ตอนที่ 219 ดุร้ายยิ่งกว่าปีศาจ
อิ๋นชิงเข้าใจอยู่รางๆ ว่าจดหมายฉบับนี้ยกระดับจิตใจได้ เงื่อนไขข้อแรกคือจิตใจของตนเองไม่พังทลาย จะเป็นเหมือนกับสถานการณ์ที่ทุกคนส่วนใหญ่หวาดกลัวแบบเมื่อครู่นี้ไม่ได้
แต่ตอนนี้อิ๋นชิงร้อนใจมากแล้วเช่นกัน เพราะบทเพลงต้องร้องจบเสมอ แม้ขณะนี้จิตใจของพ่อค้าเร่จะทรงพลังมาก ทำให้ภูตปีศาจสามตนล้วนตกใจกลัวได้ ทว่าหลังจากนี้เล่า
“แฮ่…”
“แฮ่…”
จนถึงช่วงเวลานี้ สตรีสามคนไม่แสร้งทำอีกต่อไป แต่ละคนแยกเขี้ยวส่งเสียงคุกคามราวกับสัตว์ป่าออกมาจากลำคอ ถึงขนาดที่ว่าทุกคนมองเห็นสีขนบนใบหน้าของแต่ละคนรางๆ จากการช่วยเหลือของท่วงทำนองวิญญาณบนจดหมาย
สถานการณ์แบบนี้แม้ทำให้รู้สึกขนลุก แต่ก็ทำให้พวกพ่อค้าเร่ยกขวานทำมุมกว้างมากกว่าเดิมแล้ว
เมื่อร้องเพลงจนถึงช่วงสุดท้าย พวกเขาทั้งหมดเคาะขวานเป็นเสียงเดียวกัน
อิ๋นชิงรู้สึกว่าแปลกอยู่บ้าง เพิ่งคิดพูดอะไรบางอย่าง กลับพบว่าพ่อค้าเร่ทุกคนลุกขึ้นยืนแล้ว
“ถุยๆ…”
ชายชราตระกูลลู่ถ่มน้ำลายใส่ฝ่ามือทั้งสองข้าง
“ถุยๆ…”
“ถุยๆ…”
“ถุยๆ…”
พ่อค้าเร่ที่เหลือต่างถ่มน้ำลายใส่มือตนเองเช่นกัน จากนั้นกำด้ามขวานแน่นกว่าเดิม
“กลัวอะไรที่ไหน!”
“มารดาสิเข้ามาเลย!”
“ร้ายกาจกว่าโจรภูเขาแล้วอย่างไร!”
“ไม่เลว!”
…
พ่อค้าเร่ทั้งหมดกล่าววาจาหยาบคาย พากันถือขวานก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่การสร้างสถานการณ์ข่มขวัญ ทำเอาอิ๋นชิงและเพื่อนร่วมห้องสามคนตกตะลึง
มีคำกล่าวในหมู่พ่อค้าเร่รอบจังหวัดลี่ซุ่นในยุคนี้ ‘เพลงขวานปลุกใจ ร้องจบยกขวานเข้าสู้’
พวกเขาเป็นกลุ่มคนแบกสิ่งของไว้บนหลังและเดินทางไปทั่วภูเขาแม่น้ำที่แห้งแล้งเพื่อทำมาหากิน หากกลุ่มไหนคนน้อยก็มีกันสิบกว่าคน หากกลุ่มไหนคนมากก็มีกันเกือบร้อยคน เมื่อต้องใช้กำลังขึ้นมาจริงๆ ย่อมกล้าอาศัยขวานในมือตัดสินชีวิตกับโจรภูเขาเช่นกัน
และพ่อค้าเร่ส่วนมากมีการสืบทอด บ้างเป็นเส้นทางค้าขาย บ้างเป็นเพียงความรู้ บางคนอาจมีวิชายุทธ์ตื้นเขินและวิชาคุณไสยจำนวนหนึ่ง ล้วนสืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น
หากเป็นสถานการณ์ทั่วไป ต่อให้เป็นคนร่างใหญ่ขวางทาง เห็นพวกพ่อค้าเร่ร้องเพลงขวานทุบพื้นดินก็เลือกถอยหนีทั้งนั้น
พูดตามตรงว่าหากเหล่าพ่อค้าเร่ไม่ทำการค้าขาย ไปกลายเป็นโจรอยู่ที่ไหนก็ดีกว่าชาวนาร่างใหญ่ที่เอาตัวรอดจากโจรภูเขาไม่ได้อย่างแน่นอน
อิ๋นชิงพบว่าแสงวิญญาณบนจดหมายในมือยังไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ความฮึกเหิมของกลุ่มพ่อค้าเร่ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ภายใต้แสงจากกองไฟ เงาของพ่อค้าเร่ดูเหมือนมีกลุ่มควันจางๆ ลอยออกมา
“สตรีสามคนอย่างพวกเจ้าดูไม่เหมือนคนนะ!”
