ตอนที่ 211 อภินิหารจากสวรรค์
เขาลานสารทเป็นภูเขาที่ชายชราพักอยู่ ตอนนี้เพื่อหนีเอาชีวิตรอด ชายชราใช้วิชาที่มีจนหมดแล้ว ทั้งอาศัยยันต์ดินล่องหนดำดินผ่านภูเขา ใช้ยันต์แทนชะตาที่เรียกได้ว่าล้ำค่าที่สุดต้านทานการจู่โจมถึงตาย ยิ่งใช้หินเทพภูเขาแล้วด้วย
แม้ทำเช่นนี้แล้วชายชราก็ยังคงกระวนกระวายไม่หาย โชคดีที่วินาทีซึ่งเขากำลังหนีเอาชีวิตรอดใช้ยันต์แทนชะตาโดยไม่ลังเลเลยสักนิด หากอยากประหยัดของวิเศษ รอจนถึงจุดที่กระบี่เซียนออกจากฝักย่อมไม่ทันกาลโดยสิ้นเชิง ถึงเป็นผู้ฝึกเซียน ตอบสนองว่องไวเพียงไหนก็ไม่น่าเหนือชั้นว่าประกายกระบี่เซียน
แต่ถึงตัดสินใจใช้ยันต์แทนชะตาเช่นนี้ ความจริงก็ใช่ว่าชายชราไม่ได้บาดเจ็บ ชั่วขณะที่ประกายกระบี่เซียนตัดลง ชายชราที่เดิมควรหลบหนีได้อย่างไร้ร่องรอยถูกประกายกระบี่พบเห็นเช่นกัน ความรู้สึกทรมานนั้นเหมือนจะไม่ถูกแทนที่ด้วยยันต์วิญญาณเลย กลับเป็นตนเองถูกสังหารโดยตรง ในมุมมองของจิตใจถือว่าถูกตัดไปส่วนหนึ่ง มีอยู่พริบตาหนึ่งที่ชายชราคิดว่าตนเองตายไปแล้วจริงๆ
ประสบการณ์ระทึกขวัญชั่วพริบตาเช่นนี้ทำให้ชายชราเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว เมื่อถูกกระบี่เซียนฟันจริงๆ ภายใต้การพบเห็นของเจตกระบี่เซียน นั่นเป็นการทำลายล้างถึงวิญญาณโดยแท้ วิญญาณดั้งเดิมหลบหนีเอย ศพสลายร่างเอย ล้วนเป็นมายาคติอย่างแท้จริง
ชายชราถูกอานุภาพกระบี่เซียนทำให้ตกใจกลัวจริงๆ ตามตำนานเล่าว่าอาวุธเซียนมีความอัศจรรย์ยากคาดเดา กระบี่เซียนในฐานะที่เป็นอาวุธสังหารยิ่งมีอานุภาพร้ายกาจไม่ธรรมดา ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นจึงเคยมีความคิดอยากเห็นอยากเปิดหูเปิดตา แต่ต้องไม่ใช่ในสถานการณ์เช่นนี้กระมัง!
“เทพภูเขาช่วยข้าด้วย! เทพภูเขาช่วยข้าด้วย! ขอท่านเทพภูเขารีบช่วยข้าที…!”
ชายชรากล่าวซ้ำไปซ้ำมา น้ำเสียงร้อนใจขึ้นเรื่อยๆ แม้เป็นผู้ฝึกเซียนก็มีสภาวะที่ควบคุมร่างกายไม่ได้อยู่บ้างจริงๆ เหงื่อเย็นไหลทั่วเรือนกายแล้ว
พร้อมกันนั้นเขาควบคุมร่างกายดำดินลงลึกขึ้น ลอดเข้าไปใต้ภูเขาที่มียอดเขาสูงตระหง่านเหล่านั้น ได้สบายใจเพียงหนึ่งนาทีก็ดีมากแล้ว
แต่ไม่ว่าอย่างไรชายชราก็ไม่ใช่เทพเจ้าที่ ถึงมียันต์วิญญาณอย่างยันต์ดินล่องหน กระนั้นยิ่งลงลึกก็ยิ่งกินพลังมหาศาล
‘เหตุใดยังไม่มา เหตุใดยังไม่มา! ข้าไม่มียันต์แทนชะตาแผ่นที่สองหรอกนะ!’
