ตอนที่ 209 หนีไปได้จริงๆ
ขณะผีเด็กเจ็ดตนกลายเป็นเถ้า ปีศาจสาวท้องโตที่หนีไปหันกลับมามองด้วยใจสั่นสะท้าน นางทำลายกำแพงโรงเตี๊ยมจนทลายดังตูม จากนั้นหนีออกไปกลางลมหิมะข้างนอก
เสียงร้องฮือๆ ข้างนอก ตามด้วยลมหิมะม้วนพัดเข้าส่วนในของโรงเตี๊ยม อุณหภูมิลดต่ำลงในทันที
ลมหิมะพัดเข้ามา เมื่อครู่เพราะถูกน้ำมันเชื้อเพลิงและคบเพลิง เปลวเพลิงที่ยังคงมีหลงเหลือบนพื้นอยู่บ้างขยับไหว จี้หยวนสะบัดแขนเสื้อ นอกจากบนเตาถ่านและเชิงเทียนโป๊ะโคมบางส่วนที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ เปลวไฟอื่นทั้งหมดดับสนิทในทันที แสงในโรงเตี๊ยมมืดลงไปไม่น้อย
พร้อมกันนั้นจี้หยวนยื่นมือรับเถ้าผีเด็กส่วนเล็กที่ร่วงลงตรงหน้า นับนิ้วคำนวณแล้วหันไปกำชับเสียงเบากับข้างหลัง
“ไป ตามดูนาง”
กระบี่เครือเขียวข้างหลังสั่นเบาๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นเงาสีเขียวก็แฉลบจากโรงเตี๊ยมไป บินเข้าสู่กลางลมหิมะ
ปีศาจสาวตนนี้ไม่มีปราณปีศาจหรือมาร ไม่ใช่คนและไม่ใช่ผี แม้มีวิธีการที่ชั่วร้ายเกินไปอยู่บ้าง แต่จี้หยวนมองแล้วกลับรู้สึกว่าง่อยมาก ถูกตัดศีรษะไปแล้วแท้ๆ แต่กลับ ‘ฟื้นคืนชีพ’ ดูสิ่งที่แฝงอยู่ในตัวนางกอปรกับได้ยินนางพูดถึง ‘การฝึกวิชา’ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่ามีการสืบทอดต่อมา
การฝึกวิชาชั่วร้ายแม้ไม่มีมาตรฐาน แต่อนุมานออกมาด้วยตนเองนั้นเป็นไปไม่ได้ ผู้สืบทอดหากไม่ไร้ความสามารถก็ต้องมีพรสวรรค์ สรุปแล้วว่าปล่อยไปไม่ได้
เขาใช้แผนภูมิถามความถูกต้อง และได้รับคำตอบที่ถูกต้องจริงดังคาด
ตู้เหิงเดินสองก้าวเข้าไปใกล้จี้หยวน เก็บดาบไว้ข้างหลังแล้วโค้งกาย
“ท่านจี้ ข้าต้องตามนางปีศาจไปหรือไม่”
จี้หยวนส่ายหน้าก่อนจะมองจอมยุทธ์หน้าซีดแกมเขียวสี่คนนั้น เมื่อครู่สี่คนเพียงฮึดสู้ บัดนี้อันตรายผ่านพ้นไปแล้ว จึงทนต่อไม่ไหวนั่งลงบนพื้น ส่วนใหญ่แค่หอบหายใจก็กินแรงมากแล้ว อีกทั้งสภาพร่างกายตอนนี้ย่ำแย่มาก
“ข้ามีทางหนีทีไล่ รักษาชีวิตผู้กล้าเหล่านี้ก่อนค่อยว่ากล่าว”
จี้หยวนมองไปรอบๆ จากนั้นชี้ห้องโรงเตี๊ยมเหล่านั้นที่ยังอยู่ในสภาพดี
“พวกเราประคองพวกเขาไปข้างในห้อง ผนังและประตูทางเดินนั่น ทางที่ดีนำบานประตูและผ้าห่มมาบังไว้ก่อน”
“ขอรับ!”
