ตอนที่ 203 ขวดเก่า
จำได้ว่าตอนนั้นร่วมงานฉลองวันเกิดประมุขมังกร จี้หยวนล่องเรือตามแม่น้ำเทียมฟ้าท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ เคยแข่งความเร็วกับเรือประดับหอขนาดใหญ่ของจวนตระกูลเซียวด้วยครั้งหนึ่ง
ต่างจากเต่าเฒ่าที่รับผลกรรมโดยตรงซึ่งส่งผลอย่างมากต่อการฝึกปราณ คนตระกูลเซียวเพียงล้มลุกคลุกคลานท่ามกลางขุนนางมนุษย์ ด้วยแต่เดิมไม่ได้สัมผัสการฝึกปราณหรือฝึกเซียน ฉะนั้นผลกระทบจึงไม่ได้มากมายอย่างเต่าเฒ่า
แต่อย่างไรเสียขุนนางก็เป็นดาบของอำนาจฮ่องเต้ ส่วนอาณาจักรต้าเจินก็แบกรับกรรมชั่วไม่น้อย เรื่องอย่างการสังหารขุนนางดีถือว่าราชสำนักและประชาชนต่างมีส่วนร่วม เซียวจิ้งก็มีโรครุมเร้าอายุสั้นในชาตินี้ หลังจากตายแล้วจะเจ็บปวดเกินบรรยาย
แม้เรื่องที่เต่าเฒ่าเล่าจะผ่านมาเกือบหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหรือแปดสิบปีแล้ว ทว่าวิธีการของตระกูลเซียวในตอนนั้นแยบยลจนไม่พบเจอกับการล้างแค้น อาจเจอขาขึ้นหรือขาลงบ้าง แต่หลังจากนั้นก็ยังคงมีตำแหน่งอยู่ในราชสำนักอยู่ดี
จี้หยวนคิดตามไปเรื่อยๆ ฝ่ายเต่าเฒ่ายังคงเล่าต่อ
“ตอนนั้นท่ามกลางขุนนางรุ่นแรกมีคนหัวแข็งอยู่บ้าง ฮ่องเต้ชรายังมีชีวิตอยู่ควบคุมทุกคนไว้ได้ แต่เมื่อฮ่องเต้ชราสวรรคตแล้ว ฮ่องเต้ใหม่องค์นั้นอาจควบคุมราชสำนักไม่ได้ เพื่อปกป้องราชวงศ์ให้มั่นคง ฮ่องเต้องค์ชราจึงตัดสินใจหลีกเลี่ยงปัญหาทั้งหมดในอนาคต”
เต่าเฒ่าเงยหน้ามองจี้หยวน เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าคล้ายตกอยู่ในภวังค์ความคิด จึงหยุดครู่หนึ่งรอท่านจี้มองตนเองถึงพูดต่อไป
“อย่างไรข้าเต่าเฒ่าก็เป็นเพียงปีศาจที่อยู่ในแม่น้ำวสันต์ ไม่อาจรู้เรื่องในราชสำนักทั้งหมด แต่ข้าก็รู้ต้นตอของเรื่องราว ปีลี่หยวนที่สามสิบสองได้รับพระราชทานอนุญาตจากฮ่องเต้ชรา เซียวจิ้งวางแผนในงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าของวังหลวง ทำให้ขุนนางบู๊ดื้อด้านในหมู่ขุนนางชราดวลสุรากับไท่จื่อ รวมถึงองค์ชายทุกองค์…”
“แม้แต่บรรดาองค์ชายที่มีความสามารถในการดื่มสุราก็ยังได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ชราว่าพวกเขาได้รับอนุญาตให้แพ้เท่านั้น ห้ามชนะเป็นอันขาด องค์ชายที่ไม่รู้เรื่องอะไรจำนวนหนึ่งคิดว่าบิดากลัวทำให้ขุนนางอาวุโสเสียหน้า ย่อมไม่ปริปากบ่นอะไร องค์ชายพ่ายแพ้ทั้งหมด มีขุนนางฝ่ายตรวจการจงใจถากถางขุนนางอาวุโสว่าไม่ให้เกียรติองค์ชาย ทำให้ขุนนางอาวุโสบางคนพูดจาดูหมิ่นไร้มารยาท ระหว่างงานเลี้ยงปีใหม่นอกจากผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นแล้ว คนอื่นต่างคิดว่าเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น แต่ความจริงแล้วเป็นการเปิดฉากโศกนาฏกรรม…”
