เรื่องที่เขาตกลงกับพี่ใหญ่ไว้นั้นถูกต้องแล้ว ในเมื่ออกหัก ก็ต้องใช้บุรุษงามมารักษา หากว่าคนเดียวยังไม่พอ ก็เพิ่มเป็นสอง
สองคนยังไม่พอ ถ้างั้นก็โขยงหนึ่งไปเลย!
ดูสิ นับตั้งแต่ที่แยกทางกับฮ่องเต้ต้าโจวเป็นต้นมา น้องเล็กก็มีความสุขดีมิใช่หรือ?
รอบกายมีแต่บุรุษโฉมงามรายล้อม ได้รับความเคารพจากคนทั้งแผ่นดิน
พวกราษฏร์ที่ถูกทอดทิ้งในแคว้นเหยียน ก็ได้รับการดูแลจากนางเป็นอย่างดี
ว่ากันตามจริง ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าน้องเล็กมีฝีมือในการปกครองแคว้น!
ก่อนหน้านี้ยามอยู่ในแคว้นต้าโจว ตู๋กูเจวี๋ยมีชื่อเสียงในเรื่องความสามารถเคียงคู่กับฉางซุนซิ่ว ตอนนี้พอได้ยินน้องสาววิจารณ์การปกครองออกมา ก็ต้องตื่นตะลึงไป
อะไรคือหลักการปกครองที่ว่า ต้องกินอิ่มนอนอุ่นก่อน จึงจะมีความคิดทำนุบำรุงแว่นแคว้นได้ ก่อนหน้านี้ตู๋กูเจวี๋ยไม่เคยแม้แต่จะได้ยินมาก่อนเลย
เรื่องสร้างสถานศึกษา สนับสนุนให้ริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ยิ่งทำให้เขาตะลึงจนอ้าปากค้าง
สรุปว่าตอนนี้แคว้นเหยียนถือว่ากลับมามีพลังอีกครั้งแล้ว
ว่ากันตามจริง ก่อนหน้านี้ตอนได้ยินข่าวสารที่ส่งมาว่าคนในครอบครัวก่อกบฏ เขายังอยู่ในจวนแทะเมล็ดแตงอยู่เลย
นี่มันแบบว่า……..เอ่ยถึงสายลมแต่กลับมาเป็นพายุฝนแท้ๆ ทำเอาคนตกใจแทบตาย
เขาต้องถึงกับม้วนเสื้อหลบหนีมาทั้งคืน ยังดีที่วิ่งได้เร็ว ไม่เช่นนั้นก็ไม่แน่ว่าอาจจะถูกจีเฉวียนกลั่นแกล้งอย่างไรบ้าง
ดูเอาสิ คนเขาลำบากตรากตรำตีแผ่นดินมาได้ แต่กลับถูกน้องเล็กฮุบมาเช่นนี้ แล้วจะไม่โกรธได้หรือ?
พูดไปแล้วก็นับว่าแปลกอยู่ ทำไมช่วงหลายวันมานี้ ทางด้านต้าโจวถึงได้สงบนิ่งนัก
แผ่นดินที่ชิงมาถูกฮุบไปแล้ว แต่กลับยังสงบนิ่งได้อย่างไม่น่าจะเชื่อ
ดังนั้นเขาจึงแอบส่งคนไปสืบเสาะดู นี่เรียกว่าตอนไม่รู้ก็ยังแล้วไป พอได้รู้เท่านั้นเป็นต้องตกใจแทบกระโดด
แม่นางน้อยที่นามว่าฉางซุนอิงผู้นั้น ถึงกับมีฝีมืออันร้ายกาจ……
แค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆก็กลายเป็นหอมกรุ่นจนระอุไปทั่วทั้งวังหลังแล้ว?
ขนาดซูหวงกุ้ยเฟยที่กำลังทรงพระครรภ์ยังถูกนางจัดการจนแท้ง แล้วถูกส่งเข้าตำหนักเย็นไป?
เรื่องนี้ทำเอาคนล้วนไม่เข้าใจ
ขนาดตู๋กูเจวี๋ยยังรู้สึกสงสารซูเม่ยขึ้นมา…..ทราบข่าวว่า หลังจากที่ถูกส่งเข้าไปในตำหนักเย็น ซูหวงกุ้ยเฟยก็ไม่อาจทนรับความลำบากได้ไหวถึงกับแขวนคอตายไปแล้ว
หย่งเฉิงอ๋องและพระชายาพอได้ทราบข่าว ก็เป็นลมหมดสติไปในทันที
ตำหนักหย่งเฉิงอ๋องแขวนผ้าขาวตลอดหนึ่งเดือน พระชายาเปลี่ยนเป็นสติเลื่อนลอย เอาแต่ร้องไห้ด่าทอฮ่องเต้ว่าบ้าอำนาจโหดร้ายอยู่เป็นพักๆ
เรื่องเล่านี้ ตู๋กูเจวี๋ยไม่กล้าบอกกับนาง
ใครจะไปคิดว่า จีเฉวียนจะกลายเป็นคนเช่นนี้?
