ตอนที่ 210 ประชันวิชา
หญิงสาวและชายชรามองปฏิกิริยาของกันและกัน ฝ่ายแรกเป็นกังวล ฝ่ายหลังมีสีหน้าคลุมเครือไม่ชัดเจน
“เจ้า…”
ฝ่ายชายชราเพิ่งเริ่มต้นประโยคก็หยุดเสียแล้ว เพราะได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดชัดเจนจากที่ไกลเข้ามาใกล้ แม้เสียงจะแผ่วเบามาก แต่ดังขึ้นท่ามกลางเสียงพายุหิมะนับว่าแจ่มชัดเป็นพิเศษ
เขามองหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ ลุกขึ้นจากเบาะ ประตูเล็กของเรือนไม้เปิดออกเองอีกครั้ง เขามองผ่านประตูไปยังที่ไกล
มีชายในชุดสีขาวที่นับว่าบางเบาในช่วงอากาศหนาวเย็นขนาดนี้ผู้หนึ่ง กำลังเดินอย่างเชื่องช้าเข้ามา
หุบเขานี้อยู่ในตำแหน่งย้อนแสง ไม่เพียงมืดครึ้มและมีปราณหยินหนาหนัก พื้นที่ลุ่มปกคลุมด้วยกากตะกอนสีดำในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูร้อน ส่วนเรือนไม้ตั้งอยู่บนเสาไม้หลายต้น
ตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาว แอ่งโคลนรอบข้างถูกแช่แข็งไปนานแล้ว ตอนจี้หยวนเดินมาบนพื้นน้ำแข็งจึงส่งเสียงกรอบแกรบชัดเจน แต่กับไม่ได้ทำให้พื้นน้ำแข็งแตก
ที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นคือตำแหน่งที่จี้หยวนเดินผ่าน ทุกย่างก้าวบนพื้นน้ำแข็ง สิ่งสกปรกใต้เท้าจะพากันแยกออกไปด้านข้าง กลายเป็นว่าทางที่จี้หยวนเดินผ่านเผยให้เห็นก้อนน้ำแข็งสะอาดหลายก้อน
หากเป็นแอ่งโคลนธรรมดาคงไม่พิเศษเช่นนี้ แต่แอ่งโคลนที่นี่มีปราณหยิน จึงถูกจี้หยวนกำจัดทิ้งไปเป็นพิเศษ
แม้ลึกลงไปใต้ดินยังคงมีสีดำโคลนอย่างยากจะเลี่ยง แต่พื้นหิมะรอบข้างกลับสร้างความแตกต่างอย่างชัดเจน ให้ความรู้สึกว่าสะอาดมากจนไม่เข้ากัน
ปรากฏการณ์ที่เรียกว่าคราบสกปรกจรจากพรรค์นี้ชายชราเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต เขาไม่รู้สึกถึงเค้าลางของวิชาใดโดยสิ้นเชิง เป็นเพียงรอยเท้าบริสุทธิ์บนผิวน้ำแข็ง และชายชราก็ไม่คิดว่าผู้สูงส่งฝึกเซียนคนหนึ่งจะเบื่อจนกำจัดสิ่งสกปรกในน้ำแข็งเล่น
ลูกตาหดตัวขณะมองจี้หยวนเข้ามาใกล้ ชายชราใช้ตาทิพย์สังเกตมอง แต่มองอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นเพียง ‘มนุษย์’ ที่ไม่มีพลังวิชาหรือแสงเทพใดส่องออกมา มองเห็นปราณเพลิงของมนุษย์เท่านั้น