“แต่ก็ไม่เหมือนผีเช่นกัน!”
“สับละเอียดแล้วจะไปรู้อะไรอีกเล่า!”
“ฮ่า…”
“บุก!”
“ฟันพวกนางให้ตาย!”
เมื่อครู่เห็นสตรีสามคนนี้มีดวงตาสีเขียวและมีขนบนใบหน้า ไม่มีใครคิดว่าพวกนางเป็นคนโดยสิ้นเชิง ตอนนี้พ่อค้าเร่ทุกคนต่างฮึกเหิมอย่างน่าประหลาด เมื่อดุดันขึ้นมายิ่งน่ากลัวสร้างความกดดันได้เป็นอย่างยิ่ง
ปราณดุร้ายรุนแรงสายหนึ่งต่างพุ่งเข้าใส่สตรีสามคน
ภาพนี้ไม่เพียงทำให้พวกอิ๋นชิงตะลึงงัน ภูตจิ้งจอกทั้งสามก็เพิ่งเจอเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรกอย่างเห็นได้ชัด เมื่อปราณดุร้ายพุ่งเข้าใส่ พวกนางพลันตกใจกลัวหลีกลี้กันไปคนละทิศทาง
พวกนางเผยความกลัวออกมา เหล่าพ่อค้าเร่ยิ่งได้ใจ
“พวกนางกลัวพวกเรา!”
“ฮ่าๆๆๆ พวกนางกลัวพวกเรา!”
ชายหนุ่มสามสี่คนแกว่งขวานเดินจ้ำอ้าวไปทางสตรีในชุดกระโปรงสีเขียว ไม่เสียดายของสวยงามอะไรแล้ว พุ่งไปข้างหน้าทั้งศีรษะและลำตัว
“กรี๊ด…”
สตรีกรีดร้องพร้อมหลบหนี อีกด้านหนึ่งก็มีสถานการณ์ใกล้เคียงกัน ถูกรุกคืบจนต้องลี้ภัย ปราณดุร้ายเหมือนงูพรรค์นี้ทำให้วิชาลวงตาของจิ้งจอกเหล่านี้ไม่ได้ผลเท่าไหร่
ภูตจิ้งจอกทั้งสามเชี่ยวชาญวิชาลวงล่อเล็กน้อย เมื่อวิธีการเหล่านี้ไม่ได้ผลยิ่งทำให้ภูตจิ้งจอกตระหนก ฝ่ายชายหนุ่มทั้งกลุ่มไม่มีความคิดอื่นใด ในใจมีแต่คำว่าฟันๆๆ ต้องการฟันปีศาจให้ตาย
มุมมองของอิ๋นชิงตอนนี้เหมือนกับมองเห็นหูอวิ๋นกลัวสุนัข ปากตะโกนเตือนเสียงดัง
“ทั้งสามเป็นภูตจิ้งจอก เมื่อครู่ข้ามองเห็นหางจิ้งจอกแล้ว!”
“ที่แท้เป็นภูตจิ้งจอกนี่เอง มิน่าเจ้าเล่ห์ขนาดนี้!”
“มีกลิ่นสาบจิ้งจอกด้วย!”
“ฮ่าๆๆๆ ฆ่าจิ้งจอกแล้วถลกหนังไปขายดีกว่า”
“ตายซะ!”
ชายหนุ่มตัวใหญ่คนหนึ่งโบกขวานอย่างดุดัน กดอัดสตรีสามคนจนจนมุม เขาไม่ได้มีวิชายุทธ์ที่ยอดเยี่ยมอะไร หลายครั้งแกว่งขวานมั่วซั่ว ทว่าสตรีที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเห็นแล้วกลับรู้สึกกลัว
พ่อค้าเร่มักจะถูกเตะหรือตี เมื่อถูกจู่โจมจนต้องถอยเพราะความเจ็บปวดก็จะมีคนเข้ามาต้านให้โดยการถือขวานเข้ามา ถึงขนาดมีคนไม่สนใจอะไร โดนต่อยหนึ่งครั้งก็ต้องฟาดขวานกลับไปหนึ่งครั้ง แต่มองดูแล้วกลับแขนขาเล็กบอบบาง
แควก…
มีคนใช้ขวานฟันชุดกระโปรง ทำให้มองเห็นหางขนาดใหญ่
“หาง หางจิ้งจอกโผล่ออกมาแล้ว!”