ชายชราถึงขนาดมีความเข้าใจอย่างหนึ่ง ต่อให้เป็นของวิเศษอย่างยันต์แทนชะตาก็มีความสามารถจำกัด ครั้งแรกโชคดีรอดชีวิตได้ แต่จิตใจกลับยังคงถูกฟันอยู่ดี หากยังมียันต์วิญญาณแผ่นที่สอง เช่นนั้นต่อให้นำมา ‘แทนชะตา’ ได้จริงๆ ตนเองจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะตอนนั้นยันต์วิญญาณถูกชักนำด้วยจิตใจ เกรงว่าจิตใจถูกฟันจนสิ้นแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับการตายตก
จี้หยวนเหาะเหินพร้อมเปิดตาทิพย์กว้าง เสาะหากลิ่นอายชีพจรดินรอบข้าง สิ่งที่เห็นนอกจากหิมะขาวสะอาด ภูเขา แม่น้ำ และพื้นดินล้วนปรากฏท่วงทำนองวิญญาณ รวมถึงกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดา ภูผาธาราที่จี้หยวนไม่รู้จักชื่อตรงนี้ค่อนข้างแข็งแกร่งเหมือนกัน อาจจะเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ขอบเขตอาณาจักรระหว่างต้าเจินและอาณาจักรถิงเหลียงที่อยู่ทางเหนือ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในที่สุดจี้หยวนพบว่าชายชราผู้นั้นเผยกลิ่นอายผลุบๆ โผล่ๆ เบาบางยิ่ง กำลังเดินทะลุภูเขาลูกใหญ่และดินหนาหนักอย่างสิ้นหวัง คิดใช้สิ่งเหล่านี้คุ้มครองร่างกายตน วิธีการหลบหนีที่เขาใช้ไม่ธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าต้านทานการจู่โจมจากกระบี่เครือเขียวและตัดขาดกลิ่นอายข้องเกี่ยวออกไปได้ จี้หยวนจึงไม่กล้าดูถูกชายชราผู้นั้นแล้ว
เสียงกระบี่เครือเขียวดังขึ้น พายุหิมะทั้งหมดภายในรัศมีสิบจั้งของกระบี่เซียนกลางท้องฟ้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ตัวกระบี่สั่นไหวทันที
ชิ้ง…
กระบี่ร้องขึ้น ตัวกระบี่ออกจากฝักเกือบครึ่งหนึ่งก็ยาวหนึ่งฉื่อหกชุ่นแล้ว ยาวกว่ากระบี่ทั้งเล่มก่อนหน้านี้ห้าชุ่น ประกายกระบี่โดยรอบดับลงอีกครั้ง
ชายชราที่หลบหนีอยู่ใต้ภูเขาพลันเพิ่มความระแวดระวังจนถึงขีดสุด ความรู้สึกว่าจะไม่มีพรุ่งนี้มาถึงเข้าปกคลุมจิตใจ
‘ข้าจบเห่แล้ว!’