สิ่งที่เต่าเฒ่าเล่าหลังจากนั้นค่อนข้างคลุมเครือ อย่างไรก็ไม่ใช่คนในราชสำนัก ต่อมาคนที่กล้าวิจารณ์เรื่องนี้ก็มีน้อยแล้ว ส่วนข้อมูลที่จะได้ยินจากแม่น้ำวสันต์ย่อมน้อยมากเช่นกัน
และหลังจากนั้นเต่าเฒ่ารู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ด้วยต้องการตัดความเกี่ยวข้องกับตระกูลเซียวโดยสิ้นเชิง ยิ่งไม่กล้าคาดคะเนเรื่องราวในนั้น เพียงได้ยินปัญญาชนเล่าเรื่องเศร้ากับกลุ่มเพื่อนสนิทบนเรือหรูบางลำโดยบังเอิญ
ภายในสองสามปีหลังจากนั้น เต่าเฒ่ารู้สึกว่าความรุนแรงของกรรมชั่วนี้ถึงจุดสูงสุด ก่อนจะเริ่มคลี่คลายลงในที่สุด จึงรู้ได้ว่าโศกนาฏกรรมกำลังจะจบลงแล้ว
ทว่าไม่เป็นดังคาด ในปีลี่หยวนที่สามสิบหก ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ใช้อำนาจกวาดล้างใต้หล้า ‘ถอนรากถอนโคนสืบสวนขุนนางทรยศ’ คืนความยุติธรรมให้กับผู้จงรักภักดี สิ้นปีนั้นฮ่องเต้องค์เก่าสวรรคต
“เรื่องนี้ทำให้ข้าเต่าเฒ่าระมัดระวังซ่อนตัวอยู่ในถ้ำใต้แม่น้ำวสันต์อยู่หลายปี ด้วยกลัวว่าหากไม่พลาดท่าจะนำเคราะห์มาสู่ตัว ไม่ว่าฝนตกหรือฟ้าใสล้วนไม่กล้าเคลื่อนไหว แม้กระทั่งไม่กล้าฝึกปราณ…”
เต่าเฒ่าพูดเสียงสั่นเครือ จี้หยวนฟังแล้วรู้สึกมีอารมณ์ร่วม
ทว่าท่าทีหลบซ่อนตัวของเต่าเฒ่าอาจทำให้ปีศาจมากมายเกิดความรู้สึกกลัวอยู่บ้าง ต้องรู้ว่าปีศาจกินคนไม่กะพริบตาไม่น้อย อีกทั้งทำความชั่วเสมอไม่กลัวสวรรค์ฟาดสายฟ้าลงโทษ แต่จี้หยวนกลับเข้าใจเล็กๆ
เป็นเพราะเต่าเฒ่ามีพรสวรรค์พิเศษ จึงมองการฝึกปราณไกลว่าปีศาจทั่วไป ยิ่งกลัวเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น กลัวว่าเหตุการณ์นั้นจะมีความน่าประหวั่นพรั่นพรึง
เรื่องนี้เริ่มเล่าตั้งแต่พระอาทิตย์ตก เล่าจนกระทั่งเกือบฟ้าสางถึงค่อยมีบทสรุป ดวงอาทิตย์ราวกับส่องสีเลือดสู่เรื่องนี้ด้วย
เต่าเฒ่าเล่าจบแล้วปิดปากไม่พูดลอยอยู่บนผิวแม่น้ำ ปลาชิงฮื้อเพียงว่ายน้ำอยู่ข้างกายมันเงียบๆ ฝ่ายจิ้งจอกแดงหมอบอยู่ที่เดิมพูดไม่ออก มีความรู้สึกหวาดกลัวต่อราชสำนักเกิดขึ้นในใจลึกๆ ตกใจกลัวอยู่บ้าง ถึงขั้นเริ่มเป็นห่วงบิดาอิ๋นชิงอย่างอดไม่ได้ และเป็นห่วงว่าหากหลังจากนี้อิ๋นชิงไปเป็นขุนนางแล้วจะอันตรายหรือไม่