ทั้งๆที่รู้ว่าฉางซุนอิงผู้นั้นไม่ใช่แม้แต่มนุษย์ ก็ยังจะเอาเข้าไปไว้ในวังหลังอีก
ตอนนี้เขาโชคดีแล้ว น้องเล็กกลายเป็นฮ่องเต้หญิง เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องทำงานอยู่ข้างกายจีเฉวียนอีกต่อไป
เพราะฉะนั้นบุรุษโฉมงามอันดับหนึ่งในแผ่นดินผู้นั้น จะอย่างไรก็ต้องจับมัดมาสร้างความยินดีให้น้องเล็ก
นับตั้งแต่ที่ขึ้นเป็นฮ่องเต้หญิง การแต่งกายของตู๋กูซิงหลันก็เปลี่ยนแปลงไป
ตอนนี้นางอายุสิบเจ็ดแล้ว รูปร่างยิ่งทีก็ยิ่งงดงาม นางสวมชุดกระโปรงสีแดงทั้งตัว เอวที่บอบบางและ ท่อนขาที่เรียวยาวเปิดเผยออกมาเป็นบางครั้งอย่างไม่ตั้งใจ ริมฝีปากแดงฉ่ำ ยิ่งส่งเสริมภาพลักษณ์ของฮ่องเต้หญิงขึ้นมา
ตู๋กูเจวี๋ยจับจ้องอยู่ที่น้องสาวของตนเอง เห็นนางนั่งอยู่ข้างโต๊ะแต่งหน้า นำชาดทาปากสีแดงก่ำทาลงบนริมฝีปาก
นางยังแต่งขอบตาด้วยเส้นสีดำที่ดึงดูดวิญญาณผู้คน ทาขอบตาด้วยสีแดงอ่อน ปัดคิ้วด้วยขนปีกนก
เขานั่งลงตรงข้างนาง วางมือลงบนหัวไหล่ ชื่นชมอยู่เป็นนาน
“น้องเล็ก เจ้างดงามน่าดูมากอยู่แล้ว สิ่งของพวกนี้ไม่จำเป็นจะต้องเอามาทาถูใบหน้าก็ได้มั้ง?”
เขาทนดูไม่ไหว ชาดทาปากที่แดงจนเกือบดำเช่นนี้…….ใครทาเข้าไปก็ดูเป็นมารร้าย!
“หากว่าข้าไม่แต่งหน้าทาปากใครจะรู้ว่าข้าเป็นฮ่องเต้หญิง?” ตู๋กูซิงหลันว่าพลางทาชาดทับลงไปอีกครั้งหนึ่ง
ตอนที่อยู่ในวังหลวงของต้าโจว นางมีลูกสะใภ้มากมายเป็นโขยง ในเมื่อตนเองเป็นไทเฮา จะมาแต่งหน้าทาปากให้มากไปก็รู้สึกไม่ดี
ตอนนี้เป็นฮ่องเต้หญิงแล้ว อยากจะทำอย่างไรก็ย่อมได้
วิญญาณทมิฬตัวสั่นสะท้านอยู่ในมุมๆหนึ่ง สตรีที่อกหักช่างน่ากลัวจริงๆ ดูหลันหลันเป็นตัวอย่างก็รู้แล้ว
แต่งหน้าแต่งกายเช่นนั้น….มันจำได้อย่างแม่นยำ เป็นวิธีการแต่งตัวยามที่นางสวมบทเป็นวายร้ายตัวฉกาจตอนแสดงละครในโลกก่อน
หลังจากที่ถูกบุรุษสุดที่รักทอดทิ้ง ตัวร้ายฝ่ายอธรรมก็แต่งกายเช่นนี้ สุดท้ายแล้วทุกคนในละครก็ถูกตัวร้ายผู้นี้ฆ่าทิ้งจนเหลือแต่ชื่อ
จุ๊ จุ๊ จุ๊ ……พูดตามตรงนะ ละครเรื่องนั้นได้ทิ้งเงามืดที่น่ากลัวเอาไว้ในใจของมันอย่างไม่อาจลืมเลือน
อย่าได้เห็นว่าภายนอกนางดูปลอดโปร่งสบายๆ ปากบอกว่าไม่ได้สนใจไยดีฮ่องเต้สุนัข แต่เกรงว่าในใจคงจะเกลียดเขาเข้ากระดูกดำไปแล้ว
ตู๋กูเจวี๋ยหยิบบรรดาขวดและตลับต่างๆของนางขึ้นมาดู พลางถามอย่างจริงจังว่า “สตรีทั้งหลายชอบสิ่งของพวกนี้มากหรือ?”