ตู้เหิงตอบรับเสียงหนึ่ง เรียกสหายทั้งหลายให้เคลื่อนไหว จี้หยวนก็ช่วยประคองจอมยุทธ์เหล่านั้นเช่นกัน
เมื่อคนส่วนใหญ่เข้าไปในห้องแล้ว มีจอมยุทธ์สองคนเข้ามาย้ายบานประตูที่ถูกถีบกระเด็น จากนั้นหยิบผ้าห่มและข้าวของอื่นๆ จากบนเตียง นำไปบังช่องใกล้ตรงทางเดิน ทว่าตอนนี้ไม่มีตะปูตอกติดไว้
เสี่ยวเอ้อร์ที่ตกใจจนเป็นอัมพาตเมื่อครู่ดึงสติกลับมาแล้วเช่นกัน พลันลุกขึ้นจากพื้นตัวสั่น บอกว่าจะไปหาตะปูมาให้ แต่ดูจากท่าทางกระอักกระอ่วนกับเสื้อผ้าของตนเอง คาดว่าน่าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน
ตอนนี้หลงจู๊ของโรงเตี๊ยมและพนักงานคนอื่นตกใจตื่นเพราะเสียงตึงตังเมื่อครู่แล้ว แต่เพราะมีเสียงอาวุธกระทบกันหลังจากนั้น อีกทั้งมีเสียงร้องไห้กรีดร้องที่น่าเวทนาจนถึงขีดสุดด้วย จึงไม่มีใครกล้าออกมาจากห้องสักคน กระนั้นทุกอย่างจบลงรวดเร็ว ยังไม่ทันรวบรวมความกล้าไปรายงานทางการก็สงบลงแล้ว ยิ่งไม่กล้าทำอะไรวุ่นวาย
จนกระทั่งเสี่ยวเอ้อร์ที่ยังพอมีโชคเหลืออยู่บ้างผู้นั้นลงมาบอกเล่าเรื่องราวอย่ากล้าๆ กลัวๆ ถึงจะสบายใจขึ้นบ้าง ส่วนพนักงานที่ถูกควักหัวใจผู้นั้น ตอนนี้ทำได้เพียงไว้อาลัยแล้ว
ภายในห้องที่ยังอยู่ในสภาพดีด้านบน จอมยุทธ์ผู้ได้รับบาดเจ็บและถูกพิษถูกวางลงบนพื้นที่ปูผ้าห่มเอาไว้ นอนเรียงรายกันเป็นแถว
จอมยุทธ์คนอื่นยืนมองอยู่ข้างๆ อย่างเป็นกังวล จี้หยวนตรวจสอบชีพจรของพวกเขาทีละคนโดยละเอียด จากนั้นค่อยเริ่มลงมือ
เขาใช้วิชารวบรวมปราณวิญญาณอย่างรวดเร็ว รวมพลังสู่ศูนย์กลางอันไร้รูปร่างก่อเกิดเป็นปราณธรรมกวาดธุลี จากนั้นจี้หยวนสะบัดแขนเสื้อไปทางซ้ายและขวา พลังปราณวิญญาณเริ่มทะลักออก
ปราณปีศาจและปราณพิษส่วนใหญ่ถูกกวาดออกนอกกายพวกเขา ก่อนจะตกลงสู่กระถางขี้เถ้าที่ตั้งขึ้นใหม่ ส่งเสียงซู่ซ่าเหมือนโดนเผา
ทว่าพิษร้ายที่หลงเหลืออยู่แทรกซึมถึงรากฐานร่างกายแล้ว ไม่อาจกำจัดจนเกลี้ยง หากไม่ใช้ปราณวิญญาณรักษาตัวค่อยๆ ฟื้นฟูร่างกายเป็นเวลานาน ก็ต้องใช้ยาครอบจักรวาลบางอย่างแล้ว
จี้หยวนจึงหยิบผลพุทราที่เก็บก่อนออกเดินทาจากช่องแขนเสื้อ มือซ้ายเปิดปากจอมยุทธ์หลายคนออกเล็กน้อย แล้วหยดน้ำจากผลพุทราลงไปจำนวนหนึ่ง จากนั้นค่อยใส่ผลพุทราที่เละจนไม่เป็นรูปเข้าปากไป จนทั้งสี่คนมีพุทราเพลิงอยู่ในปาก ผลพุทราในมือท่านจี้ก็เหลือเพียงครึ่งผล
เมื่อพุทราเพลิงเข้าปาก จี้หยวนใช้ปราณวิญญาณอบอุ่นอวัยวะภายในกายของทั้งสี่คน ช่วยให้ผลพุทราละลายกระจายสู่ทั่วร่าง