ตอนนี้ฟ้าสว่างแล้ว ประตูเมืองชุนฮุ่ยกำลังจะเปิดออก ไกลออกไปมีพ่อค้าหรือชาวนาทยอยเดินทางมาถึงประตูเมือง เริ่มตั้งแถวกันตรงนั้นแล้ว
จี้หยวนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง มองภาพนี้พลางกล่าว ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“หากเรื่องของเจ้าเป็นหนังสือ หากไม่ปรับแก้ล้วนไม่มีทางให้นักเล่าเรื่องไปเล่าได้แน่…”
คนก็ดี ปีศาจก็ช่าง ไม่ว่าตลาดหรือราชสำนัก หากจะให้สามัคคีกันอย่างแท้จริงยากมาก อาจเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ความจริงจี้หยวนหวังให้เรื่องราวนี้เผยแพร่ออกไปโดยนักเล่าเรื่อง ด้วยความหมายของคน ด้วยความหมายของปีศาจ หรือเป็นความหมายอื่น นอกจากแบ่งปันควาสุขหลังมื้ออาการให้มนุษย์ที่ชีวิตมีเรื่องบันเทิงน้อยนิด ก็ยังมีอุดมคติเล็กน้อยที่ยังไม่ค่อยสุกงอม
ทอดถอนใจเสร็จแล้ว จี้หยวนมองภูตสามตนรอบข้าง สุดท้ายมองไปยังเต่าเฒ่าอูฉง
“เจ้าโชคดีไม่หยอกจริงๆ นั่นบ่งบอกว่าอย่าใช้อำนาจเหนือธรรมชาติมาทำอะไรผิดๆ หลายปีมานี้ทุกครั้งที่มีความคิดเคลื่อนไหวเจ้ากลับต้องทุกข์ทรมาน ทว่าโอกาสยังมี ไม่ถึงกับต้องตัดขาดหนทางแห่งมรรค ต่อไปก็ใช้ชีวิตเรียบง่ายหน่อยแล้วกัน”
“ท่านจี้สั่งสอนถูกต้อง! เทพแม่น้ำก็พูดคล้ายกัน!”
“ฮ่าๆ”
“พวกเจ้าก็ไม่ต้องกลัวความลำบากอันตรายของการฝึกปราณ แม้ด้วยเป็นสัตว์จะยากเย็นแสนเข็ญตอนเริ่มต้น แต่เมื่อฝึกปราณเกิดผล อย่างน้อยก็สะสมพลังปราณได้มากกว่าปีศาจที่พ่อแม่แปลงกายแล้ว”
จี้หยวนลุกขึ้นยืน เก็บเบ็ดตกปลาขึ้นจากบนพื้น มองความยาวที่ไม่เหมาะเก็บเข้าในช่องแขนเสื้อ และไม่เหมือนถือเข้าเมืองไปเช่นกัน จึงโยนมันไว้บนหลังเต่าเฒ่า
เต่าเฒ่าย่อมยินดีรับคำสั่ง เมื่อจี้หยวนพูดจบแล้วก็ก้าวเท้าเดินไปทางประตูเมือง เตรียมเข้าแถวเพื่อเข้าเมืองตรงนั้น
หูอวิ๋นรีบตามไป พยายามซ่อนตัวอยู่ในเงาของจี้หยวน ก่อนจะถามเขาเสียงเบา
“ท่านจี้ พวกเราไปโรงเตี๊ยมรับสัมภาระ จากนั้นจะกลับไปเลยใช่หรือไม่”
จี้หยวนพยักหน้า จากนั้นส่ายหน้า
“ไปรับสัมภาระก่อน ไม่เช่นนั้นเลยเที่ยงวันแล้วจะนับเป็นหนึ่งวัน จากนั้นไปที่ร้านในสวนสักรอบหนึ่ง”
“ร้านในสวน นั่นเป็นสถานที่อะไรกัน”
จี้หยวนหยิบขวดสุราเก่าจากในแขนเสื้อเขย่าให้หูอวิ๋นดู นี่เป็นขวดสุราวสันต์พันวันกาแรกที่เขาซื้อตอนนั้น ต่อมาบรรจุสุราอื่นจำนวนหนึ่งด้วย แม้กระทั่งเคยบรรจุสุราอย่างอำพันมังกรเช่นกัน
“วสันต์พันวัน?”
