ตอนที่ 217 จดหมายจากเมื่อหลายปีก่อน
เสียงฟ้าร้องครั้งที่สองดังขึ้น แม้จะแผ่วลงแล้วไม่น้อย ทว่ายังคงดังก้องอยู่ระหว่างภูเขา
หลินซินเจี๋ยและเหลยอวี้เซิงจัดเสื้อผ้าอย่างเก้ๆ กังๆ ท่าทางหวาดกลัวทำอะไรไม่ถูกเมื่อครู่นี้น่าขายหน้าอยู่บ้างจริงๆ
อิ๋นชิงและสหายร่วมห้องสามคนเดินเข้าใกล้กันและกันกว่าเดิม เรียนรู้วิธีการของพ่อค้าเดินเท้าเหล่านั้น เลื่อนโต๊ะสองตัวไปที่มุมหนึ่ง คว่ำมุมแหลมลงอย่างชัดเจน จากนั้นวางกล่องตำราไว้ด้านหนึ่ง
โต๊ะเก้าอี้ที่เหลือที่นี่วางลงแล้วกันลมได้ เมื่ออากาศเย็นชื้นก็ยกขึ้นจากพื้นได้ ในสถานการณ์ที่ยากลำบากยังสับใช้เป็นฟืนได้อีก
“โม่ซิว พวกเราไปเก็บฟืนมาจุดไฟกันเถอะ กลางคืนกลางเขาต้องหนาวแน่”
อิ๋นชิงเสนอกับสหายคนหนึ่ง จากนั้นกล่าวกับเหลยอวี้เซิงและหลินชินเจี๋ยที่คิดพูดจาว่า
“พวกเจ้าจัดการอยู่ที่นี่เถอะ ทำความสะอาดพื้นที่ หรือไม่ก็ย้ายโต๊ะหลายตัวมาอีก คืนนี้จะได้หลับสบาย”
เมื่อฟังดังนั้นแล้ว หลินชินเจี๋ยพลันขมวดคิ้ว
“ต้องยุ่งยากอะไรขนากนั้น พวกเราไม่ได้ขอให้พลขับก่อนหน้านี้ซื้อขวานให้หรือ สับโต๊ะเก้าอี้ที่นี่แทนฟืนจุดไฟก็ใช้ได้แล้วกระมัง”
“ใช่ เดินนานกว่าครึ่งวันเหนื่อยแย่ อีกทั้งอีกเดี๋ยวก็จะฝนตกแล้ว พวกเจ้าออกไปต้องลำบากมากแน่!”
อิ๋นชิงนั่งยองลงหยิบขวานออกจากกล่องตำราของตนเอง ยิ้มพลางส่ายหน้า
“พวกเจ้าไม่คิดเลยหรือว่าไยนานขนาดนี้แล้วในพื้นที่รกร้างถึงยังมีโต๊ะเก้าอี้มากมายขนาดนี้ หากทุกคนสับมันเป็นฟืนเสียหมด คนเดินเท้าหลังจากนี้ต้องไม่สะดวกเป็นแน่! หากไม่จำเป็นจริงๆ ข้าว่าอย่าสับทำลายดีกว่า ถือโอกาสตอนที่ฝนยังไม่ตก ฟ้ายังไม่มืด พวกข้ารีบออกไปหาฟืนสักหน่อย…”
พูดแล้วอิ๋นชิงก็เข้าไปใกล้เหลยอวี้เซิงและหลินซินเจี๋ย กดเสียงเบาพูดขึ้น
“ดูกล่องตำราให้ดี”
“อืม พวกเจ้าไปเถอะ!”
“ใช่ รีบไปรีบมา!”
