ตอนที่ 204 บุญพาวาสนาส่ง
“หลงจู๊ นี่…จะทิ้งหรือ”
พนักงานร้านสูดดมกลิ่นที่ปากขวดแรงๆ ก่อนจะถือขวดสุราถามอย่างลังเล
ปรากฏว่าหลงจู๊คว้าขวดสุราจากมือเขา หยิบจุกปิดขวดบนโต๊ะขึ้นมาเช่นกัน
เขย่าขวดแล้วส่องผ่านตรงที่แสงสว่างส่องเข้า ข้างในมีคราบแต่ไม่มีสุราอยู่แล้ว ดมกลิ่นพบว่ากลิ่นหอมยังไม่จางหาย ครั้นปิดจุกกลิ่นจางลงทันที หลังจากนั้นก็ไม่เหลือกลิ่นแล้ว
หลงจู๊ดมตัวขวดแรงๆ อีกครั้ง พบว่าไม่มีกลิ่นใดเล็ดรอดออกมา ตอนเขากำลังพิจารณา พนักงานร้านหลายคนล้อมเข้ามาแล้วเช่นกัน มองด้วยใบหน้าใคร่รู้
“หลงจู๊ ไยขวดนี้หอมขนาดนี้ ใส่อะไรไว้หรือ”
หลงจู๊จัวมองรอยจำนวนน้อยบนตัวขวด มองอย่างไรก็เป็นขวดสุราธรรมดา แต่กลับรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าขวดนี้แตกต่าง ได้ยินพนักงานร้านถามขึ้น หลงจู๊จัวที่เกิดความรู้สึกประหลาดใจอยู่รางๆ ตอบอย่างขอไปที
“อาจจะใส่เครื่องเทศอะไรเอาไว้กระมัง…”
พูดแล้วหลงจู๊จัวก็มองไปทางประตู รู้สึกอยู่เสมอว่าภาพเมื่อครู่คล้ายกับเคยเห็นที่ไหน พอความคิดนี้ผุดขึ้นมาก็เลิกคิดไม่ได้แล้ว
ขวดสุรารูปทรงนี้ ลูกค้าแปลกประหลาด ภาพทุกภาพซ้อนทับกับปีนั้นหลายจุดแล้ว
“อาจเคยใส่เครื่องเทศไว้จริงๆ มิน่าเล่าคนผู้นั้นถึงไม่ใช้ขวดซื้อสุรา”
“แล้วขวดนี้จะยังทิ้งหรือไม่”
“ไม่ทิ้งแล้วจะทำอะไรได้ ล้างแล้วใส่สุราหรือ ในร้านไม่ขาดขวดสักหน่อย”
“กลางวันนี้กินอะไร เมื่อครู่ดมกลิ่นนั้นแล้วหิวขึ้นมาเฉยเลย!”
…
พนักงานข้างโต๊ะผลัดกันพูด อย่างไรช่วงเวลาที่ร้านในสวนกำลังว่างก็ไม่มีกฎระเบียบมากมายขนาดนั้น
แต่ได้ยินพนักงานคนหนึ่งพูดว่า ‘ล้างแล้วใส่สุรา’ ในใจหลงจู๊จัวพลันกระตุกวูบ
“เอาล่ะๆ แยกย้าย ใกล้เที่ยงวันแล้ว พวกเจ้าหลายคนไปสั่งอาหารที่ร้านอาหารข้างนอก ส่วนพวกเจ้าสองคนไปซื้อแป้งทอดที่ร้านตรงหัวมุมมาหน่อย”
“วันนี้ไม่ทำเองหรือ”
หลงจู๊จัวถลึงตาถามกลับอย่างไม่สบอารมณ์
“กินอะไรดีๆ สักมื้อไม่ดีหรือ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ทำเองเถอะ!”
“ไม่เอาๆๆๆ หลงจู๊ข้าล้อเล่น!”
“ใช่ๆๆ ข้าจะสั่งอาหารให้เอง”
“แล้วยังไม่รีบไปอีก?”
“ไปเดี๋ยวนี้ขอรับๆ!”
“รู้แล้วๆ!”