หากบอกว่าใช้อาวุธวิเศษหรือยันต์วิญญาณอะไร แต่จะมองไม่เห็นเค้าลางพลังเลยได้อย่างไร
รวมกับสถานการณ์อื่นในตอนนี้แล้ว ความรู้สึกเหลวไหลมอบความเป็นไปได้อย่างเดียวให้กับชายชรา นั่นก็คือมรรควิถีของผู้มาเยือนสูงลิ่ว สูงจนถึงขั้นที่อาศัยความสามารถของตนเองล้วนไม่อาจเข้าใจได้ เขาจึงมองไม่เห็นและไม่รู้สึกถึงอะไรเลย
ยิ่งชายชุดขาวเดินผ่านแอ่งโคลนซึ่งจับตัวเป็นน้ำแข็งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใบหน้าของอีกฝ่ายยิ่งแจ่มชัดขึ้น บนศีรษะมีเศษหิมะเกาะอยู่ไม่น้อย ใบหน้านิ่งสงบ ดวงตาสีเทาดึงดูดสายตาเป็นพิเศษ มันเหมือนกับบ่อน้ำโบราณยิ่งมองยิ่งลวงใจ อีกทั้งมีความรู้สึกไร้ที่ติอย่างหนึ่งซึ่งยิ่งมายิ่งแจ่มชัด
คนผู้นี้หากต้องการสังหาร ‘ศิษย์’ ที่ว่าไม่ใช่ทั้งคนและผีจริงๆ เขาไม่มีทางปล่อยให้นางหนีรอดเป็นแน่ ถึงขนาดเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าไม่มีทางทำให้นางรู้ตัว
‘นางถูกไล่ตามมาจนถึงที่นี่! ศิษย์ทรยศ!’
ชายชราลอบกัดฟัน ทว่าไม่กล้าแสดงสีหน้าอะไร ความมั่นใจเดียวในตอนนี้ก็คือยันต์พิเศษหลายแผ่นและลูกตุ้มหินขนาดเล็ก เห็นจี้หยวนห่างออกจากเรือนไม้เพียงสิบกว่าจั้งแล้ว เขาจึงแสร้งทำเป็นถ่อมตัวประสานมือโค้งกายทักทาย
“สหายท่านนี้มาเยือนถึงที่ท่ามกลางความหนาวเย็น ไม่ทราบว่ามีธุระใดหรือ”
จี้หยวนยืนอยู่นอกเรือนไม้อย่างนั้น ยื่นมือปัดจอนผมที่ติดอยู่บนริมฝีปากเพราะพายุหิมะพัดไปข้างหลัง จากนั้นตั้งใจพิจารณาชายชราและหญิงสาวที่ขลาดกลัวอยู่ข้างหลังเขาอย่างเห็นได้ชัด ราวกับไม่ได้คิดจะสนใจชายชราแต่อย่างใด ยิ่งไม่ทักทายกลับตามมารยาท
สถานการณ์นี้น่าอึดอัดสำหรับชายชราอยู่บ้าง แต่เขาไม่กล้าปฏิบัติกับอีกฝ่ายด้วยอารมณ์ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“ท่านมาหาผีสาวนางนี้หรือ”
ชายชราชี้หญิงสาวท้องโตข้างๆ
“อาจารย์…”
“อาจงอาจารย์อะไร! หลายปีก่อนข้าขับไล่ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายคนหนึ่ง ริบวิชาอัปมงคลจากเขาได้เล่มหนึ่ง ในนั้นมีหนทางคืนชีพผีแม่ลูกเก้า ชั่วขณะนั้นใคร่รู้จึงเก็บไว้อ่านต่อ คิดไม่ถึงเลยตอนออกไปข้างนอกจะถูกสตรีเข้าป่าตัดฟืนผู้นี้ขโมยไป”
