู่นี้
“เรียนท่านจูหยวนจื่อ ความจริงวันนี้ข้าคนแซ่ฉิวประสบเรื่องหนึ่งจริงๆ…”
ฉิวเฟิงกัดฟัน จากนั้นเล่าเรื่องที่ตนเองผ่านความลำบากนานหลายปีในการฝึกเซียน และโยนอิฐเพื่อล่อหยกคิดถามจี้หยวนให้คล้อยตาม ครั้นเอ่ยว่าจี้หยวนรู้สึกเศร้าที่ทุกเรื่องราวไม่แน่นอน เขาตระหนกอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด
“ตอนนั้นเพียงรู้สึกว่าเรือนเล็กเดินทางสู่นอกโลกและเคลื่อนผ่านจักรวาล ทุกสรรพสิ่งบนฟ้าดินเหมือนกับอยู่ใกล้แค่คืบ มหามรรคเปลี่ยนผันชนิดที่เหมือนกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ที่ไกลออกไปกว่านั้น…ข้าไม่กล้ามอง มัน…”
ระหว่างที่ฉิวเฟิงพูดนั้น เขาเหงื่อแตกเต็มตัว ยิ่งมีเค้าลางว่าพลังปราณไม่มั่นคง พลังวิชาปั่นป่วนด้วย
หึ่ง…หึ่ง…
ระฆังทองเหนือตำหนักเมฆาหยกสั่นไหวอยู่รางๆ ส่งเสียงสั่นสะท้านหลายสาย
“แย่แล้ว พอแค่นี้ สงบจิตใจ!”
“คุ้มครองจิตวิญญาณให้ได้ สหายฉิวสงบใจเร็วเข้า!”
เริ่นปู้ถงที่อยู่ข้างๆ และผู้ฝึกปราณหลายคนพากันลงมือสำแดงวิชา ยิ่งมีคนตัดขาดพลังปราณข้างนอกซึ่งเชื่อมโยงกับตำหนักเมฆาหยกด้วย
เมื่อมีมรรควิถีในระดับเดียวกับฉิวเฟิง เค้าลางเมื่อครู่นี้ผิดปกติอย่างแน่นอน ผู้อื่นประหวั่นพรั่นพรึงเช่นกัน ด้วยยากนักที่จะจินตนาการได้ว่าตอนนั้นฉิวเฟิงรู้สึกอย่างไร