…
พนักงานหลายคนต่างรีบออกไป ถึงอย่างไรหลงจู๊ก็เป็นคนออกเงิน พวกเขาร้านในสวนไปสั่งอาหารถึงขนาดไม่ต้องต่อแถว ร้านอาหารหลายร้านทำให้พวกเขาก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนสุรา นั่นไม่จำเป็นต้องซื้อแล้ว
หลังพวกพนักงานออกไป หลงจู๊จัวหมุนกายไปหยิบวสันต์พันวันไหหนึ่งจากใต้โต๊ะ จากนั้นดึงจุกขวดสุราเก่าออก กลิ่นหอมสายนั้นเอ่อออกมาอีกครั้ง เขารีบนำกรวยมาจ่อปากขวด ใช้สี่ตำลึงชั่งวสันต์พันวันครึ่งหนึ่ง แล้วกรอกใส่ขวดสุราเก่าอย่างระมัดระวัง
เรื่องที่ค่อนข้างมหัศจรรย์เกิดขึ้น วินาทีที่สุราลงกาสุรา กลิ่นหอมสายนั้นพลันหายไป ราวกับถูกเก็บกลับเข้าไปในขวดแล้ว
หลังจากเทสุราได้ครึ่งหนึ่งแล้ว หลงจู๊จัวดึงกรวยออก นำปากขสดเข้ามาดมที่ปลายจมูกอย่างตั้งใจ กลิ่นสุราวสันต์พันวันดูเหมือนเข้มข้นกว่าสุราใหม่ธรรมดาไม่น้อย แต่กลับเทียบกับกลิ่นยั่วยวนใจก่อนหน้านี้ไม่ได้
ครั้นขย่าขวดสุราดู ได้ยินเสียงของเหลวไหลอยู่ข้างใน จากนั้นดมอีกครั้งกลิ่นสุราวสันต์พันวันคล้ายกับเข้มข้นขึ้นอีกเล็กน้อย
หลงจู๊จัวหยิบถ้วยมาหนึ่งใบ ลังเลอยู่นานก่อนจะเทสุราชิมดูคำหนึ่ง
ได้กลิ่นสุรา หวนรำลึกถึงกลิ่นหอมเมื่อครู่นี้ ในใจอยากชิมอีกถ้วยเป็นอย่างยิ่ง แต่ด้วยเหตุผลจึงยับยั้งความคิดนี้ไว้
ลังเลไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่ครู่หนึ่ง พนักงานร้านทยอยกันกลับมาถึงร้านในสวน หลงจู๊จัวปิดจุกขวดสุราเก่าซ่อนไว้ในตู้ชั่วคราว
จากนั้นคนที่ไปสั่งอาหารที่ร้านก็ถือกล่องอาหารกลับมา คนกลุ่มหนึ่งกินอาหารกลางวันบนโต๊ะของร้านในสวนด้วยกัน ตอนกินหมดเก็บกวาดเรียบร้อย ตอนบ่ายมีการค้าขายมาถึงร้าน ขนสุราส่งสุราคิดบัญชีเก็บเงิน แต่ละคนยุ่งมาก
ตกเย็น ขณะร้านในสวนกำลังจะปิด พนักงานร้านกำลังเก็บกวาดภายในร้าน หลงจู๊จัวนำบัญชีแถวสุดท้ายออกมาคำนวณจนเสร็จสิ้น
“เอ๊ะ หลงจู๊ ท่านหายไอแล้วหรือ”
พนักงานที่ถามความเดิมอยากช่วยหลงจู๊จัวนำกาจื่อซาใส่ยาน้ำไปล้างทำความสะอาด แต่หยิบกาจื่อซาขึ้นแล้วพบว่ามันยังหนักอยู่เลย ครั้นเปิดออกดูยาน้ำยังเหลือมากกว่าครึ่ง หลายวันก่อนหน้านี้ตอนเก็บล้างล้วนเหลือน้อยมาก
ได้ยินพนักงานถามเช่นนี้ จัวเทาพลันรู้สึกเหมือนกับว่าไม่ได้ไอมานานทีเดียว
“จริงด้วย วันนี้ทั้งบ่ายไม่เห็นหลงจู๊ไอเลย”
“จริงอย่างที่เจ้าว่า ตอนเช้าข้ายังบอกให้หลงจู๊ไปหาหมอยู่เลย แต่ตกบ่ายกลับหายแล้วหรือนี่”
หลงจู๊จัวแปลกใจเช่นกัน ครั้นลองคิดดูให้ดีแล้ว ดูเหมือนว่าไอครั้งสุดท้ายตอนคิดบัญชีช่วงเช้าเสร็จแล้ว หลังจากนั้น…
จัวเทาชำเลืองมองกาสุราเก่าซึ่งซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ เดิมทีตลอดทั้งบ่ายใจลอยอยู่บ้าง ทว่าตอนนี้หัวใจเต้นแรงขึ้นไม่น้อย ความรู้สึกนั้นยิ่งมายิ่งมากขึ้น
‘นี่คงไม่ใช่ของล้ำค่าจริงๆ กระมัง!?’