คนรอบข้างเห็นสหายสี่คนที่แต่เดิมมีสภาพย่ำแย่พลันมีเลือดฝาดปรากฏบนใบหน้า บนร่างกายก็มีกระแสความร้อนสายหนึ่งเพิ่มขึ้นมาเลือนราง
จี้หยวนพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน ส่วนสี่คนบนพื้นก็ลืมตาลุกขึ้นนั่งตามสัญชาตญาณเช่นกัน รู้สึกได้ว่าบนร่างกายมีกำลัง ไม่ได้อ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงเหมือนก่อนหน้านี้อีก
หลี่ทงโจวกำหมัดมองสามคนข้างๆ ถามอย่างเหลือเชื่ออยู่บ้าง
“พวกข้าหายแล้วหรือ”
จี้หยวนมองพวกเขา ส่ายหน้าพลางยิ้ม
“หายแล้ว? ฮ่าๆ ยังเร็วไป ตอนนี้เพียงปราณดั้งเดิมของพุทราเพลิงเข้าสู่ร่างกาย ทำให้พวกเจ้ารู้สึกว่ามีแรง หากอยากกลับมาแข็งแรงดังเดิม ใช้เวลาแค่เดือนเดียวย่อมเป็นไปไม่ได้ กำลังภายในที่เสียไปก่อนหน้านี้ก็ฟื้นกลับมาไม่ได้แล้ว ต้องอาศัยการฝึกฝน จำไว้ว่าภายในหนึ่งเดือนนี้อาบน้ำเย็นน้อยหน่อย ร่วมรักก็ไม่ได้เช่นกัน!”
โชคดีที่จอมยุทธ์เหล่านี้เชี่ยวชาญวิชายุทธ์ มีกำลังภายในไม่ธรรมดา อีกทั้งมีกำลังใจแน่นอน ไม่เช่นนั้นคงฝืนไม่ได้ถึงตอนนี้
“ขอรับ!”
“แน่นอน!”
“ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือ!”
“ขอบคุณมากจริงๆ!”
หลายคนรีบกล่าวขอบคุณตาม ไปเยือนประตูผีมาแล้วครั้งหนึ่ง รักษาชีวิตไว้ได้ถือเป็นโชคดีอย่างถึงที่สุดแล้ว
หลังจากกำชับอีกหลายคำ จี้หยวนหมุนกายไปพูดกับตู้เหิง
“ข้าจะตามปีศาจสาวตนนั้นไป พวกเจ้าดูแลตนเองให้ดีก็พอแล้ว จัดการเรื่องของโรงเตี๊ยมสักหน่อยด้วย”
พูดจบแล้วจี้หยวนก็เปิดประตูห้องออกไป พยักหน้าให้คนที่ซ่อมประตูอยู่ตรงทางเดิน แล้วตรงไปลงบันไดทันที
เมื่อจี้หยวนไปแล้ว จอมยุทธ์คนอื่นในห้องค่อยคลายใจลง แม้ผู้สูงส่งผู้นี้ท่าทางไม่ดุร้าย แต่ดูจากที่ตู้เหิงไม่กล้าพูดเรื่อยเปื่อย คนอื่นยิ่งไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไร
“พี่ตู้ ท่านจี้ผู้นั้นคือคนที่ท่านเรียกว่า ‘อาจารย์’ ใช่หรือไม่”
ในที่สุดก็มีจอมยุทธ์อดไม่ได้ถามเรื่องของจี้หยวน
“ใช่ ตอนนั้นรู้จักกับท่านจี้ก็เพราะเขาช่วยชีวิตข้าและสหายคนอื่นเอาไว้”
หลี่ทงโจวและพวกกำลังนั่งขัดสมาธิโคจรกำลังภายในผสานกับความร้อนจากพุทราเพลิงซึ่งไหลเวียนทั่วชีพจร แต่ยังคงสนใจเอ่ยปาก เห็นตู้เหิงตอบก็ถามต่อ
“เมื่อครู่ท่านจี้แค่เป่าลม ผีพวกนั้นก็กลายเป็นเถ้าไปหมดเลยหรือ”
“ดูเหมือน…จะเป็นเช่นนั้นกระมัง…”
“วรยุทธ์นี้สูงส่งถึงขั้นไหนกัน!”