ความคิดนี้เพิ่งเกิดก็มีความเปลี่ยนแปลงนับไม่ถ้วนเกิดขึ้น
ครืน…
ภูเขาลูกนั้นเหนือศีรษะชายชราถล่มลงจากใจกลางทันที มือยักษ์เทียมฟ้าอันก่อเกิดจากก้อนหินยื่นจากใต้ภูเขา เขากวาดแขนท่ามกลางประกายกระบี่ตกกระทบพอดี พลังและแสงเทพยิ่งใหญ่ระเบิดขึ้น
ตูม…โครม…
ชายชรางุนงงเหมือนไก่ไม้ รู้สึกได้ว่ากลิ่นอายข้างบนเปลี่ยนเปลง ราวกับมองเห็นหินผาต้นไม้นับไม้ถ้วนระเบิดกระเด็นท่ามกลางพายุหิมะบนท้องฟ้า เศษหินก้อนดินร่วงลงคล้ายฝนตก ยิ่งมีเงาดำมหึมาเสียดสีกดอัดลงมาด้วย
วิ้ว…
ครืน…
แขนยักษ์อันเกิดจากภูเขาก้อนหินทนรับประกายกระบี่ไม่ไหว ทันใดนั้นขาดสะบั้นก่อนกระแทกยอดเขาเล็กๆ ด้านข้าง ทำเอาพื้นดินสะท้านภูเขาสะเทือนชั่วขณะหนึ่ง หิมะซึ่งเกาะอยู่บนยอดเขาโดยรอบระเบิดออก เกิดหมอกหิมะกระจายอบอวลทั่วท้องฟ้า
ตึง…
เงายักษ์ตระหง่านดึงตนเองขึ้นจากภูเขาท่ามกลางหมอกหิมะตลบ แขนขาดสะบั้นและหินผานับไม่ถ้วนลอยขึ้นรวมตัวกับเงายักษ์อีกครั้ง บนกายยิ่งเป็นแสงเทพเข้มข้นแผ่กระจาย นี่ไม่ใช่แสงเทพกำยาน แต่เป็นอานุภาพอันรวมตัวจากภูผาธาราตามแบบฉบับ
ความเจ็บปวดเมื่อครู่ทำให้เทพภูเขาส่งเสียงร้องคำราม ดังกังวานราวกับระฆัง
“ฮึ่ม…เทพภูเขาลานสารท มารผจญที่ใดบังอาจ…”
หึ่ง…
ตัวอักษร ‘ซ่อน’ บนฝักกระบี่เครือเขียวเร้นกาย ตัวอักษร ‘แหลม’ สว่างขึ้น เจตกระบี่ระบายออกมาท่ามกลางเสียงร้อง เท่าที่มองเห็นนั้นลมและหิมะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วน ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นกระจ่างแจ้ง แม้จะมีหิมะใหม่ตกลงจากท้องฟ้าก็จะละลายหายไปในความคมปลายไร้จุดสิ้นสุด
เทียบกับกลางฤดูหนาวแล้วไม่รู้ว่าหนาวเหน็บสุดขีดกว่าสักกี่เท่า
เทพภูเขาพูดครึ่งประโยคหลังไม่ออก ร่างกายยิ่งใหญ่เหมือนภูเขาขนาดย่อมต้านทานหิมะถล่มโดยรอบ จากนั้นก้มหน้ามองชายชราซึ่งมีขนาดตัวเท่าเมล็ดถั่วเขียวด้านล่าง แม้รู้แล้วว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ถึงทำให้คนผู้นี้ใช้หินเทพภูเขา แต่นี่มันเกินจริงไปหน่อย
เขาใช้เสียงแผ่วเบาส่งไปถึงหูอย่างอดไม่ได้
“เจ้าไปหาเรื่องตัวตนใดเข้าแล้วเนี่ย!”
คราวนี้ชายชราถึงดึงสติกลับมา ลูบคลำทั่วร่างกายตนเอง ไม่พบตรงไหนฉีกขาดค่อยแน่ใจว่าตนเองยังไม่ตาย เขารีบประสานมือคารวะเทพภูเขาสูงตระหง่านไม่ยอมหยุด ส่งเสียงดังร้องขอ
“ท่านเทพภูเขา ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องช่วยข้าน้อยนะขอรับ!”
หากพูดถึงรากฐานของจี้หยวน ชายชราไม่แน่ใจเหมือนกัน
ตอนนี้เผชิญหน้ากับคมกระบี่บนศีรษะ ไม่ต้องพูดอะไรไร้สาระมากเกิน ดูจากกระบี่เมื่อครู่นี้แล้ว อีกฝ่ายกำลังจะฟันคนอย่างแน่นอน
เทพภูเขาตัวสูงหลายสิบจั้ง ร่างกายอันก่อเกิดจากหินผาและก้อนดินเหมือนกับยอดเขาแห่งหนึ่ง บัดนี้เงยหน้ามองผู้ฝึกเซียนในชุดสีขาวซึ่งเหยียบย่างเมฆห่างออกไปร้อยจั้ง เสียงดุจระฆังดังสะท้านทั้งภูเขาอีกครั้ง
“ท่านเซียน ข้าเทพภูเขาลานสารท เซียนหลี่ข้างล่างเป็นสหายเก่าของข้า ไม่ทราบว่า…”
“ได้!”