“ย่อมใช่อย่างแน่นอน ไม่มีสตรีคนใดจะไม่ชอบ”
“เช่นนั้นให้พี่รองสักตลับได้หรือไม่?” ตู๋กูเจวี๋ยพูดพลาง ก็ยัดสิ่งของเข้าไปในอกไปด้วย “คราวหน้าพอเจอกับชือหลี ให้นางได้ลองใช้สิ่งของของมนุษย์ธรรมดาพวกนี้ดู”
ตู๋กูซิงหลันเหลือบมองไป เห็นเขาเลือกเอาชาดสีชมพูจัดจ้านราวปากตุ๊กตาไปตลับหนึ่ง นางก็ยิ้มอย่างชั่วร้ายออกมาในทันที “ชือหลีจะต้องชอบแน่นอน”
“แฮะ แฮะ” พี่รองหัวเราะราวกับว่าเป็นคนโง่ “ข้ายังนึกว่านางชอบดื่มเหล้าเสียอีก เยี่ยมเลย ต่อไปไม่เอาสุราไปฝากแล้ว ซื้อพวกชาดทาปากและแป้งฝุ่นพวกนี้ไปฝากนางให้มากๆดีกว่า!”
พอเอ่ยถึงชือหลี นับตั้งแต่ที่จากกันครั้งที่แล้ว ตู๋กูซิงหลันก็ไม่ได้ข่าวคราวของนางแม้แต่น้อย
แต่กลับเป็นไข่มุกมังกรที่นางมอบให้ตน ช่วงนี้กลับเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมาแล้ว
มุกมังกรสีฟ้า ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดง
ช่วงนี้สีแดงยิ่งทีก็ยิ่งเข้มขึ้นมา……
ทิศตะวันตกของแคว้นเหยียนติดกับทะเลตะวันตก ที่จริงก็ไม่นับว่าไกลกันเท่าไหร่ เดิมตู๋กูซิงหลันก็เคยมีความคิดจะไปชมดูสักครั้งอยู่แล้ว
เมื่อหลายปีก่อน ศพของมารดาไทเฮาน้อยก็ถูกพบในสถานที่ที่ใกล้ๆกับทะเลตะวันตกเช่นกัน
ส่วนเรื่องฐานะของบิดาที่แท้จริงของนางนั้น ขนาดจนถึงตอนนี้ท่านปู่ก็ยังไม่อาจสืบได้ชัดเจน
บางทีหากว่านางเดินทางไปทะเลตะวันตกสักครั้งก็อาจจะได้ผลลัพธ์ออกมาบ้างก็ได้
ตอนนี้สถานการณ์ให้แคว้นเหยียนก็สงบลงแล้ว สองขาของนางก็ดีขึ้นมากแล้ว
นางยิ่งไม่คิดจะปล่อยตนเองให้อยู่ว่างอีกต่อไป พอว่างขึ้นมาก็จะคิดไปถึงเรื่องของจีเฉวียนและฉางซุนอิง
พอคิดหัวใจก็ว้าวุ่นไปหมด
หาเรื่องอะไรให้ตนเองทำจะได้ไม่ต้องไปคิดถึงมัน
“ฝ่าบาท ที่ด้านนอกมีบุรุษผู้หนึ่งบอกว่าตนคือโฉมงามอันดับหนึ่งในแผ่นดิน มาขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ”
ในตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงคนรายงานเข้ามา
ตู๋กูซิงหลันชะงักไปครู่หนึ่ง ก็หันไปหัวเราะฮิฮิกับพี่รองของตนเอง “รวดเร็วอะไรเช่นนี้?”
ตู๋กูเจวี๋ยยังคงมีสีหน้างงงัน เขายังไม่ทันจะได้ลงมือเลย …..นี่พี่ใหญ่ทำงานเร็วขนาดนี้เชียว?
ช่างสมกับเป็นพี่ใหญ่ที่เน้นหนักด้านการลงมือทำ พอบอกว่าลมพัดก็ส่งฝนมาเลย!
ตู๋กูซิงหลันลุกขึ้นยืน เสด็จด้วยเท้าเปล่าไปบนพรมจนถึงปากประตูตำหนัก
ฉลองพระองค์สีแดงเพลิงพลิ้วไหวไปทั่งร่าง ส่วนที่เป็นกระโปรงผ่ายาวจนถึงต้นขา เผยให้เห็นเรียวขาขาว ยาว ตรง และนวลละเอียด
มงกุฏหงส์บนพระเศียรฮ่องเต้หญิงสั่นไหวเบาๆ ส่งเสียงกรุ้งกริ้ง ตู๋กูเจวี๋ยมองดูเงาหลังของนาง ได้แต่รู้สึกประทับใจจนบอกอะไรไม่ถูก
พอตู๋กูซิงหลันเสด็จมาถึงปากประตูตำหนัก ก็เห็นร่างที่สวมใส่ชุดสีแดงเพลิงเหมือนกับนางหันมาทางตน เขาเดินขึ้นบันไดหินอ่อนขึ้นมาทีละก้าวๆ คุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงเบื้องหน้านาง เอ่ยคำหนึ่งว่า “กราบทูลฮ่องเต้หญิง…..”
………………………………………………
ไรท์ : ใครมานะ?
ตอนต่อไป “ขอแต่งงาน”
ไรท์ : เฮ้ย เดี๋ยวสิ มาถึงก็จะขอแต่งเลย ใครมันกล้าขนาดนี้?