อิ๋นชิงหยิบขวานขึ้น เรียกโม่ซิวแล้วเดินออกไป ปล่อยให้สองคนนั้นดูกล่องตำราก็เรื่องหนึ่ง ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นเป็นเพราะทั้งสองคนเป็นคุณชายตัวจริงที่ไม่เคยทำอะไรเลยตั้งแต่เล็ก เดินแค่ครึ่งวันก็เหนื่อยแทบแย่แล้ว
โม่ซิวอย่างน้อยก็มีพละกำลังอยู่บ้าง แม้อิ๋นชิงเองมีสีหน้าเหนื่อยล้า แต่ก็นับว่าเป็นคนมีแรงเหลือมากที่สุดแล้ว
ท่ามกลางกลุ่มพ่อค้าเดินเท้าทางนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของอิ๋นชิงเมื่อครู่แล้ว ผู้อาวุโสหลายคนตั้งใจหันมองพิจารณาเขา ถึงไม่มีใครพูดอะไรเลย แต่ความประทับใจที่มีต่อบัณฑิตคนนี้เพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด
ตอนอิ๋นชิงและโม่ซิวออกจากสถานพักม้าต่างรู้สึกได้ว่าข้างนอกลมแรงแล้ว เงยหน้ามองเมฆดำดูเหมือนอยู่ใกล้อันเนื่องจากยอดเขาสูงล้อมรอบจำนวนหนึ่ง มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นเรื่อยๆ
“ไปใกล้ๆ ทางลาด”
“อืม!”
สองขนถกแขนเสื้อ ใช้เชือกที่นำออกจากกล่องตำรามัดแขนเสื้อก่อนค่อยไปยังทางลาด
บนภูเขาไม่ขาดฟืน อิ๋นชิงและโม่ซิวเก็บกิ่งไม้หลากหลายขนาดได้มาก มีบ้างที่ตัดลงจากต้นไม้ จากนั้นใช้ขวานผ่าออกจำนวนหนึ่ง แล้วพยายามใช้เชือกมัดให้ได้มากที่สุด เพียงเวลาครึ่งเค่อกว่าก็เก็บได้กองหนึ่งแล้ว
ครืน…
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นยิ่งกว่าเดิม ลมแรงขึ้นเช่นกัน โม่ซิวยังคงเก็บฟืนอยู่ แต่อิ๋นชิงหยุดมือแล้ว
“โม่ซิว ไม่ต้องเก็บแล้ว ฝนกำลังจะตก รีบกลับเถอะ!”
“เอ๋? เก็บได้น้อยเท่านั้นจะไปพออะไร!”
“ขืนไม่กลับไปอีกเดี๋ยวต้องกลายเป็นไก่ตกน้ำแกงแน่ ฝนตกบนภูเขาไม่ใช่เรื่องล้อเล่น!”
สองคนยกฟืนกองนั้นเดินไป ระหว่าทางมีกิ่งไม้ท่อนไม้อะไร โม่ซิวยังคงขึ้นรวมกับกองฟืนเดิม
ตอนเดินไปถึงสถานพักม้า ประตูไม้ผุๆ บานนั้นแง้มไว้ เหลือช่องเล็กนิดเดียว
เอี๊ยด…
สองคนร่วมแรงกันดันประตู ประตูไม้เก่าเสียดสีกับพื้นเกิดเสียงดัง เหลยอวี้เซิงและหลินซินเจี๋ยที่อยู่ตรงนั้นรีบลุกขึ้นเดินไป ช่วยยกฟืนแล้วค่อยปิดประตู
ตอนนี้อิ๋นชิงและโม่ซิวถึงค่อยรู้ตัวว่าข้างนอกประตูลมแรงหวีดหวิว เดิมทีก็ลมแรงอยู่แล้ว
“เจ้าหนุ่ม หากฟืนไม่พอพวกข้ามีอีก เป็นฟืนแห้ง หากอยากใช้จุดไฟก็มาหยิบไปใช้ได้”
เห็นบัณฑิตสี่คนยุ่งมือเป็นระวิง ชายชราตระกูลลู่ท่ามกลางกลุ่มพ่อค้าเร่จึงกล่าวกับพวกเขา
พ่อค้าเร่ไม่ใช่เศรษฐี สิ่งที่ได้มาเป็นเงินอันเกิดจากความยากลำบาก เดินท่องเหนือล่องใต้อะไรล้วนเตรียมพร้อม สถานที่มีฟืนก็จะจุดไฟ หากไม่มีในตะกร้าก็มีฟืนพอใช้สำหรับหลายครั้ง
