ตอนที่ 216 สายฝนในคืนอ้างว้าง
จี้หยวนลงจากเตียง ได้กลิ่นดอกไม้โชยมาจากลานบ้าน กลิ่นหอมแบบนี้สดชื่นเรียบง่าย แม้ไม่นับว่ามหัศจรรย์มาก แต่กลับช่วยให้จิตใจสงบไร้กังวล อย่างน้อยชาวบ้านบริเวณตรอกเทียนหนิวก็หลับสบายเป็นพิเศษในเวลากลางคืน จี้หยวนเองหลับสบายเช่นกัน ไม่เช่นนั้นนอนฝันในรอบครึ่งปีนี้คงไม่มีทางเป็นสุขขนาดนี้ ช่วงก่อนความฝันของเขาเกิดขึ้นเพราะต้องการฝึกปราณ แต่ช่วงหลังสติเหมือนกับไม่รับรู้ว่าตนเองกำลังฝึกปราณอยู่หรือไม่
ทว่าความรู้สึกหลังตื่นนอนไม่เลวเลยทีเดียว น่าจะนับได้ว่าเกิดผลสำเร็จ
เขาถกแขนเสื้อขึ้นดูแขนตนเอง ถึงผอมบางอยู่ไม่น้อย แต่ไม่ได้ดูเกินจริงเท่าไหร่ แม้ปราณห้าธาตุภายในกายยังคงไหลเวียนบางเบา ทว่ายังดีที่จิตวิญญาณห้าธาตุเต็มเปี่ยม มีชีวิตชีวาไม่ขาดช่วง ภายใต้สถานการณ์ซึ่งดูดซับปราณวิญญาณได้ในความฝันพอจะเติมปราณดั้งเดิมห้าธาตุให้บำรุงทั่วร่างกายได้ อย่างน้อยไม่ได้หิวตายง่ายขนาดนั้น
เมื่อรวบผมยาวสยายของตนเองเป็นมวยเรียบร้อย เขาหยิบปิ่นหยกดำบนหัวเตียงมาเสียบไว้ ข้างหน้ามัดมวย ข้างหลังปล่อยเรือนผมดูมีเสน่ห์ ศิลปะแบบนี้คาดว่าคนหนุ่มสาวมากมายเมื่อชาติก่อนล้วนไม่เข้าใจ
หากมองปิ่นหยกดำนี้ให้ดีๆ จะพบว่าคุณภาพหยกยอดเยี่ยมมาก แม้แต่พ่อค้าที่ขายให้จี้หยวนในตอนนั้นก็จำไม่ได้ว่าเป็นปิ่นหยกคุณภาพต่ำในอดีต
อาจเป็นเพราะร่างกายไร้สิ่งสกปรก และร่างกายไร้สิ่งสกปรกอาจเป็นเพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับตนเอง จี้หยวนไม่ได้คิดใคร่ครวญถึงสิ่งเหล่านี้มาก รู้เพียงว่าข้อดีก็คือหลายๆ ครั้งประหยัดแรงซักล้างไปได้ อีกทั้งเนื้อผ้ายังทนทานขึ้นไม่น้อย อย่างน้อยตอนนี้สามชุดสีขาว สีเทา สีเขียวของเขาก็ไม่เคยขาดมาก่อน
พอคลุมชุดคลุมแล้วเขาหยิบถุงผ้าไหมใส่กระเรียนกระดาษไว้ในอกเสื้อ เดินไปทางหน้าประตู กระบี่เครือเขียวที่อยู่ข้างเตียงลอยขึ้นและตามหลังเขาไป
เปิดประตูแล้ว แสงสว่างงดงามส่องเข้ามา เขามองต้นพุทราใหญ่ที่กำลังผลิดอกข้างนอก มีผึ้งเป็นกลุ่มหนึ่งกำลังบินไปมาบริเวณต้นไม้พอดี รวบรวมเกสรดอกไม้ที่ไม่ธรรมดานี้ไว้
จี้หยวนกินน้อยได้ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบกิน ยิ่งไม่ได้หมายความว่ารู้สึกหิวไม่เป็นเช่นกัน แม้ความรู้สึกจะน้อยลงจนใกล้เคียงกับคำว่าไม่มี ทว่าการกินยังคงเป็นความสุขที่สุดในชีวิตของจี้หยวน ไม่มีทางล้มเลิกได้
อย่างเช่นน้ำหวานดอกพุทราที่บ่มโดยต้นพุทราใหญ่ในเรือน เขาไม่กล้าบอกว่าเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า กระนั้นมีรสชาติหวานอร่อยเป็นเอกลักษณ์อย่างแน่นอน ละแวกอำเภอหนิงอันน่าจะไม่มีคนเลี้ยงผึ้งอะไร คาดว่าเป็นผึ้งป่า
