ตอนที่ 198 ที่แท้เป็นเจ้า!
สำนักศึกษาเมตตาตั้งอยู่ทางมุมตะวันออกเฉียงใต้ของจังหวัดชุนฮุ่ย บริเวณนั้นค่อนข้างเงียบสงบ ครองพื้นที่อยู่ไม่น้อย สิ่งก่อสร้างทั้งสูงและต่ำเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ มีต้นเหมย กล้วยไม้ ไม้ไผ่ และดอกเบญจมาศปลูกอยู่ทั่วไปในสำนักศึกษา
ในบรรดาอาจารย์ไม่ขาดบัณฑิตอาวุโสที่เคยได้รับคะแนนดีระหว่างการสอบระดับเมืองเอก แม้กระทั่งยังมีขุนนางที่ชราแล้วอยู่บ้านว่างๆ ไม่มีอะไรทำแล้วทนไม่ไหวอยู่สองคนด้วย
หากใช้คำพูดเมื่อชาติก่อนของจี้หยวนก็คือบรรยากาศการเรียนสมบูรณ์แบบ เป็นสถานศึกษาที่แข็งแกร่งมาก ไม่เสียแรงที่เป็นสำนักศึกษาใหญ่อันดับหนึ่งของทั้งรัฐจี
แม้จะบอกว่าลูกหลานตระกูลใหญ่ซึ่งศึกษาอยู่ที่สำนักศึกษาเมตตามีอยู่ไม่น้อย แต่บุตรของดาวบุ๋นอิ๋นย่อมพิเศษมาก สำนักศึกษาคาดหวังต่อการมาถึงของอิ๋นชิงนานแล้ว ครั้งก่อนได้รับจดหมายจากดาวบุ๋นอิ๋น และได้รู้ว่าหลายวันนี้อิ๋นชิงใกล้ถึงแล้ว ดังนั้นห้องหับในสำนักศึกษาจึงเป็นเรื่องที่ต้องจัดการเป็นพิเศษในช่วงนี้
นักเรียนสำนักศึกษาเมตตากินนอนอยู่ที่นี่ แม้จะเป็นบุตรของคนในจังหวัดชุนฮุ่ยเองก็ไม่อนุญาตให้กลับไปอยู่ที่บ้าน ต้องได้รับจดหมายยินยอมจากอาจารย์ถึงจะเข้าออกสำนักศึกษาในวันที่ไม่ใช่วันหยุดเรียนได้ ให้ความรู้สึกคล้ายกับโรงเรียนประจำในชาติที่แล้วของจี้หยวนอยู่บ้าง
แต่สิ่งที่แตกต่างกันชัดเจนมาก ความจริงแล้วการเรียนการสอนของสำนักศึกษาอยู่ที่การเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นหลัก นักเรียนฟังในวิชาเรียนแล้วจะทบทวนด้วยตนเอง แม้ทุกระยะจะมีการสอบถามตอบปัญหาบทความ แต่ที่จริงไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการทำการบ้านสักเท่าไหร่ และอาจารย์ของสำนักศึกษาส่วนใหญ่ก็กินนอนร่วมกับนักเรียนด้วย ไม่เพียงสอนวิชาเรียนเท่านั้น ยังสอนด้วยว่าจะต้องใช้ชีวิตในสังคมอย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และนักเรียนแน่นแฟ้นยิ่งกว่าที่จี้หยวนจินตนาการไว้อีก
ประตูหน้าของสำนักศึกษาเมตตาก็มีการเพิ่มคนจับตามองอยู่บ้าง หากใกล้ช่วงที่ไม่ใช่วันหยุดเรียนมีคนท่าทางเหมือนนักเรียนมา ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นอิ๋นชิง
ดังนั้นเมื่อเห็นจี้หยวนและอิ๋นชิงเดินมา พลันรู้สึกได้รางๆ ว่าอาจเป็นบุตรของจ้วงหยวนมาถึงแล้ว โดยเฉพาะมองไปไกลๆ แล้วพบใบหน้าหล่อเหลา สดใส อ่อนโยน และซื่อตรงของอิ๋นชิง ส่วนจี้หยวนมองแล้วไม่เหมือนนักเรียน แต่กลับมีกลิ่นอายไม่ธรรมดา
ตามคาด เมื่ออิ๋นชิงและจี้หยวนมาถึงบริเวณใกล้เคียง อิ๋นชิงแบกกล่องตำราเดินไปถึงหน้าประตูตามลำพัง ก่อนจะคารวะแล้วเอ่ยปาก
“ข้าน้อยอิ๋นชิง มาจากอำเภอหนิงอันแห่งจังหวัดเต๋อเซิ่ง ตั้งใจขอเข้าศึกษาที่สำนักศึกษาเมตตา!”