บัณฑิตสี่คนเผยสีหน้าปีติในทันที กล่าวขอบคุณไม่ขาดปาก
หลังจากนั้นประมาณครึ่งเค่อ ในที่สุดฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ สถานพักม้าแห่งนี้รกร้างมานาน แต่ตรงที่ฝนรั่วกลับมีไม่มาก แทบมีเพียงตรงมุมใกล้ข้างนอกเท่านั้น ส่วนตรงที่อิ๋นชิงและเหล่าพ่อค้าเร่อยู่ล้วนไม่เป็นไร
ไฟสองกองเต้นเร่าอยู่ในสถานพักม้า อิ๋นชิงใช้อิฐในสถานพักม้าต่างเตา ใช้หม้อรองน้ำฝนเลียนแบบพ่อค้าเร่บางคน จากนั้นนำมาต้มน้ำ
ยามฝนตกบนภูเขาท้องฟ้ามักมืดเร็ว พ่อค้าเร่เตรียมพร้อมอย่างชัดเจน จุดไฟข้างใน บนราวข้างนอกพาดเสื้อและหมวกไม้ไผ่ อีกทั้งล้อมไว้ด้วยโต๊ะเก้าอี้
พวกอิ๋นชิงคนน้อย ผิงไฟแล้วไม่หนาว เตรียมอาหารแห้งมาเช่นเดียวกับพ่อค้าแร่ จึงนำมาเสียบไม้ย่างหมั่นโถว
“คืนนี้ไม่นับว่าลำบาก พอนอนได้อยู่”
เหลยอวี้เซิงพูดเช่นนี้ จากนั้นหยิบตำราเล่มหนึ่งออกจากกล่องตำรา หันหน้าเข้าหาแสงไฟเริ่มอ่าน
หลังจากนั้นสองชั่วยามได้ อิ๋นชิง โม่ซิว และหลินซินเจี๋ยยังคงเบิกตาโพลงอยู่ข้างกองไฟ ส่วนเหลยอวี้เซิงใช้ตำราหนุนเป็นหมอนฟุบหลับอยู่บนโต๊ะแล้ว
“ข้าล่ะนับถืออวี้เซิงจริงๆ…”
หลินซินเจี๋ยกล่าวขึ้น โม๋ซิวที่อยู่ข้างๆ หัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก
“เมื่อครู่เขายังพูดอยู่เลยไม่ใช่หรือ ว่าคืนนี้จะไม่มีทางหลับ”
ทางฝั่งพ่อค้าเร่ก็มีบางคนเอนตัวลงนอนแล้ว ถึงขนาดกรนเสียงดังอยู่บ้าง ชัดเจนว่าหลับสนิทมาก แต่โดยพื้นฐานแล้วมีคนนอนหลับ คนเฝ้ายามกลางคืนจะพูดคุยกันเสียงเบา
“ท่านลุงลู่ ท่านว่าบัณฑิตเหล่านั้นมาจากที่ใด ฟังสำเนียงพูดแล้วไม่ค่อยเหมือนคนรัฐหวั่น”
มีคนชำเลืองมองทางนั้น ถามด้วยความใคร่รู้
“นั่นข้าไม่รู้หรอก อย่างไรเสียก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเรา”
“บัณฑิตสอบได้นั่นต้องเป็นขุนนาง ท่านลุงลู่ ท่านว่าเมื่อไหร่ข้าจะรวยบ้าง จากนั้นถึงไปเรียนหนังสือได้ แล้วค่อยสอบเป็นขุนนางอะไรก็ได้ บั้นปลายชีวิตจะได้มีอำนาจร่ำรวยกับใครเขา”
ชายชราตระกูลลู่มองเขาก่อนจะมองบัณฑิตทางนั้น
“อืม ใกล้แล้ว อีกสักพักมีคนลุกขึ้นเฝ้ายามแทนเจ้าก็ใช้ได้แล้ว”
ชายหนุ่มเกาศีรษะ ไม่เข้าใจอยู่บ้างว่าลุงลู่พูดอะไร รู้สึกว่าเขาตอบไม่ตรงคำถาม กลับได้ยินอิ๋นชิงทางนั้นหัวเราะครืนขึ้นมา
ชายชราตระกูลู่ถอนหายใจให้ชายหนุ่มผู้นั้น
“เฮ้อ สมองเจ้าย่ำแย่ยิ่งนัก!”
ตอนนี้เอง ประตูสถานพักม้าพลันมีเสียงเคาะดังมา
ก๊อกๆๆ…ก๊อกๆๆ…
“มีคนอยู่หรือไม่ เห็นแสงไฟแล้ว!”
เสียงเล็กแหลมและเสียงเคาะประตูทำให้พ่อค้าเร่ที่เดิมทีหลับอยู่ตกใจตื่น
“ประตูไม่ได้ลงกลอน เปิดเข้ามาเลยก็ได้!”