“รังผึ้งอยู่ที่ไหนกันนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ กระเรียนกระดาษในถุงผ้าไหมในอกเสื้ออยากออกมาข้างนอก ศีรษะเล็กกระจิริดยื่นออกมา เอียงคอมองเจ้านายของตนเอง จี้หยวนรู้สึกได้จึงก้มลงมอง
“เจ้ารู้หรือ”
เขาถามออกไปตามสัญชาตญาณ กระเรียนกระดาษขยับอย่างรุนแรง เพียงไม่กี่ครั้งก็ลอดออกจากถุงผ้าไหมอย่างชำนาญ จากนั้นกางปีกบินขึ้น
“นี่ๆๆ หยุดก่อนๆ”
จี้หยวนมองกระเรียนกระดาษตัวน้อยที่อยากจะเป็นผู้นำทางอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
“ดอกพุทราเพิ่งออกดอก บ่มน้ำหวานไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ในเวลาอันสั้น ครั้งหน้าเถอะ!”
ความจริงแล้วดูจากเส้นทางที่ผึ้งบินกลับไป จี้หยวนก็หาที่อยู่ของรังผึ้งเจอได้แล้ว เมื่อครู่แค่ถามออกไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น
ประตูเรือนสันติไม่ได้เปิดมาครึ่งปี คนในอำเภอน่าจะคิดว่าจี้หยวนไม่อยู่ นับวันดูแล้วบุตรคนที่สองของตระกูลอิ๋นใกล้ลืมตาดูโลก ไม่ว่าอย่างไรอาจารย์อิ๋นก็ต้องเขียนจดหมายมา แปดส่วนอยู่ที่ที่ว่าการอำเภอ
จี้หยวนออกจากเรือนแล้วไปเยี่ยมเยียนที่ว่าการอำเภอ พบจดหมายสามฉบับอยู่ที่นั่น สองฉบับเป็นของอิ๋นชิง อีกฉบับหนึ่งเป็นของอิ๋นจ้าวเซียน
หลังจากกินข้าวเช้าข้างนอกแล้วกลับมา จี้หยวนนั่งอยู่ในลานของเรือนสันติ เปิดอ่านจดหมายทั้งสามฉบับ
จดหมายฉบับแรกของฝ่ายแรกนอกจากเล่าชีวิตในสำนักศึกษา ครึ่งหนึ่งพูดถึงน้องชายหรือน้องสายที่ยังไม่เกิดของตนเองอย่างยืดเยื้อ ระหว่างตัวอักษรตามบรรทัดเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย และถามจี้หยวนว่าจะไปรัฐหวั่นหรือไม่ หากไปจะไปเมื่อใด
จดหมายฉบับที่สองเขียนขึ้นเมื่อประมาณสองเดือนก่อน น่าจะเขียนจดหมายบอกสหายในอำเภอเมื่อรู้ว่าจี้หยวน ‘ออกเดินทางไกล’ แล้ว ดังนั้นเขียนบอกจี้หยวนว่าตนเองจะไปทัศนศึกษาที่รัฐหวั่นกับสหายในสำนักศึกษาสามคนก่อน หวังว่าท่านจี้จะมาได้เช่นกัน
จดหมายของอิ๋นจ้าวเซียนกลับเชิญสหายแสนดีอย่างเขาจี้หยวนไปรัฐหวั่นอย่างตรงไปตรงมา เชิญเขาเข้าร่วมงานเลี้ยงครบเดือนหรืองานเลี้ยงครบร้อยวันหลังจากนั้น หากจี้หยวนไปเร็วก็จัดงานเลี้ยงครบเดือน หากจี้หยวนไปช้าก็จัดงานเลี้ยงครบร้อยวัน กล่าวด้วยความหวังให้จี้หยวนไปได้อย่างชัดเจนจนไม่อาจชัดเจนไปมากกว่านี้แล้ว
“โอ้โห หากข้าไม่ไป อิ๋นจ้าวเซียนคงไม่ถึงกับตัดสัมพันธ์กับข้ากระมัง”
อิ๋นจ้าวเซียนมีความจริงจังตั้งใจ ภรรยาที่อยู่กับเขาทั้งเช้าทั้งเย็นไม่มีทางเกิดเหตุการณ์ครรภ์ไม่มั่นคง ต้องคลอดเมื่อครบกำหนดสิบเดือนอย่างแน่นอน จี้หยวนนับนิ้วคำนวณดู ยังเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งเดือน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจี้หยวนไม่ชักช้าอีก เข้าเรือนเก็บข้าวของครู่หนึ่ง ของที่ต้องนำไปมีไม่มาก นอกจากตำราก็จะเป็นพู่กัน น้ำหมึก กระดาษ และเสื้อผ้าสองชุด