“มีจดหมายหรือไม่”
เสียงคำถามดังขึ้นที่หน้าประตู อิ๋นชิงวางกล่องตำราลง หยิบจดหมายสองฉบับออกมาจากข้างใน ฉบับหนึ่งคือจดหมายของบิดาอิ๋นจ้าวเซียน ส่วนอีกฉบับหนึ่งเป็นจดหมายที่อาจารย์อาวุโสที่อำเภอหนิงอันเขียนให้
“นี่คือจดหมายของบิดาข้าและอาจารย์โจว เชิญอ่าน”
อิ๋นชิงส่งจดหมายให้ หนึ่งในคนเฝ้าประตูรีบรับไว้ด้วยสองมือ กล่าวว่า “โปรดรอสักครู่” จากนั้นรีบร้อนวิ่งเข้าไปในสำนักศึกษา
จี้หยวนอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ใช้ตาทิพย์สังเกตสำนักศึกษาเมตตาที่ว่ากันว่าสี่สิบปีมานี้มีผู้สอบขุนนางได้อันดับสามสามคน และได้อันดับสองหนึ่งคน มีปราณบุ๋นลอยวนเวียนอยู่จริงๆ
ไม่นานเท่าไหร่ก็มีอาจารย์ท่าทางอายุไม่น้อยหลายคนรีบร้อนออกมาจากประตู คนเพิ่งเดินมาถึง อิ๋นชิงก็ประสานมือโค้งคารวะเหล่าอาจารย์อย่างนอบน้อมแล้ว
“สวัสดีอาจารย์ทุกท่าน!”
“ดีๆๆ คุณชายอิ๋นมีความสามารถสง่างามจริงดังคาด!”
“ไม่เลว คุณชายอิ๋นมาศึกษาที่สำนักศึกษาเมตตาของพวกเรา เห็นทีอนาคตของสำนักศึกษาจะต้องมีจ้วงหยวนอีกคนหนึ่งเป็นแน่ ฮ่าๆๆ…”
อิ๋นชิงรีบตอบว่า “มิกล้า” อยู่หลายเสียง
ระหว่างทักทายกัน มีอาจารย์อาวุโสประสานมือให้จี้หยวนที่อยู่ห่างออกไป
“ไม่ทราบว่าท่านนี้เป็นอะไรกับคุณชายอิ๋นหรือ”
อาจารย์อาวุโสก็มีประสบการณ์เต็มเปี่ยม จี้หยวนมัดมวยผมด้วยปิ่นหยกดำทว่าไม่ได้รวบผมขึ้นทั้งหมด ผมด้านหลังและจอนผมยาวสองข้างปล่อยสยายอย่างชัดเจน แต่โดยรวมแล้วกลับเป็นธรรมชาติยิ่งนัก เป็นการแต่งกายของบัณฑิตที่ถูกต้อง กระนั้นก็มีความคล้ายคลึงกับจอมยุทธ์ผู้งามสง่าอยู่บ้าง
จี้หยวนประสานมือคารวะ
“ข้าน้อยแซ่จี้นามหยวน เป็นเพื่อนบ้านของตระกูลอิ๋น นับเป็นสหายของอาจารย์อิ๋นเช่นกัน อิ๋นชิงออกจากบ้านเดินทางไกลเป็นครั้งแรก ข้าจึงร่วมเดินทางมากับเขาด้วย”
“อ๋อ ที่แท้เป็นท่านจี้ เสียมารยาทแล้วๆ!”
