ตอนที่ 205 ความคิดที่แท้จริง
ในมุมมองของจี้หยวน หนทางฝึกปราณของเต่าเฒ่าขรุขระอยู่บ้างจริงๆ แน่นอนว่าเต่าเฒ่าหาเรื่องใส่ตัวไม่น้อย ถึงอย่างไรเสียการช่วยเหลือคนมีจุดประสงค์ชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น หากมันเป็นเหมือนปลาชิงฮื้อได้จริงคงมีอุปสรรคน้อยลง
แต่ความจริงใจต่อการแสวงหามรรคของเต่าเฒ่าเป็นของจริง ประสบการณ์ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนทำให้มันรู้จักทะนุถนอม สิ่งนี้ก็มีค่าหายากไม่แพ้กัน
สิ่งที่เกิดขึ้นในสองวันนี้ถือเป็นโชคดีของเต่าเฒ่าจริงๆ
ด้วยท่าร่างมังกรเหิน จี้หยวนเดินช้าๆ อย่างสบายใจ ลมยามราตรีพัดเสื้อผ้าปลิวไสว หากมีคนเห็นต้องคิดว่าเป็นเซียนจริงๆ แน่
แม้ว่าเขาจะถือคันเบ็ดตกปลาสีเขียวมรกต แต่ก็ไม่ได้ทำลายบรรยากาศนี้ แม้กระทั่งเพิ่มสีสันให้กับเซียนด้วยซ้ำไป
แม้จี้หยวนไปไกลแล้ว แต่ยังคงได้ยินเสียงสุดท้ายของเต่าเฒ่าอยู่รางๆ ตอนนี้จึงคิดอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้
ตนเองได้พบเจอคนและเรื่องราวไม่น้อย ได้พบชาวบ้านและราชนิกูล แม้ตอนคอยผสมโรงมีตัวหมากใช้งานได้ แต่สำหรับเรื่องหลายๆ เรื่อง ในใจเขามักชอบเป็นคนชมเสียมากกว่า เพราะรู้ว่าท่ามกลางยุครุ่งเรืองของมนุษย์ต่างมีการงานและวิถีชีวิต หรือในใจลึกๆ เข้าใจดีว่าท่ามกลางโลกมนุษย์มีผู้พ่ายแพ้จำนวนมาก
คิดดูให้ดีแล้วทางเลือกของปีศาจมีน้อยกว่าคนมาก เพราะพวกมันมักจะมีเพียงหนทางฝึกปราณ บางเส้นทางชักนำไปสู่สิ่งผิด บางเส้นทางราบรื่นไร้อุปสรรค โอกาสได้เจอผู้ถูกชะตาและตนเองมองว่ามีคุณสมบัติกลายเป็นหมากได้นั้นน้อยมาก ดังนั้นเขารู้สึกว่าเหมาะสมทีเดียวที่จะช่วยสักครั้ง
ขณะความคิดแล่นไหล จี้หยวนใช้วิชาตัวเบาเดินบนกำแพงเมือง กระโดดเข้าไปในจังหวัดชิงฮุ่ยอีกครั้ง ตอนมุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษาเมตตาก็ยังคงครุ่นคิด
บางครั้งคำว่า ‘โชคชะตา’ ใช่ว่าพูดเล่นได้โดยทั่วไป จังหวะเวลาย่อมประกอบด้วยวาสนาและโอกาส เวลาและบุพเพล้วนขาดไปไม่ได้
สำหรับมุมมองของจี้หยวนในตอนนี้ ตัวอย่างที่เรียบง่ายที่สุดก็คือภูตเสือเจ้าภูเขาลู่
ตอนนั้นเพิ่งมาถึงโลกนี้ เจอภูตเสือร้ายตนนี้จำต้องบอกว่าอันตรายมาก มีแต่เล่ห์เหลี่ยมไร้ความจริงใจ กล่าววาจาลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูกไปถึงหนีรอดเคราะห์ร้ายนี้ ชั่วขณะหนึ่งนั้นจี้หยวนทั้งกลัว ทั้งเกลียดภูตเสือตนนี้