“ถูกต้อง นั่นเป็นสถานที่ซึ่งทำและขายวสันต์พันวันโดยเฉพาะ มาถึงที่นี่แล้วก็ไปสับรอบเถอะ”
…
ต่อแถวเข้าเมือง นำทางหูอวิ๋นคิดไปโรงเตี๊ยมคืนห้องรับเงินมัดจำ จากนั้นเดินเลี้ยวไปมาในเมืองแห่งนี้ ก่อนเที่ยงก็ถึงถนนที่ตั้งร้านในสวนแล้ว
ยังคงเป็นหน้าร้านนั้น ยังคงเป็นการตกแต่งนั้น ยังคงดูเหมือนทำการค้าขายไม่ได้เท่าไหร่เหมือนตอนนั้น ผู้แลร้านข้างในจับกลุ่มนั่งและพูดคุยกัน ท่าทางไม่ยุ่งอยู่กับการทำงาน
ช่วงเวลาที่ร้านในสวนคึกคักที่สุดคือฤดูร้อน เพราะต้องหมักสุราใหม่ ฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้ค่อนข้างเงียบเหงา โดยเฉพาะตอนนี้ใกล้เที่ยงวันแล้ว ไม่มีคนส่งสุราที่ร้านในเวลานี้
หลงจู๊จัวเทากำลังดูบัญชีแยกประเภทและดีดลูกคิดเสียงดังก๊อกแก๊ก หลังจากคิดบัญชีแถวหนึ่งเสร็จแล้ว เขากลับด้านลูกคิด คราวนี้ถึงปิดสมุดบัญชีพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
ตระกูลจัวหมักสุราเป็นหลัก ไม่เคยออกจากจังหวัดชุนฮุ่ย ตนเองเก็บค่าสุราต่อแรกเท่านั้น จะไม่มีการยุ่งเกี่ยวกับการค้าขายต่อที่สองหรือสาม กอปรกับการสนับสนุนร้านในสวนของจังหวัด หลายปีนี้กิจการดีราบรื่นมีแต่ขาขึ้นตลอด
“แค่ก…แค่กๆ…แค่กๆๆๆ…”
หลงจู๊จัวไอเบาๆ หลายเสียง จากนั้นไออย่างควบคุมได้ยากอยู่ครู่หนึ่งถึงจะหยุด จึงหยิบกาน้ำชาทำจากดินจื่อซาขนาดเล็กจากข้างๆ มาดื่มหลายอึก ในที่สุดก็คุมความต้องการไอไว้ได้
มีผู้ดูแลร้านหลายคนเห็นเขา พลันถามด้วยความเป็นห่วง
“หลงจู๊ ท่านไม่เป็นไรกระมัง ไปหาหมอหน่อยดีหรือไม่ ไอมาเกือบเดือนแล้ว!”