“วรยุทธ์? ข้าเห็นเหมือนเป่าควันออกมาสายหนึ่ง…พวกเจ้าคิดว่าเป็นวิชายุทธ์หรือ ดูนางปีศาจและผีพวกนั้นสิ…”
“จริงด้วย น่าจะเรียกว่าวิชามากกว่า!”
“เอ่อ…”
สุดท้ายหลายคนมองไปยังตู้เหิง ฝ่ายหลังเพียงส่ายหน้าน้อยๆ ยิ้มอย่างมีเลศนัยอยู่บ้าง
“บอกไม่ได้!”
…
ท่ามกลางลมหิมะนอกโรงเตี๊ยม จี้หยวนไม่ได้เดินอากาศ เพียงใช้วิชามังกรเหินตามไป
กระบี่เครือเขียวติดตามสตรีท้องโตที่ไม่ใช่คนไม่ใช่ผีอยู่บนท้องฟ้าไกลๆ หากอีกฝ่ายนำทางอย่างตระหนกย่อมดีที่สุด แต่หากตอนนี้ยังคิดหาเหยื่อ เช่นนั้นกระบี่เครือเขียวจะสังหารนางทิ้ง แม้หลังจากนั้นจะลำบากหน่อย ทว่าไม่มีทางหาตัวคนผิดเจอ
นอกจากนี้กระบี่เครือเขียวนับว่าเผยปราณคมปลาบ ไล่ให้สตรีนางนั้นหนีไป
ดังนั้นสถานการณ์ในตอนนี้เป็นเช่นที่จี้หยวนคาดการณ์ไว้ สตรีที่ไม่ใช่คนไม่ใช่ผีวิ่งหนีอย่างเร่งรีบ ทว่านางไม่ใช่ใช้วิชาอะไร แม้รวดเร็วมากเหมือนวิญญาณ กระนั้นความจริงแล้วยังคงวิ่งอยู่บนพื้นดิน ถึงขนาดไม่ได้ใช้วิชาตัวเบา เรียกได้ว่าใกล้เคียงวิชาผี
ถึงดูแล้วหลงทางทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง แต่มุ่งหน้าสู่ทิศทางที่กำหนดไว้แล้วอย่างแม่นยำ
จากข่าวที่จี้หยวนรู้มาและการสนทนากันสั้นๆ เมื่อคืน อีกฝ่ายมีความสามารถและนิสัยโดดเด่น ต้องการแก้แค้นจอมยุทธ์หลายคนอย่างสาสม เมื่อถูกจอมยุทธ์ทำลายร่างผีเด็กจึงกล้าทำลายชีวิตคนในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ ตอนนี้ยิ่งหนีไปยังจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน
นี่ยิ่งทำให้จี้หยวนมั่นใจในการคาดเดาของตนเอง ด้วยจิตใจแบบนี้หากไม่มีใครชี้แนะ อย่างน้อยในเขตอาณาจักรต้าเจินก็ต้องอายุไม่ยืนแน่นอน
ลมหิมะยามค่ำคืนแม้หนาวยะเยือก แต่ไม่น่าส่งผลกระทบต่อสตรีที่เป็นคนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง กลับกันการคุ้มกันแบบนี้ทำให้นางรู้สึกไปเองว่าปลอดภัย ถึงในใจลนลานสงบนิ่งไม่ได้เลย แต่ก็คิดว่าตอนนี้สลัดคนชุดขาวน่ากลัวผู้นั้นได้แล้ว
‘จะยอมแพ้ไม่ได้ ต้องถือโอกาสหนีไปตอนที่พายุหิมะยังอยู่ ถึงเวลาแล้วค่อยกลับมาคิดบัญชี!’
