ตู๋กูซิงหลันชะงักงันไปครู่ใหญ่ ขยับไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง ก็ตัดสินใจยื่นมือออกไปพยุงเขาขึ้นมา “ซู…..”
“ซูเยา” บุรุษหนุ่มผู้นั้นส่งยิ้มงดงามเย้ายวนให้กับนาง แต่ตู๋กูซิงหลันกลับมองเห็นหยาดน้ำตาจากดวงตาของเขาได้อย่างชัดเจน
“กระหม่อมคือบุรุษโฉมงามอันดับหนึ่งในแผ่นดิน ขอถวายพระพรฝ่าบาท”
เขาคลี่ยิ้มให้กับนาง เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยหยาดน้ำตา จากนั้นก็คุกเข่าลงถวายคำนับตู๋กูซิงหลันอย่างเต็มพิธีการครั้งหนึ่ง
“ฟังมาว่าในวังหลวงของฝ่าบาทรับบุรุษงามเอาไว้ มิทราบว่าจะรับข้าที่เป็นโฉมงามอันดับหนึ่งในแผ่นดินไว้ได้หรือไม่?”
ตู๋กูซิงหลันยังยื่นมือออกไปพยุงเขาอยู่ พอเขาคำนับนางเสร็จจึงคว้ามือของนางเอาไว้ มองดูนางด้วยดวงตาลึกล้ำราวสุนัขจิ้งจอก ในใจเปี่ยมล้นไปด้วยความยินดี จนแทบอยากจะกู่ร้องเสียงดังออกมา
ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นแทบจะมองลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจของตู๋กูซิงหลัน นางเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในใจพลันเกิดความปวดราวขึ้นมาขุมหนึ่ง ในสมองปรากฏภาพของสุนัขจิ้งจอกน้อยในโลกก่อนตัวนั้นขึ้นมา
มือที่กุมมือของเขาเอาไว้จึงยิ่งกระชับแน่นกว่าเดิม จากนั้นก็ดึงเขาขึ้นมา
นางมีแรงมาก แทบจะดึงเขาเข้าไปในอ้อมอก
หนุ่มน้อยที่งดงามเย้ายวนซบลงไปบนบ่าของนาง เขาเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของนางอย่างกระตือรือล้น ยื่นจมูกขึ้นไปสูดดมกลิ่นหอมจากร่างของนางเบาๆ
แม้มีถ้อยคำเป็นพันเป็นหมื่น ก็ได้แต่กระซิบที่ข้างหูนางคำเดียวว่า “อาหลัน….ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน…..”
ตอนที่นางบุกมาที่แคว้นเหยียนนั้น เขาติดตามนางมาตลอดทาง ยามเมื่อตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงก็คอยลอบช่วยนางเข่นฆ่าทางสายโลหิตขึ้นมา
ตอนนั้นตู๋กูซิงหลันไม่เคยรู้เลย
หลังจากนั้น….พอนางได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้หญิงของแคว้นเหยียนอย่างปลอดภัย เขาก็กลับไปที่เมืองหลวงของต้าโจวอีกครั้ง
เมื่อไม่มีนางอยู่ในวังหลวง ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีซูเม่ยอีกต่อไปแล้ว
เขาทำข้อตกลงกับจีเฉวียนรอบหนึ่ง ปล่อยให้ซูเม่ย ‘ตาย’ อยู่ในวัง ขจัดข้อกังวลและความเสี่ยงของครอบครัวออกไป ค่อยกลับคืนฐานะเดิมของตนเองเพื่อมาอยู่ข้างกายนาง
หลังจากผ่านมาหลายปี ในที่สุดก็สามารถยืนเคียงข้างนางใต้แสงสว่างได้เสียที
ตู๋กูซิงหลันทอดสายตามองดูเขา ยกมือขึ้นทัดปอยผมที่ข้างหูให้อย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าทำไมในจมูกของนางพลันรู้สึกแสบร้อนขึ้นมา ริมฝีปากแดงเม้มแน่น กระทั่งน้ำเสียงก็ยังสั่นเครืออยู่บ้าง “ต้องเดินทางมาเช่นนี้ ลำบากเจ้าแล้ว”
พูดแล้ว ก็จูงมือเขาเข้าไปในตำหนักบรรทม
พอขยับไปได้สองก้าว ก็รั้งฝีเท้าลง ถามว่า “พี่สาวของเจ้าซูเม่ยสบายดีหรือไม่?”