ชายชราพูดพลางเอียงตัวลูบเคราหรี่ตา ใบหน้าดุร้ายส่งสายตาให้หญิงสาว หลังจากนั้นค่อยกล่าวต่อ
“วันนี้นางมาขอความช่วยเหลือจากข้า อีกทั้งเอ่ยปากเรียกข้าว่าอาจารย์ ข้ารู้อยู่แล้วว่าวิชาอัปมงคลที่นางฝึกฝนจะต้องก่อปัญหาแน่ โชคดีที่นางเพิ่งฝึกวิชาที่ว่านี้ได้ไม่นาน เพียงเพิ่งตั้งครรภ์”
เมื่อกล่าวจบอย่างสง่างามแล้ว ชายชราถึงหมุนกายไปเผชิญหน้ากับจี้หยวนอีกครั้ง
“หากสหายไม่รังเกียจ เข้าไปพักผ่อนในเรือนดีกว่า ด้วยเรื่องนี้ข้าเองเป็นคนก่อ ข้าย่อมต้องรับผิดอย่างหนีไม่พ้น…”
จี้หยวนเปิดตาทิพย์มองชายชราซึ่งสง่างามสมเป็นเซียนยิ่งกว่าตนเองในบางระดับ ทว่ามองไม่เห็นปราณปีศาจอะไรจากตัวเขาเลย นอกจากปราณเพลิงโชติช่วง แสงเทพแห่งพลังล้วนเก็บงำอยู่ในกาย พลังปราณวิญญาณก็ไม่แสดงออกนอกกายเช่นกัน ท่าทางฝึกปราณเข้าขั้นมากแล้ว
แต่จี้หยวนเปิดตาทิพย์กว้างขึ้นอีกเล็กน้อย เห็นว่าบนแขนในแขนเสื้อของอีกฝ่ายมีแสงยันต์ปรากฏ ประกายวิญญาณเจือจางไหลเวียนอยู่ภายในกายชายชรา ราวกับมีสติกเกอร์อยู่บนกาย ขณะเดียวกันในแขนเสื้อข้างซ้ายตอนนี้ก็มียันต์ซ่อนเร้นไม่ปรากฏ ชัดเจนว่าขณะที่ปิดบังลมปราณดั้งเดิมก็ยังมีทางหนีทีไล่อีก
ถึงแม้ว่าดูเหมือนเตรียมทางหนีทีไล่ไว้เป็นอย่างดี แต่ท่าทางไม่อยากสนใจของจี้หยวนยังคงมอบความกดดันทางจิตใจให้ชายชราไม่น้อย ยังโชคดีที่ในที่สุดจี้หยวนก็เอ่ยปาก
“เจ้าบอกว่าระดับการฝึกของนางตื้นเขิน ข้ากลับไม่เห็นด้วย สตรีนางนี้ปลุกชีพผีเด็กเจ็ดตนแล้ว เตรียมตัวสังหารคนทั้งอำเภอทิ้งแล้วด้วยซ้ำ แล้วการฝึกของนางจะยังตื้นเขินอยู่ได้อย่างไร เห็นทีต้องมีอาจารย์ชี้แนะหน่อยแล้ว”
จี้หยวนกล่าวเรียบๆ คำหนึ่ง ไม่ได้มีอารมณ์ใดเจืออยู่ในนั้น
“อะไรนะ!? ปลุกชีพผีเด็กเจ็ดตนออกมาแล้วหรือ อีกทั้งประกาศกร้าวว่าจะสังหารคนทั้งอำเภอ?”
ชายชรามองหญิงสาวอย่างมีน้ำโห
“นางปีศาจสามหาว! มิน่าเล่าเจ้าถึงเกิดมาจากปราณสกปรก ที่แท้ก็ทำความชั่วมามากนี่เอง!”
ภายในพริบตาเดียวเท่านั้น พลังบนกายชายชราปั่นป่วน เพลิงลุกโชนขึ้นภายในแล้ว
“เก็บปีศาจอย่างเจ้าไว้ไม่ได้แล้ว!”