“ไม่เป็นไร ข้าไปหาหมอตั้งนานแล้ว แค่ต้องลมหนาวเท่านั้นเอง”
ตอนนี้จี้หยวนเข้ามาในร้านในสวนแล้ว ข้างหลังโต๊ะคือหลงจู๊ในตอนนั้น ทว่าชราลงไปหลายส่วน
เห็นจี้หยวนเข้ามา คนในร้านพิจารณาอยู่หลายครั้งตามสัญชาตญาณ ด้วยสำแดงวิชาบังตา ดวงตาของจี้หยวนเหมือนกับคนธรรมดา ดังนั้นมองดูแล้วเหมือนปัญญาชนผู้สง่างาม
หลังจู๊จัวเป็นเพียงคนธรรมดา ตอนนั้นแม้ประทับใจจี้หยวนมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ย่อมจำไม่ได้เช่นกัน
“ลูกค้าท่านี้ ท่านจะสั่งสุราหรือ”
ทั่วไปแล้วมาถึงร้านในสวนล้วนเพื่อสั่งสุรา สั่งไหใหญ่หลายไหขนใส่รถคันใหญ่หลายคัน มีสั่งสุราใหม่ในปีหน้าแล้วเช่นกัน ลูกค้าที่มาซื้อไปขายปลีกน้อยมากจริงๆ แต่หากมาซื้อ ร้านในสวนไม่มีทางปฏิเสธอยู่แล้ว
จี้หยวนไม่ได้ตอบความ เดินไปมองจัวเทาที่หน้าโต๊ะ เป็นเพียงต้องลมหนาวจริงๆ ในปอดมีไอเย็นสะสมอยู่ ทำร่างกายให้อบอุ่บสักครึ่งเดือนก็หายแล้ว
โรคพรรค์นี้จี้หยวนรักษาได้ ตอนหยิบขวดสุราออกจากในแขนเสื้อ เขาสะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย ไอหนาวในปอดจัวเทาถูกกวาดล้างไปจนเกลี้ยงแล้ว
แต่คนอื่นมองไม่เห็นท่าทางเล็กน้อยนี้ ถูกดึงดูดความสนใจด้วยกาสุราเก่าที่จี้หยวนนำออกมาเท่านั้น
“หลงจู๊ ข้ามีกาสุราเก่า หากเติมสุราใหม่ให้เต็มเป็นเงินเท่าไหร่”
หลงจู๊จัวมองกาสุรากระเบื้องอย่างละเอียด ภายนอกไม่มีคราบดำ แต่บนขวดมีรูถูกกระแทกจำนวนหนึ่ง ชัดเจนว่าใช้งานบ่อยครั้ง รูปแบบของมันน่าจะเป็นของเมื่อหลายปีก่อน กาสุราที่ขายอยู่ในปัจจุบันนี้เปลี่ยนรูปแบบไปแล้ว
ไม่ว่าอย่างไรเห็นกาสุราเก่าเช่นนี้แล้ว ที่พบอาจเป็นลูกค้าเก่าที่เคยมาซื้อวสันต์พันวัน ในใจหลงจู๊จัวดีใจมากทีเดียว
“ราคาไม่ขึ้น กานี้หนึ่งจิน หากเติมจนเต็มคิดแปดร้อยอีแปะ”
จี้หยวนพยักหน้า พลันถามขึ้นว่า
“หลงจู๊จัว หากพวกเจ้านำกาสุราตนเงมาเติม หนึ่งจินเป็นเงินแปดร้อยอีกแปะใช่หรือไม่ นั่นไม่เท่ากับว่าถูกลงกว่าเดิมสองร้อยอีแปะหรือ”
เดิมหลงจู๊จัวคิดไปหยิบกาจื่อซามาดื่มน้ำชาให้ชุ่มคือ แต่ผ่านไปครู่หนึ่งแล้วไม่รู้สึกอยากไปจึงชักมือกลับ รู้สึกว่ากลิ่นอายจี้หยวนไม่ธรรมดา พลันสนใจสนทนากับจี้หยวนสักหลายคำ
“ความจริงแล้วเมื่อก่อนไม่ใช่เช่นนั้น แต่เป็นเช่นที่ลูกค้าว่า กาสุราหนึ่งกาไหนเลยจะเทียบกับสองร้อยอีแปะได้”
“นั่นเพราะเหตุใดกัน”
“หึ เรื่องนี้ไม่มีอะไรให้น่าพูดถึงจริงๆ ตอนนั้นเพื่อประจบลูกค้าพิเศษคนหนึ่ง ข้าตั้งใจขายสุราเก่าแก่ชั้นดี และกดราคาสุรากาหนึ่งลงถึงสองร้อยอีแปะ เรื่องนี้ผู้ดูแลร้านและคนคุ้ยเคยกันจำนวนหนึ่งล้วนรู้ หลังจากครั้งนั้นคนที่นำกาสุราหนึ่งชั่งมาสั่งสุรา ล้วนเก็บเงินเพียงแปดร้อยอีแปะ”
จี้หยวนหัวเราะ
“โอ้ หลงจู๊เสมอภาคไม่ลำเอียง นั่นต้องขาดทุนไม่น้อยเลยกระมัง ท่านทำการค้าขายนะ!”