หลายปีมานี้ไม่ใช่ว่าฝึกปราณโดยเปล่าประโยชน์ อย่างน้อยวิชาจักรวาลในแขนเสื้อก็เป็นที่ประจักษ์บ้าง แม้ไม่รู้ว่าวันไหนปีไหนถึงจะทำได้ถึงขั้น ‘ถักทอจัดเก็บสิ่งของ เปลี่ยนแปลงนับพัน กลืนกินสรรพสิ่งและกลับมา’ แต่อย่างน้อยเข้าใจหลักการ ‘เปลี่ยนแปลง’ จำนวนหนึ่งแล้ว เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและการเปลี่ยนแปลงซุกซ่อน เมื่อเทียบกับวิชาจักรวาลในแขนเสื้อทั่วไป มันแตกต่างจากการส่งและซ่อนสิ่งของเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าการฝึกปราณมีความก้าวหน้า จำนวนสิ่งของที่เก็บได้ก็เพิ่มมากขึ้น เบียดกันแล้วพอยัดของเหล่านี้ลงไปได้
จากนั้นก็ไม่ทิ้งกระเรียนกระดาษอยู่ที่บ้าน ออกจากเรือนเล็กไปทันที ครั้งนี้เขาไม่บอกกล่าวหูอวิ๋นและเจ้าภูเขาลู่ถึงการเคลื่อนไหวของตนเอง อย่างไรเสียทั้งสองก็ยังคงฝึกปราณอย่างสงบอยู่บนภูเขา
…
ตามบันทึกของประวัติศาสตร์ร้อยจังหวัด ทิวทัศน์จังหวัดลี่ซุ่นแห่งรัฐหวั่นงดงามอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมทอผ้ารัฐหวั่นยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้า อย่างน้อยในสมัยที่เขียนตำราก็เรียกได้ว่าเป็นเช่นนั้น
แต่ในยุคสมัยนี้ หากเป็นเรื่องเล่าของนักเล่าเรื่องสักคน ก็ต้องเริ่มเล่าเรื่องในอดีตของรัฐหวั่นโดยการเริ่มต้นด้วยคำว่า ‘เคย’
กำไรมหาศาลของอุตสาหกรรมทอผ้าในรัฐหวั่นขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทั้งรัฐหวั่น ทว่าเวลาผ่านไปกลับนำมาซึ่งปัญหาใหญ่ สามารถสรุปได้โดยกล่าวว่าเป็นเพราะความโลภและผลกำไร
พ่อค้าเศรษฐีชักใยขุนนางจำนวนหนึ่ง เพื่อซื้อที่ดินปลูกต้นหม่อนทำกำไร แต่กลับไม่อาจมอบผลประโยชน์ใดให้ชาวนาที่เสียที่ดิน เป็นผลทำให้คนจำนวนมากพื้นที่รัฐหวั่นบ่นอุบ ในใจของชาวบ้านเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองสะสมมายาวนาน มักหล่อเลี้ยงและดึงดูดสิ่งชั่วร้ายได้ง่าย และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่มีคำโบราณกล่าวว่าต้องมีมารร้ายในช่วงเวลาตกยาก
วันนี้มีบัณฑิตสี่คนแบกกล่องตำรากำลังเดินทาง สวมผ้าพันคอและประดับกวาน ชุดยาวสีเขียวเปื้อนฝุ่นโคลนอยู่บ้าง พวกเขาเป็นบัณฑิตทั้งสี่จากสำนักศึกษาเมตตา ประกอบไปด้วยอิ๋นชิง หลินซินเจี๋ย เหลยอวี้เซิง และโม่ซิว
ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงบุตรเกิดใหม่ขอบท่านอิ๋นแห่งรัฐจี ไม่ว่ามองอย่างไรก็เป็นเรื่องมีเกียรติ ดังนั้นอิ๋นชิงเพียงเชื้อเชิญตามมารยาท อีกสามคนล้วนตอบตกลงทันที
เรื่องยื่นคำร้องขอทัศนศึกษากับเจ้าสำนักและเหล่าอาจารย์จำเป็นต้องได้รับอนุมัติ ถึงได้มีสถานการณ์เดินทางร่วมกับสหายร่วมห้องเช่นนี้
“ไอ้หยา ทางนี้เดินยากนัก โม่ซิวเจ้าทำให้พวกข้าลำบากแล้ว ไยต้องเลือกทางนี้!”