ตั้งแต่ที่นางพลาดไปกลายเป็นฮ่องเต้หญิงของแคว้นเหยียนอย่างไม่ทันรู้ตัว ทั้งวันทั้งคืนก็คิดแต่เรื่องจะฟื้นฟูแคว้นเหยียน ส่วนด้านของแคว้นโจวนั้น ในเมื่อพวกพี่ๆต่างก็ไม่ต้องการให้นางรู้ นางก็ไม่ได้ถามออกไปแม้แต่คำเดียว
“พี่สาวตกพระครรภ์สูญเสียทารกไป จากนั้นถูกส่งเข้าตำหนักเย็น แต่ทำพระทัยไม่ได้จึงแขวนคอตายแล้ว” ซูเยาหรุบดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นลง เพียงกระพริบขนตาแต่เบาๆ บนปรายขนตาเหล่านั้นก็มีหยดน้ำตาหยดน้อยๆเกาะอยู่
ตู๋กูซิงหลันได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะกุมมือของเขาให้แน่นกว่าเดิม
นิ้วมือของเขาเรียวยาว ผิวพรรณบนหลังมือนั้นละเอียดเนียน บนร่างก็ยังหอมจางๆที่มีกลิ่นของดอกกุหลาบ
ตู๋กูซิงหลันมิใช่คนโง่ ถึงตอนนี้ นางรู้อยู่แล้วว่า
ซูเม่ยคือเขา ซูเยาก็ยิ่งใช่ตัวเขา
ตอนที่นางออกจากเมืองกู่เว่ยกลับไปที่ตำหนักเฟิ่งหมิงกงนั้น ซูเม่ยที่แบกท้องโตวิ่งมาหานาง ส่งข้าวส่งน้ำ จับมือถือแขนกันอยู่ทุกๆวัน
ใบหน้าของคนเรานั้นอาจแปลงโฉมกันได้ แต่ว่ามือนั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้
จีเฉวียนเองก็เคยบอกฐานะที่แท้จริงของซูเม่ยกับนาง แต่นางคิดว่าเขาเอามากลบเกลื่อนเรื่องความ ‘เสเพล’ ของเขา จึงไม่ได้สืบเสาะต่อไป
กระทั่งถึงตอนนี้ นางก็ยังคิดว่า ซูเม่ยหลงรักจีเฉวียนอย่างคลั่งไคล้ ถึงได้ยินยอมซ่อนฐานะบุรุษเพื่อเข้าวังกลายเป็น ‘พระสนม’ ของเขา
ตอนนี้เขายอมละทิ้งฐานะ ยิ่งเท่ากับแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขาผิดหวังในตัวจีเฉวียนเพียงไร
โชคดี ถึงซูเม่ย ‘ตาย’ ไปแล้ว แต่ว่าซูเยายังมีชีวิตอยู่
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกขอบคุณสวรรค์ ทุกครั้งที่นางได้เห็นซูเม่ยมักจะอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเจ้าจิ้งจอกน้อยจากโลกก่อน และบางทีในใจของนางอาจจะเห็นเขาเป็นเจ้าจิ้งจอกน้อยตั้งแต่แรกแล้ว
ดังนั้น นางจึงรู้สึกยินดีที่เขายังมีชีวิตอยู่
“ต่อไปเราจะคอยดูแลเจ้าเอง” นางหลุบตาลง หันร่างกลับไปกอดซูเยาอย่างหนักแน่นครั้งหนึ่ง “เราจะรักเอ็นดูเจ้า เอ็นดูเจ้าไปตลอดชีวิต”
ซูเยานิ่งงันไปเนิ่นนาน เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคราว่าคำพูดเช่นนี้เคยได้ยินจากที่ใดมาก่อน
นั่นเป็นเสียงของสาวน้อยผู้หนึ่งที่กล่าวกับเขา ว่าจะรักเอ็นดูเขาไปชั่วชีวิต
ตอนนี้พอได้ยินอีกครั้ง คล้ายกับว่าโลกใบเก่าได้หมุนกลับมาอีกครั้ง
เขาพลิกสองมือขึ้นมา เป็นฝ่ายกุมมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ กระซิบแผ่วเบาที่ริมหูของนาง “ควรเป็นข้าที่จะปกป้องเจ้ามากกว่า”
“เจ้าเป็นอิสตรี สมควรถูกทนุถนอมเอาไว้บนฝ่ามือ ปกป้องเอาไว้ในแก่นกระดูก ให้ความรักถนอม ใส่ใจอยู่ตลอดเวลา” แสงในดวงตาของซูเยากระพริบ คลี่ยิ้มอย่างอ่อนหวานให้กับนาง “เพียงแต่ว่าตอนนี้ซูเยาไม่มีบ้านให้กลับไปอีกแล้ว มิทราบว่าฮ่องเต้หญิงจะทรงรับข้าเอาไว้ในวังได้หรือไม่?”