อิ๋นจ้าวเซียนแต่เดิมเคยรับหน้าที่เป็นอาจารย์ที่อำเภอ เรื่องนี้ทั่วทั้งอาณาจักรรู้ไม่นับว่าเป็นความลับ แต่วันนี้ในบรรดาบัณฑิตในรัฐจีแม้กระทั่งทั้งอาณาจักรต้าเจินต่างเรียกอิ๋นจ้าวเซียนว่า ‘ดาวบุ๋นอิ๋น’ หรือ ‘ท่านอิ๋น’ ด้วยความเคยชิน ส่วนผู้ที่เรียกว่า ‘อาจารย์อิ๋น’ เพียงพูดได้ว่าเคยชินมานานมากจนยากจะแก้แล้ว
“ท่านจี้ คุณชายอิ๋น เชิญข้างในเถอะ!”
ด้วยคำเชิญของอาจารย์ จี้หยวนและอิ๋นชิงเข้าไปในสำนักศึกษาด้วยกัน
พาครอบครัวชมสำนักศึกษาก็เป็นประเพณีของสำนักศึกษาเมตตาเช่นกัน อาจารย์หลายท่านต่างมีธุระ ดังนั้นสุดท้ายแล้วมีอาจารย์อาวุโสตระกูลเฉินนำพวกเขาเที่ยวชมเพียงคนเดียว
ระหว่างนั้นมีนักเรียนสำนักศึกษาที่ได้ข่าวอยู่บ้างมาดูอิ๋นชิง เพราะอยากเห็นว่าบุตรชายของดาวบุ๋นอิ๋นในคำร่ำลือหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ โชคดีเหมือนกันที่รูปลักษณ์ของอิ๋นชิงไม่ได้ทำให้บิดาตนเองเสียหน้า แม้ไม่มีใครตัดสินคนที่ภายนอก แต่เมื่อมีหน้าตาดีเป็นตัวเสริมย่อมดีกว่ามากอย่างแน่นอน
สุดท้ายมาถึงเรือนพักของอิ๋นชิง เมื่อจัดการเรื่องเข้าอยู่แทนอิ๋นชิงเรียบร้อย จี้หยวนถึงค่อยบอกลาอิ๋นชิง บอกกล่าวกับอิ๋นชิงว่าอีกสองวันหลังจากนี้เป็นวันหยุดเรียนของสำนักศึกษาแล้วจะกลับอำเภอหนิงอัน
ส่วนหูอวิ๋นย่อมพักโรงเตี๊ยมเดียวกับจี้หยวน
เย็นวันเดียวกันนั้น ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งกลางเมือง จี้หยวนนอนตะแคงหลับตาหายใจอย่างสม่ำเสมออยู่บนเตียง ดูแล้วเหมือนหลับสนิท
หูอวิ๋นที่นอนคว่ำอยู่บนพื้นหูกระดิกก่อนค่อยๆ ลืมตาขึ้น ยืนสองขาเขย่ง ใช้สองขาหน้าจับขอบเตียงมองดูจี้หยวน เห็นจี้หยวนหลับสนิทมากจึงเดินไปทางหน้าต่างอย่างแผ่วเบา
มันใช้อุ้งเท้าจิ้งจอกข้างหนึ่งยันราวไม้ข้างเตียง จากนั้นเปิดหน้าต่างด้วยความระมัดระวัง
เอี๊ยด…
เสียงไม้เก่าดังขึ้นเล็กน้อย จิ้งจอกแดงฟังแล้วเหงื่อออกที่อุ้งเท้า ครั้นหันไปมองดูแล้วถึงถอนหายใจเสียงหนึ่ง ด้วยกลัวว่าหันไปแล้วจะเห็นจี้หยวนยืนอยู่ข้างหลัง
ครั้นเห็นจี้หยวนยังคงหลับสนิท หูอวิ๋นรีบพาดราวไม้กับหน้าต่าง จากนั้นกระโจนตัวออกไป จากชั้นสองตกลงบนพื้นที่ลานด้านหลังโรงเตี๊ยมอย่างราบรื่น ทั้งกระบวนการไม่เกิดเสียงแม้แต่น้อย หางใหญ่ปุกปุยเหมือนกับหางกระรอกอย่างไรอย่างนั้น
‘หึๆ!’
หูอวิ๋นมุ่งหน้าออกไปข้างนอกเมืองด้วยความเบิกบานใจ
ข้างเตียงจี้หยวน กระบี่เครือเขียวที่พิงอยู่ใกล้ผ้าปูที่นินลอยขึ้นอย่างเชื่องช้า ทว่าจี้หยวนซึ่งนอนตะแคงอยู่บนเตียงไม่ได้ลืมตา เพียงพูดลอยๆ ว่า
“ข้าจัดการไว้แล้ว ปล่อยมันไปเถอะ!”