หลินซินเจี๋ยส่งเสียงบ่นไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
“ตอนข้าแนะนำให้ข้ามเขาทะลุ ไม่ใช่ว่าเจ้าเห็นด้วยกับข้านักหนาหรือ กล่าวว่าในป่ามีดอกไม้ฤดูไม้ผลิให้ชม เดินผ่านความเขียวชอุ่มเที่ยวเล่นบนภูเขา ตอนนี้มากล่าวโทษข้าแล้วหรือ”
“เฮ้อ เอาล่ะๆ ตอนนั้นทุกคนล้วนเห็นด้วย เร่งฝีเท้าเดินกันดีกว่า”
หลินซินเจี๋ยเปลี่ยนเป้าหมายโจมตีทันที
“อวี้เซิงเจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ หากไม่ใช่เพราะเจ้ารั้นให้พลขับเปลี่ยนเส้นทางไปยังตรอกหินฝนหมึก พวกข้าก็ไม่ต้องอ้อมไปอ้อมมาเสียเวลาไปหลายวัน สุดท้ายถึงได้เข้ามาที่นี่!”
“พูดถูก ไม่ใช่ข้าแนะนำให้เดินทางนี้ แต่หากพวกเราไม่เดินไปทางนี้ก็ต้องกลับไปยังจังหวัดลี่ซุ่น ซึ่งนั่นใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือน!”
“พวกเจ้า…”
เหลยอวี้เซิงถูกสองคนกล่าวโทษจนพูดไม่ออก อิ๋นชิงจึงรีบเข้ามาทำลายบรรยากาศ
“ไม่ต้องพูดแล้วๆ เรื่องนี้ไม่ใช่แบบที่พวกเราคิด ใครเล่าจะรู้ว่าเขาทะลุจะมีเส้นทางเป็นหลุมเป็นบ่อ รถม้าเข้าไม่ได้ ไม่เช่นนั้นดูแท่นฝนหมึกชมดอกไม้ก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน!”
“ใช่ๆๆ พูดมีเหตุผล!”
เหลยอวี้เซิงรีบกล่าวเสริม
“เฮ้อ…นี่เป็นหายนะ พวกข้าเดาได้อยู่แล้ว”
“ใช่ ผิดที่ผู้ไม่เคยมีประสบการณ์…”
อิ๋นชิงส่ายหน้าพลางยิ้ม
“ไปเถอะๆ อย่ามัวแต่ถอนหายใจกันเลย พูดมากไม่ได้เดินทางกันพอดี ของที่พวกเราเตรียมมาก็ไม่น้อย อดทนอีกหน่อยออกจากเขาทะลุได้ก็สบายแล้ว เดินเลียบทางภูเขาไป ชมทิวทัศน์ไปก็แล้วกัน”
แม้เขาทะลุจะรกร้าง แต่มีทางภูเขาที่ไม่นับว่ากว้าง เมื่อก่อนเคยเป็นเส้นทางทองคำของยุคสมัยที่อุตสาหกรรมทอผ้าของรัฐหวั่นรุ่งเรือง ทว่าสิ่งทอในปัจจุบันขนส่งทางน้ำหรือถนนใหญ่ทางอื่นในปริมาณมากสะดวกกว่า เส้นทางทองคำสายนี้จึงค่อยๆ รกร้าง คนเดินน้อยลงเรื่อยๆ
แต่ถนนยังคงอยู่ เดินแล้วไม่มีทางหลง ระหว่างทางมีสถานพักม้าหลบลมพิงเขา ถึงส่วนใหญ่ไม่มีเพิงแล้ว กระนั้นคนเดินเท้าก็ยังใช้พักเท้าได้อยู่ดี
สี่คนเดินไป ในที่สุดก็มองเห็นสถานพักม้าแห่งหนึ่งข้างเนินเขาข้างหน้า ใกล้พังแหล่มิพังแหล่ มีไอควันสายหนึ่งพวยพุ่งออกมา เหมือนกำลังมีคนจุดไฟอยู่
“ไปๆๆ เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว คืนนี้นอนที่นั่นแหละ”
“เดินเร็วๆ เหมือนกับมีคนอยู่ที่นั่นด้วย ดูสิว่าจะขอน้ำร้อนๆ ดื่มสักถ้วยได้หรือไม่!”
