ตอนที่ 206 ไฟแท้ปรากฏ จดหมายแดนไกลมาถึง
ไม่ว่าอย่างไรจี้หยวนต้องปรับปรุงวิชาก่อน ในเมื่อตัดสินใจให้ไฟสมาธิออกมาผ่านการรวมกับสะพานทอง เช่นนั้นก็ต้องพิจารณาผลลัพธ์นี้ด้วย
อยากใช้ไฟสมาธิ แค่ย้อนทวนฟ้าดินก่อเกิดไม่พอแน่นอนอยู่แล้ว อาจพูดได้ว่าต้องรวมมันเข้ากับวิชาคุมอัคคีที่ยอดเยี่ยม เกิดเป็นวิชาคุมอัคคีที่พิเศษ
หากสุดท้ายเกิดผลสำเร็จ จี้หยวนยังคิดผสานสภาวะกายตนเอง เพื่อให้เกิดวิชาอัศจรรย์ไฟสมาธิอย่างแท้จริง
เรื่องอื่นจัดการได้หมด ที่สำคัญที่สุดคือจะเกิดไฟสมาธิได้อย่างไร ต้องใช้เวลาศึกษานานเท่าไหร่ และสุดท้ายจี้หยวนอาจต้องบัญชาด้วยตนเอง สิ่งที่ละเลยไม่ได้เลยก็คือปกป้องตนเองให้ปลอดภัย
จี้หยวนนั่งอยู่ในลานเล็กตลอดห้าวัน นอกจากปรับปรุงวิชาเลี่ยงก็จำลองแนวทางเคลื่อนย้ายไฟแท้ที่เป็นไปได้หลายครั้งมาก
อันดับแรกหลังจากไฟสมาธิออกจากเตาโอสถเขตแดน ผ่านสะพานทองถึงห้องโอสถเรียบร้อยจะต้องออกจากทะเลปราณ จากนั้นสิ่งที่ยากที่สุดคือไต่ขึ้นสู่ห้องหัวใจ เมื่อผ่านจุดถานจง[1] ไล่ไปตามจุดเสวียนจี[2]และจุดเทียนทู[3]ไปถึงจุดเฉิงเจียง[4] ก่อนจะเอ่อเข้าไปในปากที่ยังคงปิดอยู่
แนวทางนี้จี้หยวนคิดว่าปลอดภัยที่สุด และเป็นไปได้ว่าจะไม่สัมผัสพื้นผิวร่างกายมากจนเกินไป
เพราะจุดลมปราณในการฝึกปราณส่วนใหญ่เหมือนจุดฝังเข็มทั่วร่างกาย แต่จุดลมปราณในการฝึกปราณซ่อนอยู่ภายใน เชื่อมต่อกับร่างกายแนบสนิท นับว่าเป็นสิ่งที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความจริงและความลวง ในบางระดับเรียกได้ว่าใหญ่ไร้จำกัดหรือเล็กไร้จำกัดได้เช่นกัน
ถึงกลัวถูกไฟแท้คลอกตาย แต่หากจี้หยวนวางแผนอย่างตั้งใจ จากความมุ่งมาดเชื่อมโยงกับจุดลมปราณ จินตนาการให้เกิดพื้นที่กว้างใหญ่ กอปรกับไฟแท้มีเพียงกลุ่มเดียวจึงลดความเป็นไปได้ที่จะ ‘ชนกำแพง’ ลง
ส่วนความเสี่ยงที่สุดอยู่ตรงชั่วขณะที่ไฟสมาธิปรากฏออกมาจริงๆ ตอนที่จากจุดเฉิงเจียงเข้าสู่ปากนั่นเอง ความคิดของจี้หยวนก็คือใช้วิชาคุมวายุอัคคี ใช้วิชาคุมอัคคีหยุดไฟแท้ แล้วใช้วิชาคุมวายุพ่นไฟแท้ออกมา
สรุปว่าทำทุกอย่างที่ทำได้พื่อให้ขั้นตอนระหว่างนั้นสั้นและได้ประสิทธิผล ลดความเป็นไปได้ที่จะ ‘สัมผัสกัน’ ลง
ส่วนสิ่งที่ดีดออกมาจากนิ้วนั่นไม่ต้องคิดแล้ว ระยะไกลหรือไม่ช่างมัน เพราะทันทีที่ออกจากปลายนิ้ว นั่นหมายความว่าทะลุผ่านผิวกายแน่นอน
ทว่าในปากกลับต่างออกไป ภายในปากนับว่าเป็นทวารหนึ่ง เมื่ออ้าปากพ่นไฟแท้ออกมาก็ไม่จำเป็นต้องสัมผัสร่างกายแล้ว
ความจริงแล้วหากต้องศึกษาโดยละเอียด มีทางหนึ่งที่ลองใช้ดูได้ เหมือนกับสั้นกว่าเล็กน้อย นั่นคือลงไปตรงนั้น…
แต่ต่อให้จี้หยวนไม่สนใจเรื่องความเหมาะสมแค่ไหน ความต้องการอย่างน้อยที่สุดก็ยังมี ทางนั้นไปไม่ได้เด็ดขาด!