ได้ยินเจ้านายออกคำสั่ง กระบี่เครือเขียวตกลงอีกครั้ง พิงอยู่ข้างเตียงอย่างสงบดังเดิม
ผ่านไปประมาณไม่ถึงสองลมหายใจ จี้หยวนพลันลุกจากเตียงขึ้นนั่ง
“เรื่องน่าสนุกขนาดนี้ ไม่มีเหตุผลให้ข้าไม่ไปดูสักหน่อยกระมัง ไปดีกว่า!”
จี้หยวนรีบสวมเสื้อนอกใส่รองเท้าเรียบร้อย พกกระบี่เครือเขียวกระโดดออกไปทางหน้าต่างเช่นกัน
…
ในสองวันหนึ่งคืนที่นั่งเรือมาจังหวัดชุนฮุ่ยก่อนหน้านี้ จี้หยวนและอิ๋นชิงนัดหมายกับปลาชิงฮื้อนัดเรียบร้อยว่าจะพบกันที่ริมแม่น้ำ เพื่อให้หลังจากนี้อิ๋นชิงมาพบปลาชิงฮื้อในวันหยุดเรียนได้สะดวก
ส่วนหูอวิ๋นก็นัดพบปลาชิงฮื้อในคืนนี้อย่างลับๆ เช่นกัน มันรู้สึกว่าตอนกลับไปท่านจี้อาจเหยียบเมฆขี่หมอกกลับอำเภอหนิงอัน จึงถือโอกาสพบสหายใหม่สนทนากันตอนนี้เสียเลย
ความตื่นเต้นที่จะได้ไปเจอปลาชิงฮื้อกำจัดความกังวลอันเกิดจากสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยไปแล้ว หูอวิ๋นวิ่งตลอดทางจนถึงกำแพงเมือง วิ่งไต่กำแพงขึ้นไปเหนือหลังคากำแพงเมืองราวกับตุ๊กแก จากนั้นวิ่งตามกำแพงเมืองลงไป สุดท้ายวิ่งเลียบช่วงแม่น้ำมุ่งหน้าทางใต้ไปพลาง ตามหาไปพลาง
ประมาณไม่ถึงหนึ่งเค่อ ในที่สุดหูอวิ๋นก็พบสถานที่นัดหมาย ตำแหน่งของต้นหลิวแข็งแรงหลายต้นเอนไปยังกลางแม่น้ำก็คือสถานที่ซึ่งตระกูลเว่ยพบเต่าเฒ่าในตอนนั้น
พอหูอวิ๋นเห็นต้นหลิวหลายต้นเอนหาแม่น้ำ ในใจเกิดความดีใจรีบกระโดดไปข้างหน้า ยืนอยู่บนต้นหลิวซึ่งเอนหาแม่น้ำต้นหนึ่งโดยตรง
ขณะมองผิวแม่น้ำสีดำมืด หูอวิ๋นส่งเสียงเรียกเบาๆ
“ชิงฮื้อ…ชิงฮื้อ…เจ้าอยู่หรือไม่”
ซ่า…
ผิวน้ำใต้ต้นหลิวกวนจนเกิดละอองน้ำ ปลาชิงฮื้อตัวหนึ่งลอยขึ้นมา
“บุ๋ง…บุ๋ง…บุ๋ง…”
“ฮ่าๆๆ เจ้าอยู่นี่ วันนี้ท่านจี้พาข้าไปร้านขนมที่ใหญ่มากๆ ร้านหนึ่ง คึกคักยิ่งกว่าหอนอกศาลที่อำเภอหนิงอันอีก ของข้างในก็อร่อยมากด้วย มาๆๆ อย่าหาว่าพี่หูไม่นึกถึงเจ้า ท่านจี้ไม่อนุญาตให้ข้าไปหาอิ๋นชิง ข้าจึงนำมามอบให้เจ้าแทน”
หางใหญ่ของหูอวิ๋นกวาดไปข้างหน้า อุ้งเท้าคู่หนึ่งคลำกลางขนหางยาวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปลดห่อใบบัวขนาดเล็กสองห่อลงจากข้างใน
เมื่อเห็นภาพนี้ จี้หยวนซึ่งซ่อนตัวอยู่บนต้นหลิวต้นหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ไม่ไกลออกไปชะงักค้าง เขารู้ว่าหูอวิ๋นซ่อนขนมไว้ ทว่าก็หลับตาข้างหนึ่งไม่ใส่ใจ ไม่คิดเลยว่าจะซ่อนไว้มากขนาดนี้ ด้วยนิสัยหวงอาหารของหูอวิ๋นแล้วนับว่ายากนักจะได้เห็น