ต่อมาได้รับเทียบเจตกระบี่ที่อีกฝ่ายส่งมา ความเกลียดนั้นพลันจางลงไปไม่น้อย
หลายปีต่อมา ความอดทนของจี้หยวนเพิ่มมากขึ้น ค่อยๆ สัมผัสถึงความกระตือรือร้นและการรักษาคำพูดขอภูตเสือได้ รับรู้ถึงความจริงใจที่มีต่อการแสวงหามรรค รวมถึงความเกรงใจที่อีกฝ่ายมีต่อ ‘ท่านเซียน’ อย่างตน นอกจากนี้ความรู้สึกของเจ้าภูเขาลู่ในฐานะที่เป็นหมากดำรุนแรงยิ่ง ทว่าเขารู้สึกได้ว่ามันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมีความมั่นใจและเข้าใจว่ามันจะชดเชยกรรมชั่วที่เคยทำลงไปได้
แต่หากสมมติว่าเปลี่ยนวิธีรู้จักกัน ให้จี้หยวนในตอนนี้เจอเสือร้ายกินคนหน้าอารามเทพภูเขา แม้ว่าโอกาสไม่แน่นอน แต่เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะตายด้วยกระบี่ด้วย
มองอย่างนี้แล้วจำต้องบอกว่าจะหวะเวลาเป็นเรื่องอัศจรรย์ เต่าเฒ่าตัวนั้นได้เจอจี้หยวนในเวลานี้ถือว่าเป็นโชคดี แต่ก็ยากที่จะบอกว่าขวากหนามเมื่อหลายร้อยปีก่อนเป็นโชคร้ายหรือโชคดีกันแน่
นอกสำนักศึกษาเมตตา ตอนจี้หยวนเพิ่งมาถึง หูอวิ๋นกระโดดออกจากกำแพงสำนักศึกษาพอดี
เดิมจี้หยวนคิดว่าหูอวิ๋นจะอาลัยอาวรณ์ ต้องให้ตนเองเรียกสักครั้งก่อน ตอนนี้เห็นทีการจัดลำดับความสำคัญของจิ้งจอกแดงดีขึ้นไม่น้อย เรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้สะท้อนให้เห็นเช่นกัน
จี้หยวนไม่ได้พูดอะไร ไม่คิดจะเข้าไปพูดกับอิ๋นชิงเช่นกัน จึงนำทางหูอวิ๋นขี่เมฆออกจากจังหวัดชุนฮุ่ยไป หลังจากประสานมือคารวะศาลเทพหลักเมืองที่อยู่ไกลออกไปแล้ว เขาถึงบินตรงไปยังอำเภอหนิงอัน
เมื่อกลับถึงอำเภอหนิงอัน จี้หยวนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ใช้ชีวิตประจำวันตามเดิม ทำความเข้าใจและศึกษาวิชาอัศจรรย์ที่อยู่ในมืออย่างระมัดระวัง ส่วนหูอวิ๋นไม่ได้อยู่ในอำเภอหนิงอันตลอด เวลาส่วนมากล้วนกลับไปที่เขาโคเทพ
ว่ากันว่าเจ้าภูเขาลู่เป็นหนึ่งในเหตุผลหลัก จี้หยวนไม่ได้ไปสนใจพวกมัน ด้านรายละเอียดการฝึกปราณของปีศาจนั้น เจ้าภูเขาลู่เชี่ยวชาญกว่าตนเองอยู่แล้ว ยินยอมเจียดเวลา ‘ชี้แนะ’ หูอวิ๋นเกี่ยวกับการฝึกปราณได้ถือเป็นเรื่องดี
…
สำหรับคนหรือปีศาจที่อยู่ระหว่างการฝึกปราณ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ ไม่ทันไรก็เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว
ภายในเรือนสันติวันนี้ จี้หยวนเพิ่งอ่านแผ่นไม้ไผ่ชุดหนึ่งจบ ซึ่งก็คือวิชากำหนดปราณหนึ่งในตำราฝึกเซียนสองเล่มที่ได้มาตอนแรกสุดในปีนั้น
ช่วงนี้จี้หยวนอ่านวิชากำหนดปราณซ้ำๆ ไม่รู้กี่รอบแล้ว บางครั้งครุ่นคิดเปรียบเทียบ บางครั้งอ่านเพียงอย่างเดียว อ่านรอบแล้วรอบเล่า
จี้หยวนทำเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว แต่ต้องการอนุมานวิชาอัศจรรย์ที่ปฏิบัติจริงได้
วิชากำหนดปราณมีหลายชนิดมาก แต่เพราะวิชากำหนดปราณทั้งหมดล้วนมีเพียงเร่งสัมผัสปราณและดูดซับปราณสองขั้นตอนนี้ ดังนั้นพื้นฐานไม่มีชื่อเรียกวิเศษอะไร กอปรกับแต่เดิมโลกฝึกปกราณขนานนามว่าเรียบง่าย ไม่ว่าเนื้อหาต่างกันที่ตรงไหน ทุกคนล้วนเรียกว่าวิชากำหนดปราณ
แต่หากศึกษาและตั้งชื่อให้วิชากำหนดปราณแต่ละเล่มจริงๆ เล่มบนมือจี้หยวนเดิมควรเรียกว่า ‘วิชาฟ้าดินก่อเกิด’ หากจะให้เจ๋งขึ้นหน่อยก็เรียก ‘สุดยอดวิชาฟ้าดินก่อเกิด’ ได้
ฟังดูแล้วตลกอยู่บ้าง ถือไว้บนมือถึงรู้ว่าเป็นแค่วิชากำหนดปราณ เหมือนกับพวกวิชาหลุมเดี่ยวแขวนแสง วิชาแปลงต้นไม้รับแสงเหล่านั้น
ตอนนี้จี้หยวนแม้ไม่อาจพูดได้ว่าพลังแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ก็ผ่านช่วงที่ต้องตั้งใจโคจรวิชากำหนดปราณดูดซับปราณวิญญาณเข้าร่างกายแล้ว กระนั้นวิชาฟ้าดินก่อเกิดกลับมีความหมายใหม่คงอยู่ที่เขตแดนภายในกายเขาแล้ว
หลักการของฟ้าดินก่อเกิดคือจินตนาการว่าฟ้าดินข้างนอกรวมกับฟ้าดินข้างใน เผยให้เห็นในกายและดูดซับปราณวิญญาณ แต่ตอนนี้จี้หยวนพิจารณาการย้อนกลับของมันแล้ว เป็นฟ้าดินภายในกายทับซ้อนกับฟ้าดินภายนอกก่อนเผยออกมานอกกาย
เดิมทีทำการย้อนกลับได้ก็เป็นเรื่องแปลกหายากอย่างยิ่ง นอกจากนี้ต่อให้ผู้ฝึกเซียนทั่วไปเขตแดนในกายปรากฏข้างนอกก็เป็นแค่สถานที่วางเตาโอสถเขตแดน คนรอบข้างไม่มีทางรู้สึกได้ ส่งผลกระทบต่อฟ้าดินข้างนอกน้อยนัก
จี้หยวนในตอนนี้เขตแดนปรากฏให้เห็นแม้ยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดา แต่ตอนเทศน์มรรคยิ่งมีประโยชน์กว่าเดิม หรือบางครั้งปรับปรุงเปรียบเทียบได้
เซียนหรือปีศาจจำต้องใช้เวลาในการฝึกปราณยาวนานถึงค่อยๆ มีความเป็นไปได้ว่าจะเข้าใจแตกฉาน ส่วนจี้หยวนเห็นเรื่องบางเรื่องแล้วเกิดความคิดเชื่อมโยงทันที
ตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น