ห้าวันหลังจากนั้น จี้หยวนรู้สึกว่าเตรียมตัวพอสมควรแล้ว เห็นแก่ความปลอดภัยเป็นหลัก ในที่สุดจี้หยวนก็ออกจากบ้านไปหอนอกศาล สั่งอาหารเต็มโต๊ะกินอิ่มดื่มพอ จากนั้นมุ่งตรงกลับบ้านพักผ่อนในท่านอนคว่ำ เตรียมบ่มเพาะจิตใจที่เหนื่อยล้าในช่วงนี้ให้สมบูรณ์
สำหรับไฟสมาธิไม่จำเป็นต้องใช้พลังเท่าไหร่ ถึงขนาดไม่ต้องใช้พลังเลยก็ได้ ขอเพียงสำแดงวิชาคุมอัคคีและวิชาคุมวายุได้เข้าขั้นก็พอ สิ่งที่ต้องสิ้นเปลืองเป็นที่สุดคือจิตวิญญาณ แต่ต้นทุนด้านนี้ของเขานับว่าครบพร้อม
ผ่านไปอีกสามวัน เมื่อจี้หยวนเปิดประตูห้องออกมา ข้างนอกปกคลุมด้วยหิมะบางๆ ชั้นหนึ่ง อุณหภูมิเหมือนกับลดต่ำลงภายในไม่กี่วัน จนถึงจุดที่หิมะไม่ละลายหายไปแล้ว
จี้หยวนมองพื้นดินหน้าห้อง บนพื้นหิมะมีรอยเท้าเล็กๆ จำนวนหนึ่ง ชัดเจนว่าเป็นรอยเท้าที่หูอวิ๋นทิ้งเอาไว้ ตอนที่เขาพักผ่อนก่อนหน้านี้อยู่ในสภาวะสงบนิ่ง หากไม่รู้สึกถึงอันตรายย่อมไม่ตื่นขึ้นมา จึงไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของหูอวิ๋น
ภายในสามวันนี้ จี้หยวนคิดใคร่ครวญในความฝันจนแตกฉานกว่าเดิม ด้วยจิตวิญญาณของเขาในตอนนี้ เมื่อไฟแท้ออกมาจากห้องโอสถแล้วเข้าใกล้ทวาร ถ้าหากมีความเสี่ยง ความรู้สึกเสี่ยงภัยยิ่งมายิ่งรุนแรงขึ้นกลับอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ นับว่าเป็นหนึ่งในวิธีการควบคุม
เมื่อเข้าใจดังนั้นแล้ว จี้หยวนไม่ลังเลอีกเช่นกัน เดิมนี่เป็นการเสี่ยงโชค ไม่จำเป็นต้องอุ่นเครื่องอะไร เขายืนอยู่ที่กลางลานจิตใจตั้งมั่น โคจรวิชาตระหนักรู้อยู่ในเขตแดน ขณะเดียวกันร่างกายจี้หยวนปรากฏกระบวนมโหฬารพันลึกในภูผาธาราเขตแดน
ยอดเขาและเตาโอสถขนาดใหญ่ยังเทียบไม่ได้กับความสูงของจี้หยวนในเขตแดน เขายื่นมือสัมผัสเตาโอสถข้างๆ แรงดึงดูดเลือนรางสายหนึ่งวนเวียนรอบเตาโอสถ ก่อนจะเอ่ยปากบัญชาช่วยเหลือ
“ไฟแท้ปรากฏ”
เสียงบัญชาดังสะท้อนอยู่ในเขตแดน
มือยักษ์ดึงกลับ มีเพลิงสีเทาส่องลำแสงสีทองถูกดูดไปถึงขอบรูหลายรูของเตาโอสถ วินาทีนี้จี้หยวนรู้สึกไม่เหมาะที่จะดูดมาก คิดได้ดังนั้นแล้วก็ลดกำลังลง แสงไฟกลุ่มนั้นจึงเปลี่ยนจากเพลิงแจ้งจ้าตาเป็นสิ่งของที่คล้ายกับควันสีเทาอมแดง
‘พอใช้ได้แล้ว!’