พวกเขาถึงกับเข้ามาในตำหนักบรรทมแล้ว แสงเทียนภายในก็แสนจะอบอุ่นอ่อนโยน ถึงตัวเย้ายวนนี้จะร้ายกาจอย่างยิ่ง แต่กลับถูกหลอมรวมเข้ากับแสงที่อบอุ่นนี้ คนเปลี่ยนเป็นบริสุทธิ์และอบอุ่นอ่อนโยนจนบ่งบอกไม่ถูก
“ต่อไปที่นี่ก็คือบ้านของเจ้า” ตู๋กูซิงหลันสะกิดจมูกที่โด่งเป็นสันของเขาเบาๆ ดวงตาดอกท้อมีประกายน้ำขึ้นมา นางมองดูเขา ก็ยิ่งรู้สึกคล้ายกับว่าคนที่เคยสูญเสียไปเมื่อนานมาแล้วได้กลับมาอยู่ข้างกายตนเอง
ความรู้สึกเช่นนี้ เหมือนกับว่าหัวใจที่ถูกทะลวงเป็นรู ได้กลับมาเต็มอีกครั้ง
เขาช่างเหมือนกับเจ้าจิ้งจอกน้อยและศิษย์น้องที่รวมเข้าด้วยกัน ทั้งร้ายกาจและนุ่มนวลเชื่อฟัง
การกลับมาเกิดใหม่หรือ อาจบางทีพวกเขาได้กลับมาเกิดใหม่ที่ข้างกายตนอีกครั้งก็เป็นได้กระมั้ง?
ตู๋กูซิงหลันคิดไปเรื่อยๆ กระทั่งสายตาก็อ่อนลงมาก
ซูเยาคว้าชายเสื้อของนางเอาไว้ ส่ายศีรษะกล่าวว่า “อาหลัน ข้าอยากเป็นคนในครอบครัวของเจ้าอย่างแท้จริง”
“แบบที่เป็นบุรุษของเจ้า”
พอประโยคนี้หลุดออกมาจากปาก ใบหน้าที่เย้ายวนของเขาก็ปรากฏสีแดงซ่านขึ้นมา เขายกมือขึ้นมาล้วงเข้าไปในอกเสื้อหยิบเอาแหวนลายจิ้งจอกสีแดงออกมาวงหนึ่ง พลางคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น ประคองมือของนางเอาไว้เตรียมจะสวมให้กับนาง”
“ข้าเห็นคนบนโลกเวลาขอแต่งงาน ต่างต้องมอบสิ่งของแทนใจ หยกสีแดงนี้ตั้งแต่ตอนที่ข้าเกิดมาข้าก็พกติดตัวอยู่ตลอด ต่อมาข้าก็เสาะหาคนแกะมันเป็นแหวนขึ้นมา คิดเอาไว้ว่าสักวันหนึ่ง จะต้องมอบให้กับสตรีที่ข้ารักสวมใส่มันกับมือ”
แหวนวงนั้นยังไม่ทันได้เข้ามาใกล้ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าฝ่ามือร้อนลวก
โดยเฉพาะลวยลายจิ้งจอกที่สีแดงราวกับไฟ ยิ่งบาดตาจนนางเกิดความเจ็บปวด
“จิ้งจอกน้อย!” นางอดไม่ไหวร้องออกมาคำหนึ่ง เข่าอ่อนคุกเข่าลงไปตรงหน้าเขา ทั้งยังโอบคอของเขาเอาไว้ กอดอย่างแนบแน่น
ดูเอาเถอะ สิ่งที่สวรรค์ติดค้างท่าน ย่อมต้องหาสักหนทางชดใช้คืนให้ในเวลาใดเวลาหนึ่ง
นางเคยคิดว่ามันตายไปแล้ว
แต่โชคชะตา ก็ทำให้กลับมาอยู่ข้างกายนางในอีกรูปแบบหนึ่ง ทั้งยังเกิดมางดงามเย้ายวนถึงเพียงนี้
“ดีเลย งั้นต่อไปเจ้าก็เรียกข้าว่าจิ้งจอกน้อยเถอะ” เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนหวาน สวมแหวนวงนั้นลงบนนิ้วมือของนาง “ข้ารู้อยู่แล้ว ว่าเจ้าจะต้องชอบข้าอย่างแน่นอน แต่รับปากแล้วนะ รับข้าเข้าวัง ให้ข้าเป็นบุรุษของเจ้า?”
………………………………
ไรท์: อ้าวเฮ้ย หรือเราจะแจวเรือผิดลำมาตลอด มิน่าเล่าเรือเอื่อยมาก นี่ถ้าลงเรือซูเยาแต่แรกอาจจะถึงฝั่งไปแล้ว
ซูเยา: สายตาของเจ้ายังอ่อนด้อยอยู่มาก
………………………………………….
ไรท์: พอหลันหลันเป็นฮ่องเต้หญิง เมื่ออยู่ต่อหน้าที่ไม่ใช่ครอบครัวก็เรียกตัวเองเป็น เจิ้น(朕) = เรา เวลาพูดกับคนสนิทก็ยังใช้ ข้า(我) เราก็แปลตามนั้นนะคะ ส่วนราชาศัพท์นั้นแล้วแต่บริบทที่เหมาะสมค่ะ
……………………………………………
ตอนต่อไป “เจ้าเป็นของข้ามาโดยตลอด”
ไรท์: โอเค ดูจากชื่อตอน ขอเปิดท่าเทียบให้ทุกท่านย้ายเรือได้ตามอัธยาศัย