เพิ่งสิ้นเสียงพ่อค้าเร่ก็มีคนเปิดประตูจากข้างนอก ทำให้ประตูไม้ระพื้นขณะถูกดัน
เอี๊ยด…เอี๊ยด…
ครืน
“กรี๊ด…”
ขณะที่สายฟ้าส่องสว่างประตูหน้า มีเสียงหวีดร้องของสตรีดังขึ้น เงาคนหลายสายตรงประตูรีบเข้าไปในสถานพักม้า จากนั้นดันประตูปิดไว้อย่างดีอีกครั้ง
อาศัยแสงจากกองไฟข้างใน พ่อค้าเร่และบัณฑิตล้วนมองออกว่าเป็นสตรีสามคน แม้มีร่ม แต่ตอนนี้บนกายเปียกชุ่มไม่น้อยอย่างชัดเจน กำลังถูแขนไปมา ท่าทางหนาวมาก เสื้อผ้าแนบบางแห่งบนร่างกาย มองเห็นความอรชรอ้อนแอ้นได้
“ให้พวกข้าผิงไฟหน่อยได้หรือไม่”
หญิงสาวผู้นำกลุ่มมองอีกสองคน จากนั้นถามเสียงหนึ่ง
ทางฝั่งพ่อค้าเร่แม้ส่วนใหญ่จ้องร่างกายและใบหน้ารูปไข่ของพวกนางสามคนเขม็ง แต่ทุกคนแทบจับขวานไว้ทั้งสิ้น ไม่ได้พูดอะไรมากมาย
ฝ่ายบัณฑิตรวมถึงอิ๋นชิงและเหลยอวี้เซิงที่เพิ่งตื่น ทั้งสี่คนมองสตรีเหล่านั้นเหมือนกันหมด ทว่าอิ๋นชิงที่อายุน้อยที่สุดได้รับการขัดเกลาอย่างเข้มงวดจากมารดาจึงไม่มองจ้องพวกนางตรงๆ
ดังนั้นสตรีสามคนเดินไปทางบัณฑิตโดยปริยาย
เหลยอวี้เซิงรีบลงจากบนโต๊ะ นั่งเรียบร้อยที่ข้างกองไฟ ส่วนหลินซินเจี๋ยย้ายเก้าอี้มาแล้วใช้ผ้าเช็ดฝุ่น
“เจ้าหนุ่ม พวกเจ้าล้วนเป็นบัณฑิต ชายหญิงใกล้ชิดกันไม่ได้นะ!”
ชายชราตระกูลหลู่พลันพูดขึ้น ประสบการณ์มากความระแวดระวังย่อมมากตาม อยู่กลางป่าเขามาค่อนขึ้น จู่ๆ มีหญิงสาวสามคนโผล่มา ไม่ว่ามองอย่างไรก็แปลกมาก
อิ๋นชิงกล่าวตามสถานการณ์ทันที
“ผู้อาวุโสตักเตือนถูกต้อง แม่นางหลายท่านตากฝนจนตัวเปียก ต้องการพื้นที่ส่วนตัวสำหรับผิงไฟ จริงสิผู้อาวุโส หากพวกข้าไม่มอบกองไฟให้พวกนาง บัณฑิตอย่างพวกข้าคงต้องถูกตราหน้าว่าไร้มารยาท เช่นนั้นไปนั่งเบียดกับพวกท่านได้หรือไม่ พวกเจ้าว่าอย่างไร”
อีกสามคนมองอิ๋นชิง เงียบเสียงไม่ตอบความ
“ไม่เลวๆ เช่นนั้นคนหนุ่มอย่างพวกเจ้ามาตรงนี้เถอะ!”
อิ๋นชิงประสานมือให้ผู้อาวุโส จากนั้นถลึงตามองสหายสามคนอย่างดุร้าย ก่อนจะลากพวกเขาเดินไปทางนั้น
“ไอ้หยา…พวกข้าไม่ถือสาหรอก…”
มีหญิงสาวนางหนึ่งพูดขึ้นมาทันที
“แต่พวกข้าถือ! เกียรติของสตรีไม่ใช่เรื่องเล็ก!”