จี้หยวนในเขตแดนใช้ท่าทางยิ่งใหญ่สะบัดแขนเสื้อ ระหว่างฟ้าดินปรากฏสะพานสีทองอร่าม ไอไฟแท้สีเทาแดงดุจควันพลันถูกส่งออกจากภูผาธาราเขตแดน ก่อนจะแสดงให้เห็นกลางห้องโอสถในกายจี้หยวน
วินาทีนี้จี้หยวนเพียงรู้สึกว่าร่างกายอบอุ่น บนใบหน้าไม่แสดงความกังวลกลับมีความดีใจ ด้วยรู้ว่าไฟแท้ถูกดึงออกมาแล้วจริงๆ
เข้าสู่จุดถานจง ขึ้นสู่จุดเสวียนจี ผ่านจุดเทียนหู ไปถึงจุดเฉิงเจียง…
ไฟแท้ไหลขึ้นตามจิตวิญญาณของจี้หยวน มาถึงช่องปากในพริบตาเดียว ความรู้สึกร้อนลวกสายหนึ่งยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โชคดีที่จี้หยวนไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไร เช่นเดียวกับที่ไม่มีความรู้สึกเสี่ยงภัยเท่าไหร่ อาจเรียกได้ว่าแทบไม่มี
ตอนนี้จี้หยวนเพียงรู้สึกว่าในปากอมถ่านเอาไว้ ลวกปากแต่กลับยังอยู่ในขอบเขตที่รับได้ ทว่าไม่ได้จำเป็นต้องอมไว้ตลอดเวลาเช่นกัน
เขายื่นมือออกไป ก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นข้างต้นพุทราลอยขึ้น พร้อมกันนั้นจี้หยวนอ้าปากเป่าลมครั้งหนึ่ง
“ฟู่…”
ลมแผ่วสายหนึ่งเจือ ‘ควัน’ สีเทาอมแดงพ่นออกจากปากจี้หยวน กระแทกกับหินก้อนนั้นในพริบตาเดียว
ไอไฟแท้ถูกจี้หยวนควบคุมหลังจากนั้น เมื่อวนเวียนรอบหินก้อนนั้นอยู่รอบหนึ่งแล้ว เห็นเพียงหินเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความเร็วที่มองเห็นด้วยตาเปล่า จากนั้นไม่ได้เปลี่ยนเป็นหินหลอมเหลวเช่นที่จี้หยวนจินตนาการไว้ แต่เปลี่ยนเป็นสีดำทมิฬทันที
ไอไฟแท้ราวกับสูญเสียจุดประสงค์ สลายหายไปหลังจากนั้น
จี้หยวนมุ่นคิ้วมองก้อนหินที่ลอยอยู่กลางอากาศก่อนจะเลิกควบคุม ทันใดนั้นก้อนหินรักษาสภาพไม่อยู่อีกต่อไป เปลี่ยนเป็นขี้เถ้ากระจายไปทั่วพื้นดิน
เขายื่นมือไปรับขี้เถ้าหินส่วนหนึ่งไว้ตามสัญชาตญาณ สัมผัสที่ได้รับมีแค่ความเย็นเยียบ แต่หากใช้ตาทิพย์สังเกตดีๆ กลับรู้สึกได้ว่ามีร่องรอยเผาไหม้อย่างรุนแรง
จี้หยวนมองต้นพุทราใหญ่ข้างๆ จากนั้นมองกระบี่เครือเขียวข้างหลัง ราวกับพึมพำกับตนเอง ปละราวกับกำลังพูดกับพวกมันเช่นกัน
“น่าจะเรียกได้ว่าไฟสมาธิแล้วใช่หรือไม่…”
แต่ดูเหมือนจี้หยวนลืมไปว่าที่จริงมีบุคคลที่สี่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย หลบอยู่ในมุมหนึ่งของอกเสื้อจี้หยวน นั่นก็คือกระเรียนกระดาษที่อยู่ในสภาพพับไว้ ลอบขยับขยุกขยิกอยู่ในส่วนลึกของเสื้อ
ก๊อกๆๆ…ก๊อกๆๆ…
จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ท่านจี้อยู่บ้านหรือไม่ ท่านจี้?”
ก๊อกๆๆ…
“มาแล้วๆ”
จี้หยวนตอบไปพลาง เร่งฝีเท้าไปยังประตูเรือนไปพลาง เมื่อเปิดประตูออกดู ข้างนอกยืนไว้ด้วยเจ้าหน้าที่หนุ่มผู้หนึ่ง ดูจากความอ่อนเยาว์บนใบหน้าแล้วน่าจะยังอายุน้อย เขาโค้งตัวและถูมืออยู่ตรงนั้น
เป็นจี้หยวนเปิดปรกตูแล้ว อีกฝ่ายดีใจมากอย่างเห็นได้ชัด รีบประสานมือทักทายก่อนหยิบจดหมายหลายฉบับออกมาจากในอกเสื้อ
“ในที่สุดท่านจี้ก็กลับมาแล้ว สองวันก่อนข้ามาที่นี่เหมือนกัน แต่ตอนนั้นไม่มีคนอยู่ในบ้าน นี่คือจดหมายของท่าน เวลาอาจมีสั้นมียาว แต่เพิ่งมาถึงไปรษณีย์เมื่อสองวันก่อนทั้งหมด ข้าจึงนำมาให้ท่านถึงที่!”