หนึ่งคนหนีหนึ่งคนตามเช่นนี้ท่ามกลางพายุหิมะ จนฟ้าสว่างและตะวันตกดินอีกครั้ง ในระหว่างสองวันสามคืนกลับถึงจังหวัดชิวเจ๋อทางเหนือของรัฐจิน ผ่านทะเลสาบวารีสารท ข้ามป่าและพื้นที่รกร้าง จนสุดท้ายเข้าสู่ภูเขาที่จี้หยวนไม่รู้จักชื่อ
จำต้องพูดว่าสิ่งที่ไม่ใช่ทั้งคนและผีนี้หนีเก่งจริงๆ แม้แต่จี้หยวนตอนยังใช้วิชาเหาะเหินไม่เป็นก็เทียบไม่ติด
เมื่อเข้าไปในภูเขา หญิงสาวไม่ลดความเร็วกลับเพิ่มความเร็วมากยิ่งขึ้น ผ่านไปครึ่งวันถึงเข้าสู่หุบเขาซึ่งหันหลังให้ดวงอาทิตย์ มองเห็นบ้านไม้ข้างในแล้วพลันปรากฏสีหน้ายินดี
“อาจารย์! อาจารย์ช่วยข้าด้วย! อาจารย์!”
ประตูเรือนทำจากไม้เปิดออกเอง ข้างในมีผู้ชราสวมชุดคลุมสีดำตัวผอมบางนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะ ครั้นเห็นหญิงสาวหนีมาเหมือนกับไม่ประหลาดใจเลยสักนิด
หญิงสาวหนีเข้ามาในเรือนไม้แห่งนี้แล้ว ในที่สุดความกระวนกระวายในหัวใจก็หายไปจนเกลี้ยง
“อาจารย์ อาจารย์ต้องช่วยข้านะ! แก้แค้นให้ลูกของข้า!”
เห็นหญิงสาวท้องโตวิ่งเข้ามา มองรอบๆ กลับไม่เห็นผีเด็กตนอื่น ชายชราพลันมุ่นคิ้ว
“ไม่ต้องรีบร้อนๆ ผีตนอื่นเล่า ถูกศาลหลักเมืองหรือกลุ่มเทพภูเขาระหว่างทางที่ใดจับไป ข้าบอกเจ้าแล้วว่าให้ระวังหลบเลี่ยงหูตาเทพ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผีเด็กไม่ค่อยฉลาด ถามความอะไรไม่ได้ อีกทั้งที่นี่ไม่ใช่เขตของอาณาจักรต้าเจินแล้ว ยิ่งไม่จำเป็นต้องกังวล”
หญิงสาวสูดลมหายใจ ตอนนี้นอกจากลูกตาแล้วไม่มีความแตกต่างอะไรจากคนปกติ ใครเห็นเข้าไม่มีทางดูออกว่าเคยถูกตัดศีรษะ
“อาจารย์ ตัวปัญหาไม่ใช่เทพที่ท่านว่า แต่เป็นชายชุดขาวผู้หนึ่ง”
“คนหรือ”
ชายชราพลันสะท้านใจ
“อีกฝ่ายใช้หยกประดับหรืออาวุธวิเศษอะไร”
หญิงสาวส่ายหน้า
“ไม่ได้ใช้เจ้าค่ะ ข้าสั่งให้พวกลูกๆ จู่โจมคนผู้นั้น เขาเป่าควันครั้งเดียวลูกข้าล้วนกลายเป็นเถ้าทันที มารดาบุตรหัวใจเชื่อมถึงกัน ความเจ็บปวดนั้นทำข้าทรมานยิ่ง! โชคดีที่เขาฝีเท้าเชื่องช้าตามข้าไม่ทัน อาจารย์ท่านต้องช่วยข้า…อาจารย์ท่านเป็นอะไร”
นางพลันพบว่าสีหน้าอาจารย์เปลี่ยนไปแล้ว อีกทั้งเหงื่อตกอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน มองนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เป่าควันหรือ”
“อืม…ควันแปลกๆ กลุ่มหนึ่ง…”
“ผีเด็กพวกนั้นกลายเป็นเถ้า? เขาไม่ได้ใช้อาวุธวิเศษเลยหรือ”
หญิงสาวพยักหน้าอย่างเป็นกังวล
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเขาฝีเท้าเชื่องช้า จริงสิ ตอนเจ้ากลับมารู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ บ้างหรือไม่ เช่นวุ่นวายใจสงบนิ่งไม่ได้เสียที!”
หญิงสาวหน้าเปลี่ยนสีแล้ว เห็นปฏิกิริยานางแล้วอาจารย์พลันหัวใจสั่นสะท้าน ไม่ต้องให้นางตอบก็รู้ผลลัพธ์แล้ว