ยามเสียงบันดาลโทสะดังขึ้น ชายชราโคจรวิชาสะบัดแขนเสื้อ เพลิงรุนแรงกลุ่มหนึ่งครอบคลุมหญิงสาว ฝ่ายหลังคิดไม่ถึงเลยว่าอาจารย์ที่ตนเองเชื่อถือเป็นที่สุดจะลงมือเช่นนี้ นางลนลานถึงขนาดหนีไปไหนไม่ทันแล้ว
ชิ้ง…
เสียงกระบี่ยาวออกจากฝักดังขึ้น ประกายสีเงินปรากฏตรงหน้าสตรีท้องโตและชายชรา ปราณกระบี่ที่หนาวยะเยือกยิ่งกว่าพายุและหิมะมาถึง เพลิงที่ชายชราคุมไว้พลันถูกทำลาย
ชายชรามองหุบเหวกว้างหนึ่งฝ่ามือพร้อมเหงื่อออก มันตัดผ่านบานประตูเรือนไม้ ตัดผ่านแอ่งโคลนที่แข็งตัวแล้วข้างล่าง มองลงไปแล้วเห็นแต่ความมืด ดูไม่ออกเลยว่าลึกเท่าไหร่
เมื่อเงยคอที่แข็งทื่อขึ้น เห็นหลังคาเรือนไม้นั้นของตนเองถูกตัดเป็นร่องยาวจากหน้าถึงหลัง และพอมองผ่านรอยแยกขึ้นไปบนท้องฟ้า มีประกายวิญญาณสีเขียวมรกตกลุ่มหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ
‘กระบี่เซียน!’
เห็นปฏิกิริยาของชายชราแล้ว จี้หยวนหัวเราะเสียงเย็นในใจก่อนเอ่ยปากอีกครั้ง
“เจ้าลองใช้ยันต์วิญญาณในแขนเสื้อหน่อยก็ได้ ดูสิว่าจะคุ้มครองชีวิตเจ้าได้หรือไม่ หึๆ ฝึกปราณโสมมในพื้นที่สกปรกเต็มไปด้วยปราณหยิน แปดเปื้อนตาทิพย์ข้าแล้ว”
จี้หยวนไพล่แขนซ้ายไว้ข้างหลัง ส่วนแขนขวารับเกล็ดหิมะมากมาย เกล็ดหิมะร่วงลงสู่ฝ่ามือแล้วก็ละลายกลายเป็นน้ำ อีกทั้งรวมตัวกันเป็นตัวอักษรหนึ่งตรงกลางฝ่ามือโดยที่ชายชรามองไม่เห็น
แม้พูดจาไม่น่าฟัง แต่ชายชราผู้นั้นไม่ยอมนิ่งดูดายอย่างเห็นได้ชัด พลังบนกายเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดคิด เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าทำได้เพียงต้องสังหารชายชราผู้นี้แล้ว
ตอนนี้สตรีท้องโตนางนั้นอยู่ในสภาวะหวั่นกลัวพรั่นพรึง ต่อให้โง่ยิ่งกว่านี้ก็รู้ว่าเมื่อครู่อาจารย์คิดฆ่านางปิดปาก ชายชุดขาวนั่นยิ่งไม่มีทางปล่อยนางไป ทว่าตอนนี้เองที่เห็นอาจารย์ตนเองตะโกนใส่นางเสียงหนึ่ง
“หนี!”
เรือนไม้หลังเล็กพลันพังทลาย คลื่นดินมหึมาสูงขึ้นจากพื้นดิน กดอันจี้หยวนซึ่งอยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้งด้วยอานุภาพบดขยี้ ฝ่ายชายชราผันกายเป็นประกายสีเหลืองหลบลี้ไปทันที
ครืน… ท่ามกลางเสียงพื้นดินสะเทือนภูเขาสั่นไหว เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น จี้หยวนถูกเงาดำครอบคลุมไว้
คลื่นดินสูงสิบจั้งเต็มๆ ยันสองฝั่งซ้ายขวาของหุบเขา ด้านบนม้วนตัวลงดูปิดฟ้าบังดวงอาทิตย์อย่างแท้จริง
จี้หยวนถอยหลังไปด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า โคจรท่าร่างมังกรเหินจนถึงขีดสุด
นิ้วชี้ไปข้างหน้า ปากลั่นคำสั่ง
“ตัด…”
ชิ้ง…
กระบี่เครือเขียวออกจากฝั่งอีกครั้ง เวลานี้ประกายกระบี่ยาวไกลกว่าตัวกระบี่แล้ว
ขวับ… สีเงินสายหนึ่งวาบผ่าน คลื่นดินขนาดยักษ์แบ่งออกเป็นสองฝั่งทันที ขณะเดียวกันประกายกระบี่ไม่ลดละ ครอบคลุมยื่นขยายไปถึงภูเขาแม่น้ำไกลๆ
“อ๊าก…”
เสียงร้องน่าเวทนาสั้นๆ ดังขึ้นจากใต้ดิน
ครืน…
หลังจากคลื่นดินถูกตัดขาดจึงเกิดเสียงดังสนั่นจากสองฝั่งภูเขาจนหูแทบดับ พื้นดินเหมือนกับกำลังสั่นสะเทือนเบาๆ ฝุ่นนับไม่ถ้วนตลบอบอวลอยู่กลางหุบเขา
จี้หยวนกลัวอยู่ลึกๆ เหมือนกัน เห็นสตรีท้องโตนางนั้นวิ่งหนีอุตลุดไปยังหุบเขาอีกฝั่ง เขาพลันแค่นเสียงหัวเราะก่อนเอ่ยปาก
“นิ่ง!”