…
จนกระทั่งท้องฟ้ามืดลง จี้หยวนกลับไปที่ริมแม่น้ำวสันต์นอกกำแพงเมืองทางใต้อีกครั้ง เต่าเฒ่ายังคงรออยู่ก้นแม่น้ำดังคาด ใช้วิชาเลี้ยงวารีปกป้องคันเบ็ดตกปลา ทำให้ไม่ไผ่สีเขียวมรกตไม่ชื้นเลยสักนิด
ตอนนี้ริมแม่น้ำไม่มีคนเดินเท้าแล้ว เต่าเฒ่าลอยขึ้นเหนือผิวแม่น้ำโดยไม่หลีกเลี่ยงอะไร จากนั้นใช้เท้าเต่าคารวะ
“คารวะท่านจี้!”
“ดี ขอบคุณมาก!”
จี้หยวนกล่าวขอบคุณแล้วกวักมือ คันเบ็ดตกปลาบนหลังเต่ากลับมาที่มือเขา
เต่าเฒ่าเห็นจิ้งจอกแดงตัวนั้นไม่อยู่ข้างกายจี้หยวน คิดว่าท่านจี้กำลังจะจากไป กลับเห็นเขานั่งลงตรงตำแหน่งเมื่อคืน
ตอนนี้ปลาชิงฮื้อไม่อยู่ริมฝั่ง หูอวิ๋นได้รับอนุญาตจากจี้หยวนให้ไปหาอิ๋นชิงเป็นครั้งสุดท้าย ตรงต้นหลิวเอนหาแม่น้ำจึงมีเพียงจี้หยวนและเต่าเฒ่า นี่ทำให้เต่าเฒ่าเครียดเกร็งอยู่บ้าง
จี้หยวนมองรูที่มีขนาดใหญ่กว่าลูกบาสเกตบอลบนลำต้นหลิว นั่นเป็นรูกัดจากเต่าเฒ่าที่กำลังโมโหในคืนแรกที่มาถึงจังหวัดชุนฮุ่ย เขาเผยรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้ จากนั้นมองเต่าเฒ่าที่ผิวแม่น้ำ
“วันนั้นเจ้าถามถึงเนื้อหาของท่องเสรีใช่หรือไม่”
จี้หยวนถามอย่างเรียบเฉย ไม่ได้ซ่อนอารมณ์โกรธใดไว้ภายใน แต่เต่าเฒ่าฟังแล้วกลับลนลาน กระวนกระวายใจไปชั่วขณะหนึ่ง
“ใช่…”
เดิมอยากอธิบายเพิ่ม แต่รู้สึกว่าแบบนี้เหมือนเถียงข้างๆ คูๆ สุดท้ายทำได้เพียงตอบกลับไปเสียงหนึ่ง
แต่รออยู่ครู่หนึ่งแล้วไม่เห็นจี้หยวนใช้วาจารุนแรงและตำหนิลงมา ในใจเกิดความรู้สึกคาดหวังขึ้นรางๆ อีกทั้งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
จี้หยวนราวกับกำลังรอสังเกตสีหน้าของเต่าเฒ่าเปลี่ยนแปลง เห็นการเปลี่ยนแปลงของเครื่องหน้าบนใบหน้าเต่าขนาดยักษ์น่าสนใจดีทีเดียว ทว่าคราวนี้เต่าเฒ่ากลับรวบรวมความกล้ามองดวงตาสีเทาของเขาอย่างไม่หลบเลี่ยง
“อยากฟังท่องเสรีหรือ”
เป็นเช่นที่คาดการณ์ไว้ คำพูดที่อยากฟังที่สุดออกจากปากจี้หยวนแล้ว เต่าเฒ่าเกร็งใบหน้าไม่ไหวอีกต่อไป โค้งตัวผงกศีรษะจนน้ำกระเซ็นดังซ่าๆ ไม่หยุด
“อยากฟัง ข้าเต่าเฒ่าอยากฟัง! ขอท่านจี้สั่งสอนด้วย! ขอท่านจี้สั่งสอนด้วย!”