ความเป็นไปได้ที่เขตแดนปรากฏข้างนอก นอกจากมวลรวมของมรรวิถี สิ่งที่ทำให้คนแซ่จี้นึกถึงเป็นอันดับแรกคือไฟสมาธิ
ตอนนั้นเพียงแสดงพลังครั้งเดียว ทว่าจี้หยวนจำไม่เคยลืม
หากพูดให้ถูกต้องคือปีนั้นนับไม่ได้ว่าแสดงพลังอะไรจริงๆ ฮูหยินแดงผู้นั้นเพียงถูกลวกตรงริมทะเลเพลิงจากไฟสมาธิครั้งหนึ่ง แม้ได้ถูกไฟ หากไม่ใช่เพราะสภาวะพิเศษจากตัวหมากของอิ๋นจ้าวเซียน เกรงว่าไฟแท้นั้นจะต้องออกไปไม่ได้แน่
วิธีนั้นเมื่อครั้งก่อนจี้หยวนไม่กล้าใช้อีกเป็นครั้งที่สอง แต่ตอนนี้ศึกษาวิชาย้อนทวนฟ้าดินก่อเกิดจนกระจ่างแล้ว อาจชักนำไฟสมาธิในเตาโอสถออกมาได้
“จิ๊ๆ…เตาโอสถเขตแดนตั้งตระหง่าน ยากนักจะปรากฎภาพเป็นข้อหนึ่ง ไฟสมาธิอันตรายเกินไปกลับเป็นข้อสอง…”
พูดให้หนักหน่อยคือเตาโอสถเขตแดนมีเจตนาควบคุมไฟแท้ เตาโอสถในเขตแดนหนาหนักเป็นอย่างยิ่ง ไฟแท้ในเตาก็หนาหนักเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน บ่อยครั้งเมื่อเตาหลอมเสร็จจะไม่ขยับอีก
วิชาย้อนทวนที่กลั่นกรองแล้วอย่างมากทำได้เพียงชักนำไฟแท้ออกจากเตาโอสถได้ส่วนหนึ่ง กลับไม่อาจทำให้มันปรากฏข้างนอก นั่นล้วนสิ้นเปลืองจิตวิญญาณเป็นอย่างยิ่ง
ท้องฟ้าเริ่มมีหิมะเล็กละเอียดโปรยปราย ต้นพุทรากลางลานขยับไหวเมื่อต้องลม เกล็ดหิมะร่วงหล่นลงจากช่องว่างระหว่างใบไม้ ก่อนจะตกลงบนศีรษะและหน้าผากของจี้หยวน
ความเย็นเล็กน้อยนี้ราวกับทะลุเข้าไปในใจนี้หยวน ทำให้เขาเข้าใจประเด็นสำคัญในทันที
‘สะพานทองห้องโอสถ!’
ทว่าหัวคิ้วจี้หยวนขมวดเข้าหากันอีกครั้ง
สะพานทองเป็นทางเชื่อมเดียวระหว่างเตาโอสถและห้องโอสถ และเป็นจุดสำคัญที่ปราณโอสถแปรเปลี่ยนเป็นพลัง เดิมก็เป็นสะพานทองเปลี่ยนจากลวงเป็นจริง ยังคงเป็นรากฐานซึ่งมหัศจรรย์ของผู้ฝึกปราณ ความจริงเพียงพอให้รับวิชาที่จี้หยวนอนุมานขึ้นและชักนำไฟแท้ได้
ปัญหาอยู่ที่ออกจากสะพานทองห้องโอสถแล้ว ไฟสมาธิอาจพุ่งตรงสู่ร่างกายของจี้หยวนทันที
‘คงไม่ถึงขั้นเผาตัวเองจนตายหรอกมั้ง’
ไม่แปลกที่จี้หยวนจะคิดมาก ถึงอย่างไรเขาก็สะสมไฟสมาธิไว้ในร่างกายจริงๆ แต่สุดท้ายแล้วอยู่ในเขตแดนทั้งหมด ตัวหมากก็เป็นเขาที่ทำให้ปรากฏขึ้น ทว่าผ่านไปรอบหนึ่งเกือบถูกไฟไหม้ ยากจะพูดได้ว่าจี้หยวนจะถูกไฟคลอกตายหรือไม่
“ข้าก็นับว่าดื่มสุราของมังกรเฒ่าไปไม่น้อย อำพันมังกรหมักโดยมังกรแท้ เสริมพลังป้องกันไฟได้ดีเป็นที่สุด คงไม่ถึงกับตายทันทีหรอกกระมัง…”