ตอนที่ 224 มังกรตกสวรรค์แห่งทะเลสาบไพศาล
อิ๋นจ้าวเซียนทอดถอนใจหลังจากนั้น ทีแรกเขาได้รับการแต่งตั้งจากจังหวัดลี่ซุ่นแห่งรัฐหวั่น คืนก่อนรับตำแหน่ง เขากลับไปยังอำเภอหนิงอันแห่งรัฐจี อาจารย์ของจิ้นอ๋อง หลี่มู่ซูยังปลอมตัวมาเยี่ยมเยียนเขาที่สถานพักม้าด้วย
หลี่มู่ซูไม่ได้บอกจุดประสงค์ในการเยี่ยมเยียนในตอนนั้นชัดเจน บอกเล่าเพียงงานที่ได้รับมอบหมายจากรัฐหวั่นในครั้งนี้ แม้เป็นการกระทำที่ได้รับการสนับสนุนจากฮ่องเต้ ทว่าหลายคนกลับเป็นกังวลมาก ทำให้อิ๋นจ้าวเซียนไปรัฐหวั่นแล้วยิ่งหนักใจ ด้วยต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
อย่างไรเสียตอนนั้นหลี่มู่ซูก็ไม่ได้บอกเหตุผลที่แท้จริง แต่อิ๋นจ้าวเซียนฟังความนัยบางอย่างในคำพูดออก ราวกับทั้งกังวลว่าเขาจะต้องเสี่ยงอันตราย และกังวลว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงเพราะปฏิบัติหน้าที่ที่รัฐหวั่นหรือไม่ ความรู้สึกเป็นห่วงนั้นไม่อาจปลอมได้เลย
ดังนั้นวันก่อนรับตำแหน่ง จิ้นอ๋องส่งจดหมายไปยังอำเภอหนิงอัน บอกตามตรงว่าลอบส่งคนมาแทนที่ผู้ติดตามและคนทำงานในคณะ อิ๋นจ้าวเซียนไม่ได้ปฏิเสธ จนถึงวันนี้ข้างกายอิ๋นจ้าวเซียนยังคงมีมือดีซึ่งวิชายุทธ์ยอดเยี่ยมอยู่หลายคน
แต่เรื่องการเมืองนี้ อิ๋นจ้าวเซียนบอกกกล่าวกับจี้หยวนเช่นกัน ไม่คิดเล่าโดยไม่ลงลึกถึงรายละเอียด เดิมทีเชิญสหายคนนี้มาก็เพื่อเรื่องนี้อยู่แล้ว
“เอาล่ะๆ เห็นท่านจี้บอกเล่าอย่างอดไม่ได้ หวังว่าท่านจี้จะไม่กล่าวโทษ ครั้งนี้เชิญท่านจี้มาร่วมงานเลี้ยงของบุตรชายข้า แต่ยังต้องรออีกพักหนึ่ง”
จี้หยวนมาได้อิ๋นจ้าวเซียนดีใจมากเป็นอันดับแรก แต่ตอนนี้บุตรชายยังไม่ลืมตาดูโลก แน่นอนว่าจัดงานเลี้ยงไม่ได้
“อืม กำหนดคลอดของฮูหยินคือเมื่อใด”
จี้หยวนถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว ฝ่ายอิ๋นจ้าวเซียนตอบด้วยสีหน้ายินดี
“หมอบอกว่าภรรยาข้าครรภ์แข็งแรงมั่นคง อีกครึ่งเดือนโดยประมาณถึงจะครบกำหนดคลอด”
“อ้อ ไม่เลวๆ เช่นนั้นต้องแสดงความยินดีกับอาจารย์อิ๋นล่วงหน้าแล้ว!”
“ฮ่าๆๆๆ…ขอบคุณๆ ที่พักอาศัยของท่านจี้ข้าจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว พักที่เรือนรับแขกข้างหลังจวนนี้แหละ”
จี้หยวนยิ้มพลางประสานมือ ความจริงไม่จำเป็นต้องเกรงใจสหายคนนี้แล้วก็ได้
ทั้งสองคนสนทนากันจนแทบลืมเวลา แม้อิ๋นจ้าวเซียนเพียงปรับทุกข์ด้วย แต่เวลาผ่านไปนานโขโดยไม่รู้ตัว หลังจากต้อนรับด้วยอาหารแล้ว เดิมเขาอยากไปส่งจี้หยวนถึงเรือนพักแขกด้วยตนเอง ทว่ามีธุระสำคัญต้องไปจัดการจึงทำได้เพียงให้ข้ารับใช้ทำแทน
ข้ารับใช้คนหนึ่งนำทางไปยังสวนดอกไม้ขนาดไม่ใหญ่ เมื่ออ้อมทางเดินไปแล้วจะพบกับเรือนพักแขกหลายหลัง
“ท่านจี้เชิญ ข้างหน้านี้แล้ว”
ข้ารับใช้เชิญจี้หยวนอย่างมีมารยาท หลังจากถึงที่หมายและเปิดประตูออก เขาแนะนำการจัดวางภายในเรือนให้จี้หยวนฟังก่อน จากนั้นถึงค่อยขอตัวลาไป
“ท่านจี้พักผ่อนอยู่ที่นี่ หากต้องอะไรเรียกใช้ข้าได้ทุกเมื่อ เพียงตะโกนไปยังทางเดินตรงนั้นก็ใช้ได้แล้ว ข้าขอตัวลาก่อน!”
“ตกลง ลำบากเจ้าแล้ว!”