อิ๋นชิงอดไม่ได้ที่จะพูด ขณะเดียวกันลากพวกของตนเองไปทางฝั่งพ่อค้าเร่ แม้กระทั่งกล่องตำราก็ไม่ได้หยิบมาด้วย ตอนนี้เขามีน้ำโหเสียงดังน่าตกใจ บัณฑิตสามคนที่คิดอิดออดต้องยอมให้เขาลากไป
สตรีสามคนตกตะลึงอยู่บ้างอย่างชัดเจน เนิ่นนานให้หลังผู้นำกลุ่มถึงหัวเราะออกมา หยอกเย้าว่า “ช่างเป็นบัณฑิตโง่เสียจริง!” จากนั้นพาสตรีอีกสองคนเดินไปนั่งลงตรงกองไฟที่แต่เดิมเป็นของพวกอิ๋นชิง มองกล่องตำราทั้งสี่ตามสัญชาตญาณ
อีกด้านหนึ่ง ผู้อาวุโสหลู่พยักหน้าให้อิ๋นชิง ให้พวกเขานั่งตรงว่างใกล้กองไฟ ใช้เสียงที่เบาสุดขีดกล่าวว่า
“ออกไปอยู่ข้างนอก ระวังได้โดยสารเรือหมื่นปี!”
อิ๋นชิงเพียงประสานมือ ไม่ได้พูดอะไร ตอนนี้แตกต่างกับคนอื่น เขาเหมือนกับได้กลิ่นสาบสายหนึ่ง นี่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสตรีที่มีร่างมนุษย์หลายคนนี้
เวลาผ่านไป นอกจากเขานั่งอ่านตำราอยู่ริมแม่น้ำ บางครั้งสนทนากับเต่าเฒ่าบนผิวแม่น้ำตอนที่ไม่มีคนอยู่อยู่หลายคำ ได้ยินเต่าเฒ่าจากแม่น้ำวสันต์เล่าว่า อย่ามองว่าต้าเจินสงบสุข ความจริงแล้วมีภูตและปีศาจอยู่ตามป่าเขานับไม่ถ้วน ไม่ขอพูดว่ามีพลังแก่กล้าหรืออ่อนด้อย ขอเพียงเป็นพวกที่ฝึกตนจนแปลงกายเป็นร่างคนได้ก็ถือว่ามีมรรควิถีไม่ต่ำต้อยแล้ว
แน่นอนว่าการแปลงกายได้เกิดจากการฝึกฝนเป็นสำคัญ ร่างคนของภูตบางตนเกิดจากวิชาลวงตา ร่างเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลง ทว่ามนุษย์มองไม่ออกเท่านั้นเอง
จากนั้นมีวิธีการจำพวก ‘สังเวย’ สำหรับหลอกล่อมนุษย์ ใช้วิธีขโมยฟ้าเปลี่ยนวันฉกฉวยปราณหยางหรือปราณวิญญาณ บางคนอายุขัยลดลง บางคนส่งผลร้ายถึงชีวิต
ใกล้ชาดติดสีแดง ใกล้หมึกติดสีดำ อิ๋นชิงนับว่าได้สัมผัสเรื่องราวมากหลายมาแล้ว รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าสตรีสามคนนี้มีปัญหา
เสียงตึงดังขึ้น กล่องตำราหนึ่งล้มลง หินหมึกและสิ่งของต่างๆ ภายในนั้นหล่นออกมา
“ไอ้หยา…นี่เป็นของของคุณชายท่านใด ข้าไม่ทันระวังทำตกแล้ว!”
สตรีนางหนึ่งพูดด้วยความร้อนใจ
“ของข้าๆ! โอ้ อย่าเหยียบกระดาษนะ!”
“อ๊ะ…อย่าเหยียบ!”