ในสถานการณ์วุ่นวายแบบนี้ มีคนพบว่าเสื้อผ้าเหี่ยวเฉาลงแทบจะในพริบตาเดียวกับที่ฟันสตรี จิ้งจอกตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากในชุดกระโปรง ส่วนสตรีอีกสองก็คืนร่างเดิมแล้วเช่นกัน
“เป็นจิ้งจอกจริงๆ!”
“จับพวกมันเอาไว้!”
จิ้งจอกสามตัวกระโดดไปมาเพราะความตื่นตัว ใช้กรงเล็บและกัดแหลมทำร้ายคนไปหลายคน
หนึ่งตัวในนั้นอ้าปากต้องการกัดคอผู้อาวุโส ปรากฏว่าถูกผู้อาวุโสลู่จับหางจิ้งจอกแล้วเหวี่ยงลงบนพื้นอย่างแรง
ผัวะ…
“หงิงๆๆ…”
จิ้งจอกพลิกตัวข่วนข้อมือผู้อาวุโสลู่ครั้งหนึ่ง แต่ความเจ็บทำไม่ได้ทำให้เขาปล่อยมือ กลับเพิ่มแรงยิ่งกว่าเดิม
“กล้ากัดข้ารึ เช่นนั้นเจ้าต้องตายแล้ว!”
ผู้อาวุโสลู่มีสีหน้าโกรธเคือง ทว่ายังไม่ทันเหวี่ยงขวาน
“ปุ๋ง…”
“ปุ๋ง…”
พวกจิ้งจอกผายลมออกมาอย่างพร้อมเพรียง กลิ่นเหม็นสายหนึ่งตลบอบอวล
“หงิงๆๆ…”
“หงิงๆๆ…”
เมื่อผายลมเสร็จแล้ว จิ้งจอกสามตัวพากันกระโดดออกจากความชุลมุนไปหลบอยู่ที่มุมประตูสาถานพักม้า จากนั้นแทะประตูผุพังลอดออกไปทางข้างใต้
“แค่กๆๆ…เหม็นนัก!”
“เหม็นจะตายแล้ว…”
“แค่กๆๆ…”
“แหวะ…”
“ฉุนจนแสบตาไปหมดแล้ว! อ้วก..”
“เปิดประตูออกไปๆ…อ้วก…”
“อ้วก…แค่กๆ…”
ผายลมนี้ทำให้คนเวียนศีรษะโดยสิ้นเชิง
พ่อค้าเร่ที่ร้อนใจแทบตายแล้วปิดจมูกวิ่งตามไปถึงหน้าประตู เปิดประตูแล้วมองออกไปข้างนอก
ครืน…
เสียงฟ้าร้องดังขึ้น ข้างนอกมีแต่ลมคลั่งและฝนโปรยปราย
“แหวะ…”
“พวกมันหนีไปแล้ว”
“เฮือก…เฮือก…เฮือก…”
“มารดาสิ เหม็นจริงๆ เลยโว้ย!”
“ซี้ด…เมื่อกี้ถูกกัดด้วย เจ็บเหลือเกิน ฮู่…ฮู่…เกือบเหม็นจนตายแล้ว”
“ข้าก็ถูกกรงเล็บข่วนอยู่หลายแผล แผลลึกไม่น้อยเลย…”
“สูดอากาศบริสุทธ์หน่อย”
“มารดาสิ เหม็นยิ่งนัก!”
“อ้วก…”
ชายชาตรีกลุ่มหนึ่งถ่มน้ำลายและต่อว่าที่หน้าประตูพักหนึ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งกลิ่นเหม็นจางลงแล้ว สุดท้ายพวกเขาปิดประตู จากนั้นย้ายโต๊ะตัวหนึ่งมาบังรูที่ประตูเอาไว้ด้วย
เมื่อทุกคนกลับมาที่ข้างกองไฟ ความฮึกเหิมเมื่อครู่นี้ไม่ได้จางลงเลย
“มารดาสิ พวกข้าเกือบฆ่าปีศาจได้แล้ว”
“นั่นสิ ข้าเกือบจับจิ้งจอกได้ตัวหนึ่ง”
“ฮ่าๆๆ พวกเขาก็เทียบได้กับโจรภูเขาเหมือนกันนะเนี่ย!”