ตัวอักษรน้ำคำว่า ‘นิ่ง’ ซึ่งควบแน่นจากพลังบัญชาบนฝ่ามือขวาหายไปทันที พร้อมกันนั้นสตรีที่อยู่ไกลออกไปเพียงรู้สึกว่าร่างกายแข็งค้างทันที นางยังคงกระโดด ทว่าศีรษะกระแทกก้อนหินข้างๆ ดังปัก
ในเมื่อนางเป็นเช่นนี้แล้วล้วนขยับไม่ได้ ถึงขนาดหายใจและกะพริบตาไม่ได้ด้วยเช่นกัน พลังชั่วร้ายในกายคล้ายกับเงียบสงัด เหมือนร่างกายเป็นศพที่มีความคิด
จี้หยวนเพิ่งคิดผ่อนลมหายใจพลันฉุกคิดขึ้นได้ จึงยื่นมือนับนิ้ว ส่งเสียงพูดด้วยความประหลาดใจ
“เอ๋! ไม่ตายหรือ”
แม้ร่างกายชายชราผู้นั้นถูกตัดขาดอยู่ใต้ดินมีเลือดมีเนื้อ แต่กลับเป็นแค่ร่างปลอมเสียอย่างนั้น
“คิดหนีไม่ง่ายขนาดนั้น!”
จี้หยวนกระโจนตัวขึ้น ขี่เมฆคุมลมบินอย่างรวดเร็ว กระบี่เครือเขียวบนท้องฟ้ายิ่งส่งเสียงหวีดหวิวด้วยความเคียดแค้น โดยสารประกายกระบี่ผ่าลมไปข้างหน้า
ภูเขาลานสารทค่อนข้างเตี้ย ชายชราคีบยันต์ดินล่องหนโคจรพลังอย่างบ้าคลั่ง น่าจะตกใจกลัวจนอกสั่นขวัญหาย ยันต์แทนชะตาในแขนเสื้ออีกข้างกลายเป็นเศษเพราะการจู่โจมครั้งเดียว
อาศัยการรับรู้อันเกิดจากการฝึกวิชา ‘ศิษย์’ ของตนเองผู้นั้นก็อยู่ในสภาวะแปลกประหลาดไม่อยู่ไม่ตาย เมื่อครู่นี้ได้ยินคำว่า ‘นิ่ง’ อยู่รางๆ ยิ่งไม่มีทางจินตนาการถูกว่าเป็นวิชาแปลกๆ อะไร
‘ไม่ได้ งกไม่ได้แล้ว! หากไม่ใช้ตอนนี้ก็ต้องตายเท่านั้น!’
ชายชรากำก้อนหินจนแหลกคามือกลายเป็นเศษสีเหลือง ปากขอร้องเสียงเบาอย่างต่อเนื่อง
“ขอเขาเทพภูเขาลานสารทช่วยข้าด้วย ท่านเทพภูเขาช่วยข้าด้วย! ขอท่านเทพภูเขาช่วยข้า!”