จิ้งจอกแดงแกะห่อใบบัวช้าๆ โยนขนมข้างในลงน้ำทีละชิ้น ปลาชิงฮื้อคอยรับอยู่ข้างล่าง
“ฮ่าๆๆ…ไม่ทราบว่าให้ข้าชิมรสชาติขนมบ้างได้หรือไม่”
ผิวน้ำไม่ไหลเกิดระลอกคลื่นขนาดใหญ่ เสียงแก่ชราดังมาจากทางนั้น ปลาชิงฮื้อว่ายน้ำห่างออกไปไกลมากตามสัญชาตญาณ รออยู่ริมฝั่งแต่กลับไม่กล้าออกไปไกลเกินไป เพราะหูอวิ๋นยังอยู่บนต้นหลิวอยู่เลย
ครืน…
เต่าเฒ่ากระดองดำลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ต้นหลิวเอนเข้าหาผิวน้ำ ดวงตาเต่าขนาดใหญ่ห่างกับดวงตาจิ้งจอกเพียงไม่ถึงหนึ่งหมี่
‘เต่าเฒ่าตัวใหญ่นัก ใหญ่กว่าเจ้าภูเขาลู่เสียอีก…’
หูอวิ๋นเสียดายอยู่บ้างที่ไม่ได้หนีไปตั้งแต่แรกเพราะความใคร่รู้ ส่วนตอนนี้ตกตะลึงตัวแข็งค้างไปแล้ว
“ท่านก็อยากกินขนมหรือ”
จิ้งจอกแดงมองห่อใบบัวที่แผ่อยู่บนก้านต้นหลิว สงสัยยิ่งนักว่าขนมที่เต่าเฒ่าพูดถึงหมายถึงพวกนี้หรือไม่ ไม่แน่ว่าตนเองต่างหากที่เป็นขนมของมัน ทว่าก็ยังคงคว้าขนมหลายชิ้นโยนลงไปตามสัญชาตญาณ
เต่าเฒ่ายืดคออ้าปากรับขนมที่ต่อให้ยัดซอกฟันยังไม่พอ เคี้ยวอยู่ในปากครู่หนึ่ง
“อืม…รสชาติดี”
เต่าเฒ่ามองจิ้งจอกแดงและปลาชิงฮื้อที่อยู่ห่างออกไปสองสามจั้งและกำลังกลัวอย่างชัดเจน ทว่าทรงตัวและเตรียมพร้อมแล้ว
“วันนี้ใต้เท้ายักษ์แดงมีธุระ จึงรบกวนข้าลาดตระเวนช่วงแม่น้ำนี้แทน คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบท่านสองท่าน นับว่ามีวาสนาต่อกันแล้ว เผ่าวารีว่ายน้ำอยู่ในแม่น้ำไม่แปลก กลับเป็นจิ้งจอกแดงอย่างเจ้าที่ปรากฏตัวนอกจังหวัดชุนฮุ่ย ไม่กลัวถูกเจ้าหน้าที่ศาลมืดจับไปหรือ”
“ข้า เรื่องนั้น…ข้าไม่กลัว!”
หูอวิ๋นใช้อุ้งเท้าแหวกขนตรงหน้าอก เผยให้เป็นแผ่นป้ายไม้หยิน
“อ้อ…เมื่อครู่ข้าก็รู้สึกอยู่ว่าปราณของเจ้าพิเศษยากจะคาดเดาได้ ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง แต่เจ้าอยู่ที่จังหวัดชุนฮุ่ยได้ ส่วนปลาชิงฮื้ออยู่ในช่วงแม่น้ำนี้ไม่ได้”
เต่าเฒ่ายื่นเท้าข้างหนึ่งออกมา ปลาชิงฮื้อเพียงรู้สึกว่ากระแสน้ำรอบกายพลันหมุนเวียนคล้ายน้ำวน ทำให้มันว่ายออกไปไหนไม่ได้เลย จากนั้นถูกชักนำให้ไปอยู่ใกล้ๆ เต่าเฒ่า
“นี่ๆๆ ท่านทำอะไรน่ะ ปล่อยชิงฮื้อนะ ระวังข้าตามท่านจี้มาจัดการท่าน!”