โม่ซิวพลันรู้สึกกังวล รีบวิ่งเข้าไป ฝ่ายอิ๋นชิงร้องเรียกเขา ทว่ารั้งเขาไว้ไม่ทัน
แต่โม๋ซิวเดินไปถึงตรงนั้นแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น หญิงสาวช่วยเขาเก็บกล่องตำราพลางกล่าวขอโทษ เห็นในกล่องตำรามีเสื้อผ้าของโม่ซิวด้วย นางพลันถามขึ้นว่า
“คุณชาย เสื้อผ้าข้าเปียกหมดแล้ว ทั้งหนาว ทั้งทรมาน ขอยืมเสื้อผ้าของท่านสวมใส่ได้หรือไม่”
“เอ๋? เอ่อ…อืม…”
โม่ซิวมองสภาพเสื้อแนบกายของหญิงสาว ใบหน้าร้อนเล็กน้อย รีบเปิดกล่องตำราอีกครั้งเพื่อหยิบเสื้อผ้าให้อีกฝ่าย
“แล้วพวกข้าเล่า…คุณชายทั้งหลายให้ยืมเสื้อผ้าบ้างได้หรือไม่”
สตรีสองคนแสร้งทำเป็นอ่อนแออยู่ข้างๆ
อิ๋นชิงร้อนใจมาก มองผู้อาวุโสหลู่ครั้งหนึ่ง จากนั้นลุกขึ้นทำใจกล้าเดินไป เหลยอวี้เซิงและหลินซินเจี๋ยก็อยากลุกขึ้นเช่นกัน แต่เขาหันกลับไปกล่าวอย่างเข้มงวด
“นั่งลง!”
เมื่อพูดจบแล้ว ตอนอิ๋นชิงหมุนกายไปเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้ม รีบเร่งฝีเท้าเดินไป
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้ามีเสื้อผ้าอยู่หลายชุด ให้แม่นางสองชุดเลย!”
หญิงสาวสามคนอมยิ้ม
“เช่นนั้นก็ขอบคุณคุณชายมาก!”
“อืม ไม่เป็นไร!”
อิ๋นชิงนั่งยองลง ใช้ความระแวดระวังชนิดที่ไม่เคยสัมผัสสตรีมาก่อน ปกปิดเหงื่อที่ความจริงผุดออกมาบนหน้าผากเพราะความลนลาน
พริบตานั้นเขามองเห็นสตรีนางหนึ่งนั่งยองมองเขาอยู่ข้างๆ ใต้กระโปรงด้านหลังคล้ายกับมีอะไรบางอย่างขยับอยู่ กลิ่นฉุนไม่ชัดเจนลอยมาเตะจมูกอีกครั้ง ทำให้เขาเคลื่อนไหวอย่างเร่งรีบเช่นกัน
‘เจอแล้ว!’
สิ่งที่อิ๋นชิงควานหาเจอคือจดหมายฉบับหนึ่ง เป็นจดหมายที่จี้หยวนออกจากอำเภอหนิงอันครั้งแรกแล้วส่งให้อิ๋นจ้าวเซียน ตอนอิ๋นจ้าวเซียนไปที่รัฐหวั่น เขามอบมันให้อิ๋นชิง นอกจากให้บุตรชายคัดลายมือแล้ว ยังเป็นแรงจูงใจอย่างหนึ่งด้วย
อิ๋นชิงแอบหยิบจดหมายออกมาจากซองจดหมายเก่า จากนั้นซ่อนมันไว้ในเสื้อผ้าตนเองแล้วนำออกมา
“เสื้อผ้าชุดนี้ไม่ทราบว่าใช้ได้หรือไม่”
“คลุมร่างกายข้าได้ก็เพียงพอแล้ว…”
สตรีนางหนึ่งหัวเราะคิกคักพลางรับเสื้อผ้ามาเขย่าดู จดหมายฉบับหนึ่งตกลง
วาบ
แสงวิญญาณเจือความน่าเกรงขามสายหนึ่งสว่างวาบบนกระดาษจดหมาย
“กรี๊ด…”
“กรี๊ด…”
“กรี๊ด…”
สตรีสามคนพลันตกใจกระโดดออกห่างจากกองไฟ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ไอ้หยา จดหมายของท่านจี้ตกลงมาแล้ว ต้องโทษที่ข้าเก็บมันไม่ดี!”
เสียงประหลาดใจของอิ๋นชิงดังขึ้น หลังจากแน่ใจแล้วว่าจดหมายฉบับนี้มีประโยชน์จริง เขาถือโอกาสหยิบจดหมายที่ตกลงบนพื้นขึ้นมาไว้ในมือ ในสายตาของเขาตัวหนังสือทุกตัวคล้ายกับกะพริบประกายแสงบางเบา
จดหมายของจี้หยวนในปีนั้นแม้ไม่มีบัญชา แต่เจตจำนงและปราณวิญญาณที่ฝากเอาไว้หลายปียังคงรวมอยู่ไม่จางหาย