จี้หยวนยืนอยู่บนเมฆ ดวงตาสีเทาไร้แววไร้คลื่นจ้องมองเทพภูเขาสูงตระหง่าน แม้จะเป็นครั้งแรกที่ได้พบเทพภูเขาแบบนี้ แต่ความรู้สึกสะท้านใจกลับไม่ได้ฉายชัดบนสีหน้าเขา
เทพภูเขาชะงักงันเมื่อได้ยินน้ำเสียงราบเรียบของจี้หยวน แต่ไม่ทันรอเทพภูเขาและชายชราข้างล่างหยุดดีใจ จี้หยวนกล่าวเสียงเบาลอยๆ
“ข้าแค่อยากถามว่าเหตุใดท่านเทพภูเขาถึงมีไมตรีกับผู้เดินทางสายมารนอกรีต การประพฤตินี้เต็มไปด้วยกรรมชั่ว แม้แต่วิชาชั่วร้ายอย่างผีแม่ลูกเก้าก็ยังกล้าเกี่ยวข้อง วันนี้จะให้เขาหนีรอดไปไม่ได้!”
จี้หยวนพูดพลางบังคับเมฆลอยสูงขึ้น ลอยสูงยิ่งกว่ากระบี่เครือเขียว ใช้นิ้วชี้เตรียมการ
ดูเหมือนการกระทำแสดงอานุภาพ แต่ความจริงแล้วเพียงตั้งใจยืดระยะห่าง อานุภาพของเทพภูเขาระดับนี้ไม่น้อยเช่นกัน จี้หยวนไม่กล้าเข้าใกล้จนเกินไป
ขณะเดียวกัน พลังกระบี่เครือเขียวแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ กอปรกับฉากหิมะเต็มฟ้าข้างบน เจตกระบี่ลึกล้ำ ส่วนล่างจิตสังหารแจ่มชัดไม่อาจมองข้าม
เมื่อจี้หยวนดึงร่างกายขึ้นและใช้นิ้วชี้กดลง พริบตาที่อานุภาพกระบี่เซียนถูกชักนำ มีความรู้สึกของการลากหิมะสีขาวด้านบนและกดลงด้วยเจตกระบี่สีเขียว บนขาว กลางเขียว ล่างชัดแจ้งย่อมสอดประสานกันในเวลาอันสั้น สร้างความรู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างเจตกระบี่นำพาพลังสวรรค์อยู่เลือนราง
เหมือนกับว่าท่วงทำนองวิญญาณเกิดขึ้นเอง จี้หยวนตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ใช้วิชาย้อนทวนฟ้าดินก่อเกิดโดยไม่ต้องคิด แผ่ขยายพลังสวรรค์กลางท้องฟ้าในเขตแดน ความตั้งใจและศักยภาพซ้อนทับมั่นคงระหว่างจริงเท็จ กระบี่เซียนลอยอยู่กลางอากาศราวอำนาจสวรรค์ สร้างความกดดันไร้จำกัดในจิตวิญญาณ
กระบี่ยังไม่ออกจากฝัก แต่กลับมีอานุภาพราวกับฟ้าถล่มลงทั้งหมดทันทีแล้ว
‘เมื่อกระบี่ล่องลอย อานุภาพยิ่งใหญ่ราวฟ้าทลาย!’