เต่าเฒ่ายิ้ม ยากนักจะได้เห็นเผ่าวารีและปีศาจบนพื้นพิภพมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันขนาดนี้
“เอาอย่างนี้แล้วกัน การจะได้พบเผ่าปีศาจบนแผ่นดินเป็นเรื่องยาก เจ้าก็นับว่าหลอมกระดูกแล้ว อีกทั้งพูดภาษาคนได้ด้วย ต้องมีประสบการณ์บางอย่างแน่ อยู่คุยเล่นกับข้า หากมีเรื่องน่าสนใจอะไรเล่าให้จนข้ารู้สึกสนุก ข้ารับปากว่าจะช่วยไปขอร้องใต้เท้ายักษ์และเทพแม่น้ำสักครั้ง เพื่อให้ปลาชิงฮื้ออยู่ในช่วงแม่น้ำนี้”
เต่าเฒ่าพูดเช่นนี้นับว่าเป็นการประกาศฐานะตนเอง ชัดเจนว่าตนเองสนิทสมกับเทพแม่น้ำเช่นกัน แต่ความจริงแล้วเรื่องพรรค์นี้ขอร้องยักษ์ก็พอแล้ว
“เอ่อ เรื่องอะไรดี”
“ย่อมต้องเป็นเรื่องบนแผ่นดินอยู่แล้ว!”
หูอวิ๋นรู้สึกว่าคำขอพรรค์นี้น่าจะไม่นับเป็นเรื่องยาก ปลาชิงฮื้ออยู่ข้างๆ เช่นกัน จึงลองเล่าเรื่องบนภูเขาและในอำเภอหนิงอัน กอปรกับเต่าเฒ่าพูดเสริมหลายประโยคอยู่เรื่อยๆ ทำให้จิ้งจอกแดงยิ่งเล่ายิ่งสนุก ยิ่งพูดยิ่งเก็บงำไว้ไม่ได้
ความรู้สึกที่ได้สนทนากับเผ่าปีศาจอื่นแล้วได้รับการเห็นพ้องต่างจากเวลาสนทนากับอิ๋นชิงมาก และเต่าเฒ่ายิ่งแตกต่างกับเจ้าภูเขาลู่ อีกฝ่ายอ่อนโยนกว่าอย่างเห็นได้ชัด จิ้งจอกแดงฮึกเหิมขึ้นเรื่อยๆ เล่าประสบการณ์ส่วนตัวจำนวนหนึ่งไม่ยอมหยุด
จนสุดท้ายเล่าถึงเรื่องลงเขาได้รับบาดเจ็บครั้งนั้น ขณะพูดอยู่หูอวิ๋นรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง เต่าเฒ่าไม่ได้พูดอะไรนานทีเดียว บรรยากาศแปลกไปเช่นกัน
ครั้นก้มหน้าตั้งใจมองผิวน้ำ กลับพบปากเต่าขนาดใหญ่
โครม
เต่าเฒ่ากัดกิ่งขนาดใหญ่ของต้นหลิว ห่างจากจิ้งจอกแดงที่ตะลึงตาค้างเพียงแค่ฉื่อเดียว
หูอวิ๋นหันหน้าไปมองกิ่งไม้อย่างช้าๆ ราวกับรูปปั้นไม้ ตรงนั้นถูกปากเต่ากัดจนแหว่ง ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้กัดต้นไม้แต่กัดตนเองล่ะก็…
“ฮู่…ฮู่…”
เต่าเฒ่าส่งเสียงหน้าประหวั่นออกมา เคี้ยวท่อนไม้อยู่ครู่หนึ่งค่อยกลืนลงไปโดยตรง
“ที่แท้…ที่แท้จิ้งจอกน่าตายนั่นก็คือเจ้า…”