เนื่องจากอยู่ในน้ำ องศาในการขยับตัวในครั้งนี้ของมันจึงเหมือนกับมนุษย์โค้งคำนับ ทว่าเกิดการเคลื่อนไหวบนผิวน้ำไม่น้อยเลย
“เอาล่ะ เจ้าไม่ต้องคำนับแล้ว ไม่เช่นนั้นจะได้รับความสนใจจากเรือที่อยู่ไกลๆ เอา”
ตอนนี้ท้องฟ้ายังไม่มืดสนิท แม้รอบข้างไม่มีคนเดินเท้าแล้ว แต่บนผิวแม่น้ำยังมีคงเรือ เสียงน้ำดังซู่ซ่าตรงนี้ดังต่อเนื่อง ดึงดูดความสนใจคนจริงๆ
เต่าเฒ่าหยุดเคลื่อนไหวทันที ลอยอยู่บนผิวน้ำคอยท่าอย่างสงบ ขณะเดียวกันก็กลัวจี้หยวนพูดว่า ‘เจ้าอยากฟังแต่ข้าไม่อยากเล่า’ จึงไม่กล้าเชื่อวาสนาของตนเองเลยจริงๆ
หลังจากเงียบกริบอยู่ครู่หนึ่ง
“ทะเลเหนือมีปลา มันมีนามว่าคุน ความใหญ่ของคุนไม่รู้กี่พันลี้ เมื่อกลายร่างเป็นนก มันมีนามว่าเผิง…”
จี้หยวนไม่ได้บอกให้เตรียมตัว ทว่าเอ่ยปากอย่างคลุมเครือ เต่าเฒ่าบนผิวแม่น้ำยิ่งตั้งอกตั้งใจอย่างยิ่งยวดตั้งแต่แรก ไม่กล้าพลาดแม้สักพยางค์
ยิ่งเสียงจี้หยวนดังไป สภาพแวดล้อมยิ่งได้รับผลกระทบจากเขตแดนที่ฟ้าดินพลิกเปลี่ยนเกิดเป็นรูปร่างของจี้หยวนในเวลานี้ ปราณของเขาเลือนรางและลึกล้ำอย่างเห็นได้ชัด เต่าเฒ่าเพียงรู้สึกว่าเหมือนถูกจี้หยวนนำทางแปลงกายเป็นคนยักษ์และเต่ายักษ์ ราวกับก้มหน้าก็มองเห็นภูผาธารา ราวกับตนกลายเป็นคุนเผิงตัวใหญ่หลายพันลี้ พันลี้เล็กลงในพริบตา ขึ้นสวรรค์และลงนรกได้ในคราวเดียวกัน…
ถึงแม้จะเป็นชั่วขณะนี้ เต่าเฒ่าได้รับแรงกระเพื่อมในจิตใจอย่างแรงกล้าก็ยังไม่ลืมจดจำทุกพยางค์จนขึ้นใจ
ความเร็วในการพูดของจี้หยวนดูเหมือนขัดแย้งกับเวลาอยู่บ้าง ความเร็วนั้นปกติดีอย่างชัดเจน จนสองท่อนสุดท้าย ‘ไม่เป็นอันตราย ใช้งานไม่ได้ ตกที่นั่งลำบาก!’ ของท่องเสรีจบลง จิตวิญญาณเต่าเฒ่าแจ่มชัดในทันที สีท้องฟ้ามืดสนิทเป็นที่เรียบร้อย
ตอนนี้จี้หยวนหยุดพูดแล้ว เต่าเฒ่ากลับตกอยู่ในความสะท้านใจพูดไม่ออกเสียเนิ่นนาน
จี้หยวนมองท่าทางเต่าเฒ่า รู้ว่าวิธีขั้นตอนเขตแดนเปลี่ยนแปลงไม่เลวเลยทีเดียว อย่างน้อยในแง่มรรควิถีก็ล้ำลึกมากจริงๆ
ตามหลักการแล้วครั้งนี้น่าจะได้ประสิทธิผลมากกว่าบนแท่นจันทราแห่งเขาโคเทพ ทว่าเจ้าภูเขาลู่นับว่ามีปัญญาเลิศล้ำในบรรดาปีศาจ อาศัยเสียงมรรคแค่คืนนั้น ความเข้าใจอาจไม่เลวร้ายไปกว่าเต่าเฒ่าในตอนนี้แล้ว
“เจ้าอดทนมาเป็นเวลานาน ความจริงท่องเสรีเหมาะกับเจ้ามาก ที่เหลือข้าไม่ขอเล่าให้เจ้าฟังแล้ว หากว่างก็มาฟังตำรากับปี้ชิงเถอะ”
จี้หยวนพูดจบแล้วถือคันเบ็ดตกปลาลุกขึ้น สำแดงท่ามังกรเหินลอยจากพื้นไปไกล
ตอนที่เต่าเฒ่าดึงสติกลับมาได้ เห็นเพียงเงาหลังไกลลิบของจี้หยวน คราวนี้ถึงรีบปีนขึ้นฝั่งยืนด้วยท่าคน ส่งเสียงกล่าวขอบคุณสู่สถานที่ไกล “ขอบคุณท่านจี้ที่สั่งสอน ขอบคุณท่านจี้ที่มอบวิชา! ขอบคุณท่านจี้ที่สั่งสอน ขอบคุณท่านจี้ที่มอบวิชา…”
หลายเสียงก่อนหน้าเต็มไปด้วยความปีติและซาบซึ้ง หลังจากนั้นไม่เห็นจี้หยวนแล้ว น้ำเสียงมันยิ่งแทรกไว้ด้วยอารมณ์สับสนมากมาย
“ข้าเต่าเฒ่า…ในที่สุดก็มีวันที่มีวาสนาแล้ว”