ความรู้สึกนี้ปรากฏขึ้นในใจของจี้หยวน เทพภูเขาลานสารท และชายชราผู้ฝึกมารพร้อมกัน
ความแตกต่างกันอยู่ที่จี้หยวนตั้งใจรับรู้และติดตามความรู้สึกจนเกิดความกดดันในระดับจิตวิญญาณ ส่วนสองฝ่ายหลังรับรู้ได้ด้วยตนเองรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอานุภาพกระบี่เซียนแข็งแกร่งมาก แต่แข็งแกร่งก็ส่วนแข็งแกร่ง กลับไม่มีความรู้สึกกดดันเกินจริงชนิดฟ้าถล่มลงมาโดยสิ้นเชิง
เทพภูเขาลานสารทแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคู่ต่อสู้ชนิดตัวต่อตัวสำหรับจี้หยวนแล้ว
จี้หยวนรู้จักตนเอง จุดแข็งของเขาก็โดดเด่นเช่นกัน อานุภาพกระบี่นั้นไม่มีใครเทียบ การฝึกปราณก็พัฒนารุดหน้า ยิ่งมีปราณสมาธิ วิชาเสียงบัญชาและวิชาสงบท่าร่าง อีกทั้งมีจักรวาลในแขนเสื้อและการศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง เมื่อรวมเข้ากับร่างกายไร้ที่ติและตาทิพย์ซึ่งมองเห็นกลิ่นอาย ถือว่าย้อนทวนฟ้าดินก่อเกิดในระดับที่เผยเขตแดนได้
แต่ข้อบกพร่องก็ชัดเจนมากเช่นกัน อย่างไรเสียฝึกปราณเก้าปีค่อนข้างตื้นเขิน นอกจากกระบี่เครือเขียวแล้ว วิชาอื่นๆ อันรวมถึงการฝึกปราณล้วนมีศักยภาพดีแต่พื้นฐานไม่เพียงพอ ความสามารถในการเกทับคนอื่นยอดเยี่ยม เกิดเป็นการต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับเทพภูเขาลานสารทได้จริงๆ จี้หยวนไม่อยากลองดูว่าร่างกายเล็กจ้อยของตนเองจะทนรับได้หรือไม่ ถึงอย่างไรอานุภาพอัศจรรย์ของอีกฝ่ายก็ไม่ค่อยเหมือนสิ่งที่กระบี่เซียนจะบ่อนทำลายได้
ส่วนวิชาอภินิหาร ตอนนี้จี้หยวนไม่ค่อยกล้าใช้ทั่วทีป อีกทั้งเทพภูเขาลานสารทก็ดูไม่เหมือนว่าจะถูกพลังของตนจัดการได้โดยง่าย
เดิมทีจากการเปลี่ยนแปลงในน้ำเสียงของเทพภูเขานั้น จี้หยวนแน่ใจว่าอีกฝ่ายรู้สึกกลัวอยู่บ้างเช่นกัน ถือโอกาสจากแนวโน้มค่อนข้างยาก จึงใช้วิธีกระตุ้นอานุภาพกระบี่เซียนปกปิดความจริงด้านระยะทาง
แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะเข้าใจการใช้ ‘อานุภาพ’ แบบใหม่ในการกระทำโดยไม่ตั้งใจของตนเอง ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมของพลังเหนือธรรมชาติ
‘นี่คือกระบี่สังหารใจ!’
เมื่อเกิดความเข้าใจชัดเจน ความคิดยิ่งใหญ่ที่สุดในใจเขาตอนนี้ก็คือทำให้สภาวะนี้คงที่ จัดการเรื่องของผู้ฝึกมารแล้วกลับไปทำความเข้าใจจุดพลิกผันมรรคในวินาทีนี้
ความคิดนี้สะท้อนให้เห็นโดยธธรมชาติ ทำให้จี้หยวนค่อนข้างชะล่าใจ ดูเหมือนว่าเทพภูเขาและผู้ฝึกมารซึ่งอยู่ภายใต้กระบี่ฟ้าทลายล้วนไม่สนใจ
แต่ในฐานะที่เป็นผู้มองเห็นอานุภาพเหมือนฟ้าถล่ม เทพภูเขาลานสารทได้รับแรงกดดันอันยากจะจินตนาการได้ ชายชราผู้นั้นยิ่งถูกความหนักอึ้งในจิตใจกดทับอยู่บนพื้น แม้แต่จะยืดตัวตรงยังทำไม่ได้