จี้หยวนหวนระลึกแล้วถึงรับจดหมาย เห็นท่าทางอีกฝ่ายหนาวมากพลันไถ่ถาม
“โอ้ ขอบคุณมากๆ ข้างนอกอากาศหนาว เข้าไปดื่มน้ำร้อนในเรือนหน่อยเป็นอย่างไร”
แน่นอนว่าจี้หยวนไม่ได้ต้มน้ำ แต่การทำให้การน้ำร้อนขึ้นมาเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับเขา
เจ้าหน้าที่ถูมือย่ำเท้า มองเข้าไปภายในเรือนสันติ ทางนั้นประตูห้องเปิดอยู่ มองดูแล้วในนั้นมืดสลัว ต้นพุทราในลานแม้จะปกคลุมไปด้วยหิมะ ทว่าก็ยังคงเขียวชอุ่ม
“เอ่อ…ข้ายังมีงานต้องทำ ขอไม่รบกวนท่านจี้…”
“เอาล่ะ เชิญเจ้าหน้าที่ตามสบาย”
“ขอรับ ข้าขอตัวลา!”
หลังจากจี้หยวนไถ่ถามอีกฝ่ายตามมารยาท มองส่งเจ้าหน้าที่ผู้นี้จากไปไกล จนสุดท้ายหายไปจากปากตรอก
ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายมีงานต้องทำจริงๆ หรือเป็นเพราะความกลัวที่ยังมีต่อเรือนสันติ ถึงแม้ผ่านมานานขนาดนี้แล้วก็ยังเข้าไปไม่ได้ หรืออาจเรียกได้ว่าไม่อยากเข้าไป
จี้หยวนมองดูจดหมาย ดูจากหน้าซองล้วนเป็นคนคุ้นเคย หนึ่งฉบับเป็นของอิ๋นชิง หนึ่งฉบับเป็นของอาจารย์อิ๋น และมีฉบับที่ส่งมาจากตู้เหิง นักดาบแขนเดียวด้วย
เรียนท่านจี้
ข้าตู้เหิงเดินทางตามริมฝั่งแม่น้ำของรัฐจินท่ามกลางฤดูใบไม้ร่วง ได้ยินชาวบ้านเล่าว่ามีปีศาจสาวตนหนึ่งชอบควักหัวใจคนกิน…ผู้คนสองอำเภอต่างตื่นตระหนก เจ้าหน้าที่ทางการไร้หนทาง ข้าตู้เหิงมีวิชายุทธ์ จึงออกลาดตระเวนกับสหายในยามค่ำคืน ถือดาบรอคอย…
…ปีศาจตัวนี้ชั่วร้ายไม่ธรรมดา ต่อสู้กับสหายข้าตลอดทั้งคืน สังหารคนไปสิบสามคน สังหารผีไปเจ็ดตน สังหารปีศาจตนอื่นไปด้วย เลือดข้นสีดำเหม็นคาวคละคลุ้งหาใดเปรียบ…จากนั้นสหายข้าถูกพิษรักษาไม่หายสามคน…
ข้าคิดว่าเรื่องนี้แปลกมาก อีกทั้งส่งผลร้ายต่อมนุษย์ จึงส่งจดหมายนี้ถึงท่านจี้
ตู้เหิงเขียนจดหมายนี้ในฤดูใบไม้ร่วงของปีเจี่ยเซิน จนถึงเวลาที่ทุกอย่างสงบเงียบ
…
จดหมายมีทั้งหมดสองหน้า ลายมือไม่นับว่าสวยงามเท่าไหร่ ทว่าตวัดเส้นเหมือนตะขอมีพลังยิ่ง
จี้หยวนยิ่งอ่านก็ยิ่งขมวดคิ้ว เรื่องพรรค์นี้เทพทางนั้นไม่จัดการเลยหรือ หรืออาจเป็นเพียงคนในยุทธภพฝึกวิชาชั่วร้ายอะไรเพื่อความความชั่ว
[1] จุดถานจง อยู่บริเวณทรวงอก ระดับช่องซี่โครงที่ 4 บนแนวกึ่งกลางลำตัว
[2] จุดเสวียนจี อยู่ใต้ร่องคอประมาณ 1 นิ้ว
[3] จุดเทียนทู อยู่กึ่งกลางร่องคอ
[4] จุดเฉิงเจียง อยู่บริเวณกลางรอยบุ๋มของคาง