“ท่านลุงลู่จับได้ตัวหนึ่งแล้ว ทว่ายังไม่ทันลงมือให้มันตายก็หนีไปเสียแล้ว”
“หนังปีศาจจะขายได้เงินมากกว่าหรือไม่”
“น่าเสียดายที่ไม่ตายเลยสักตัว!”
“เห็นด้วย”
“เอาล่ะๆ จัดการแผลก่อน”
“สัตว์เดรัจฉานน่าตาย! ตัวเหม็น กัดคนแล้วเจ็บมากอีกต่างหาก!”
พวกพ่อค้าเร่เต็มไปด้วยอารมณ์ ตอนนี้พูดคุยกันอย่างกระตือรือร้น สอดแทรกด้วยความเจ็บแค้นและคำก่นด่า ส่วนมือควานหาสมุนไพรและสุราฤทธิ์แรงจากในตะกร้าหลายใบ
อิ๋นชิงและสหายร่วมห้องเพียงขดตัวเงียบๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง พยายามไม่ปรามพวกเขา รวมถึงไม่กล้าพูดอะไร แม้มีกลิ่นฉุนเมื่อครู่นี้ก็ไม่กล้าหนี ความดุร้ายของคนกลุ่มนี้ค่อนข้างน่ากลัว รู้สึกว่าน่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจเสียอีก
“เจ้าหนุ่ม เมื่อครู่นี้ขอบคุณเจ้าด้วยนะ!”
ผู้อาวุโสลู่ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มพันแผลบนมือเสร็จแล้ว จากนั้นเข้ามาคิดกล่าวขอบคุณกับอิ๋นชิง เห็นจดหมายในมืออีกฝ่ายไม่มีแสงสว่างอะไรแล้ว ดูเหมือนจดหมายธรรมดาฉบับหนึ่ง
อิ๋นชิงรีบลุกขึ้นประสานมือ
“ควรเป็นพวกข้าที่ขอบคุณพวกท่านถึงจะถูกต้อง หากไม่ใช่เพราะทุกท่านถือขวานเข้าสู้ คืนนี้พวกเราต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่งยวดเป็นแน่”
“ใช่ๆๆ ลำบากวีรบุรุษทุกท่านแล้ว!”
ฟังเหลยอวี้เซิงเรียกว่าวีรบุรุษ ชายหนุ่มหลายคนด้านข้างปีติเช่นกัน
“ฮ่าๆๆๆ ทำให้บัณฑิตทั้งหลายหวาดกลัวแล้ว”
“บัณฑิตอิ๋น เจ้าก็ใช้ได้เหมือนกันนะ!”
“ไม่เลวๆ ไม่เหมือนกับบัณฑิตคนอื่นเลย ความฉลาดปราดเปรียวเมื่อครู่นี้ไหนเลยพวกข้าจะเทียบได้”
“มาๆๆ พวกข้ามีสุราและน้ำแกงเนื้อ พวกเจ้ามาดื่มกินด้วยกันเถอะ!”
“ใช่ๆ ไม่ต้องเกรงใจ ข้าก็ไม่ใช่คนโง่อะไร รู้ว่ายันต์ในมือบัณฑิตอิ๋นเมื่อครู่นี้ช่วยไว้ได้มาก”
“เจ้าจะไปรู้อะไร นั่นเป็นจดหมายต่างหาก”
เพราะเรื่องนี้เอง เหล่าพ่อค้าเร่จึงเปลี่ยนจากท่าทีเย็นชาที่มีต่อบัณฑิตเป็นกระตือรือร้น ด้วยกลัวว่าหลังจากนี้บัณฑิตหลายคนจะมีภาพจำเกี่ยวกับพวกเขาไม่ค่อยดี ความเหินห่างของพ่อค้าเร่และบัณฑิตในสถานพักม้าร้างถูกกำจัดทิ้งไปอย่างรวดเร็ว บรรยากาศคึกคักขึ้นมาแล้ว
บ้างคุยเรื่องภูตจิ้งจอกเมื่อครู่ บ้างถามอิ๋นชิงว่าติดไฟที่จดหมายฉบับนั้นหรือไม่ บ้างบอกว่าเป็นเพียงเรื่องลวง ถึงขนาดมีคนวิจารณ์รูปร่างของภูตจิ้งจอกด้วย พูดจาหยาบคายอยู่บ้าง
ทว่าท่ามกลางค่ำคืนที่มีทั้งลมและฝนเช่นนี้ บนเนินเขาหินห่างออกไปไม่ไกลนัก จิ้งจอกเปียกฝนสามตัวเผยแววตาดุร้าย มองไปทางสถานพักม้าร้างด้วยความเคียดแค้น