อิ๋นชิงก็ตื่นเต้นเหมือนกับคนอื่นๆ เร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า ราวกับได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงสนทนา ทางเข้าสถานพักม้ามีคนถือขวานออกมาสองคน คนหนึ่งมองผู้ม้าเยือนด้วยสีหน้าระแวดระวัง เห็นเป็นบัณฑิตสี่คนก็วางใจลงได้บ้าง ก่อนจะหันกายกลับเข้าไปในสถานพักม้า
ถึงในสถานพักม้ายังมีโต๊ะเก้าอี้อยู่จำนวนหนึ่ง ทว่าค่อนข้างกว้างขวางทีเดียว แต่ละฝั่งยาวประมาณห้าจั้งได้ เท่ากับพื้นที่สองร้อยตารางเมตรในชาติก่อนของจี้หยวน มุมหนึ่งวางตะกร้าสะพายหลังไว้จำนวนหนึ่ง บนนั้นคลุมไว้ด้วยเสื้อผ้าและหมวกไม้ไผ่ ท่าทางคนกลุ่มนี้น่าจะเป็นพ่อค้าเร่
“ท่านลุงลู่ สี่คนที่มาข้างนอกท่าทางเหมือนบัณฑิต สวมเสื้อแขนยาวแบกกล่องตำรา ปากแดงฟันขาว น่าจะเป็นบัณฑิตจริงๆ”
สองคนที่เข้ามารายงานคนที่อยู่ข้างใน
“อืม นั่งลงเถอะ”
ไม่นานเท่าไหร่นักพวกอิ๋นชิงก็เข้าไปในสถานพักม้า มองเห็นสิบกว่าคนข้างใน แทบทุกคนมีขวานอยู่ข้างกาย จึงพากันมองพวกของตนเอง หัวใจเต้นแรงขึ้นมาในทันที
อิ๋นชิงมองสหาย จากนั้นก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“พวกข้าเป็นบัณฑิตที่ทัศนศึกษาผ่านมา หนทางบนภูเขาเดินยาก อยากพักหลบลมสักครู่หนึ่ง ไม่ทราบว่าทุกท่านสะดวกหรือไม่”
ชาวชราผมขาวคนหนึ่งพิจารณาอิ๋นชิง จากนั้นกล่าว
“สถานพักม้ากว้างขวาง พวกข้าพ่อค้าเร่สิบกว่าคนครองพื้นที่ไม่เท่าไหร่ คุณชายทุกท่านเชิญตามสบายเถอะ!”
“ขอบคุณมาก!”
อิ๋นชิงประสานมือ สามคนข้างๆ ก็รีบประสานมือคารวะเช่นกัน
“ขอบคุณมาก!”
“ขอบคุณมากๆ!”
ครืน…
ทันใดนั้นเกิดเสียงฟ้าร้อง ทำเอาบัณฑิตสองคนที่อยู่ข้างนอกตกใจร้องเสียงดัง ฝ่ายพ่อค้าเร่เหล่านั้นได้ยินแล้วหัวเราะร่า
“ฝนจะตกแล้ว…”
หัวหน้ากลุ่มพ่อค้าเร่กล่าวขึ้น