หลงจู๊หัวเราะ “ฮ่าๆ” เช่นกัน
“แม้ข้าคนแซ่จัวไม่ใช่ปัญญาชมหรือจอมยุทธ์ ทว่ายังมีความรับผิดชอบอยู่บ้าง อีกอย่างหากไม่ใช่ขุนนางคนร่ำรวย คนธรรมดาที่ไหนจะดื่มวสันต์พันวันทุกวัน ยิ่งมีคนมาสั่งสุราที่ร้านน้อยนัก…อีกอย่างพวกข้าก็ไม่กระโตกระตากด้วย!”
“ฮ่าๆๆๆ…”
จี้หยวนยิ้มอย่างนับถือ หยิบเงินสองตำลึงออกมาจากในแขนเสื้อ
“หลงจู๊ฉลาดเฉียบแหลม! นำสุรากาใหม่มาเถอะ นี่สองตำลึง”
นี่แปลกอยู่บ้างแล้ว คนผู้นี้ไม่ใช่ว่านำขวดเก่ามาสั่งสุราหรือ
แต่ในเมื่อคนผู้นี้พูดแล้ว จัวเทาไปทำตามนั้นเช่นกัน หยิบสุราขวดใหม่ออกมาจากในตู้ ชั่งน้ำหนักเงินแล้วค่อยส่งให้จี้หยวน
จี้หยวนรับขวดสุราแล้วหมุนกายเดินไป ตอนเขากำลังจะก้าวออกจากร้าน จัวเทาถึงพบว่าขวดเก่ายังอยู่บนโต๊ะจึงร้องเรียกเสียงหนึ่ง
“ลูกค้า ขวดสุราท่านอยู่นี่!”
ลูกค้าในเสื้อสีขาวตรงหน้าโบกมือ
“มอบให้เจ้าแล้ว!”
จัวเทาหัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้อยู่บ้างพลางก้มหน้ามองขวดสุราพังๆ นี้ เขาจะต้องการกาสุราเช่นนี้ไปทำอะไร สิ่งที่ร้านในสวนไม่ขาดแคลนที่สุดก็คือของพรคค์นี้
แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ลูกค้าเสื้อขาวที่เพิ่งเดินไปถึงหน้าประตูแท้ๆ กลับหายไปไม่เห็นเงาแล้ว
‘เดินเร็วขนาดนี้เชียว?’
จัวเทาอ้อมออกจากโต๊ะ เดินไปถึงหน้าประตูมองซ้ายมองขวาครั้งหนึ่ง บนถนนละแวกนี้ไปจนถึงไกลออกไปคนเดินขวักไขว่ มองไม่เห็นว่าคนผู้นั้นอยู่ที่ไหน จึงทำได้เพียงกลับไปที่โต๊ะแล้ว
มีพนักงานร้านข้างโต๊ะยิ้มถาม
“หลงจู๊ จะทำอย่างไรกับขวดนี้ดี”
“จะทำอย่างไรได้ ทิ้งสิ”
พนักงานร้านร้องรับแล้วหยิบขวดนี้ขึ้นมองดู ดึงจุกปิดขวดออกโดยสัญชาตญาณ กลิ่นหอมหวนจางๆ พาความสดชื่นลอยออกมา คนบริเวณนั้นได้กลิ่นแล้วสดชื่นขึ้นทันตา