จี้หยวนประสานมือเป็นการขอบคุณ ฝ่ายข้ารับใช้รีบคารวะกลับ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
เมื่อข้ารับใช้เดินไปไกลแล้วก็หันไปมองจี้หยวนทางนั้น เห็นอีกฝ่ายไม่เข้าไปในเรือน ยืนอยู่หน้าประตูมองท้องฟ้า ไม่หยิ่งผยองหรือสำรวมตัว ท่าทางสง่างามไม่ธรรมดา
ความจริงแล้วข้ารับใช้ส่วนหนึ่งในจวนแปลกใจต่อการมาเยือนของจี้หยวนอยู่บ้าง นายท่านของตนไม่เคยจัดงานเลี้ยงรับรองใครที่บ้าน และไม่เคยให้ใครพักแรมที่จวนเช่นกัน ผู้ที่เดินทางไกลมามอบของขวัญก็แค่ได้พักที่สถานพักม้าและโรงเตี๊ยม ท่านจี้ผู้นี้กลับพิเศษปานนี้ ได้ทั้งกินและนอนอยู่ที่จวน เห็นที่จะเป็นสหายคนสนิทของนายท่านจริงๆ
จี้หยวนมองในเรือนของตนเองตามใจชอบ นอกจากเตียง โต๊ะ ชั้นวางของ และเก้าอี้ที่เป็นเครื่องเรือนพื้นฐานแล้ว ยังมีสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือและหมากล้อมชุดหนึ่ง ไม่นับว่าหรูหราแต่กลับครบพร้อม
ดูครบแล้วแทนที่จี้หยวนจะพักผ่อนที่นี่ เขากลับก้าวออกจากประตูไป ใต้เท้าเกิดไอหมอกส่งเขาออกจากจวนไปโดยตรง
บนถนนใหญ่ของจังหวัดซุ่นลี่คึกคักดังเดิม พ่อค้าจากทั่วต้าเจิ้นและแม้แต่อาณาจักรใกล้เคียงก็มาที่นี่เพื่อซื้อผ้าไหม เมืองทั้งเมืองอยู่ได้ด้วยอุตสาหกรรมผ้าไหม สะท้อนออกมาเป็นภาพความเจริญรุ่งเรือง ทุกที่ล้วนเป็นโรงเตี๊ยม ร้านอาหาร และโรงน้ำชา แม้แต่สถานที่อย่างหอโคมเขียวและบ่อนการพนันก็ยังเหนือกว่าเมืองอื่นๆ มาก
นี่แค่จังหวัดซุ่นลี้เท่านั้น จังหวัดอวิ๋นโปที่เป็นเมืองหลวงของรัฐน่าจะเหนือชั้นกว่านี้
จี้หยวนเดินผ่านถนนและตรอกน้อยใหญ่ อาศัยประสาทหูที่ว่องไวและการมองเห็นที่เลือนรางผสานเข้าด้วยกัน เมื่อเดินไปข้างหน้าไร้อุปสรรค อีกทั้งได้ยินเสียงสนทนาของคนมากมาย ตลอดทางใช้เสียงบางเสียงร่วมกับการถามทางของตนเอง บัดนี้มาถึงยังตรอกศาลเจ้าแล้ว
ตอนที่เพิ่งมาถึงโลกนี้แรกๆ จี้หยวนก็รู้ว่าสถานที่อย่างศาลหลักเมืองแม้ปกปักษ์เพียงด้านเดียว แต่ไม่อาจข้ามไปก้าวก่ายเรื่องทางโลกได้ โดยเฉพาะสถานการณ์ที่เกี่ยวพันถึงหนทางของมนุษย์ ยิ่งพึ่งพาแรงปรารถนาของพื้นที่หนึ่งยิ่งเป็นเช่นนั้น
ในด้านหนึ่ง ความกลัวนี้มาจากผลกระทบของตัวแปรที่เกิดจากธรรมชาติของมนุษย์อันส่งผลต่อเทพนั่นเอง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการฝึกปราณและจิตใจของผู้ฝึกปราณอย่างพวก นอกจากนี้ยังมีบทเรียนจากประวัติศาสตร์เมื่อนานมาแล้วด้วย
ศาลมืดไม่อาจเข้าไปยุ่งเรื่องทางโลกได้เรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องใหญ่บางเรื่องกลายเป็นกฎเหล็กที่ไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
ถึงจะเป็นเช่นนั้น ทุกครั้งที่ราชวงศ์ล่มสลายยังคงมีเทพปฐพีจากกลุ่มศาลหลักเมืองจำนวนหนึ่งวิญญาณแตกสลายเพราะเกี่ยวพันกับปราณราชวงศ์ ดังนั้นในขณะที่ศาลมืดไม่แย้มพรายความลับของเรื่องพรรค์นี้ ความรู้สึกในใจก็ขัดแย้งกันเป็นอย่างยิ่ง
จี้หยวนไปตรอกศาลเจ้าแน่นอนว่าเพื่อไปศาลหลักเมือง แม้ไม่มีทางก้าวก่าย ทว่าศาลมืดไม่อาจไม่รู้เรื่องนี้ เขาไม่ได้ไปเพื่อตรวจสอบ แต่เขากลับไปดูการเติบโตของปราณชั่วร้ายและปราณขุ่นเขืองในดินแดนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของจังหวัดลี่ซุ่น
ไม่ว่าอยู่ที่เมืองไหน ตรอกศาลเจ้ามักเป็นหนึ่งในสถานที่ที่คึกคักที่สุด จังหวัดลี่ซุ่นก็เช่นเดียวกัน
ตอนจี้หยวนเดินผ่านถนนของตรอกศาลเจ้า เสียงเรียกพ่อค้าและการต่อราคาดังไม่น้อย คนต่างถิ่นยิ่งไม่น้อยเลย อย่างไรเสียใกล้เคียงกับศาลหลักเมืองทุกที่ล้วนเป็นสถานที่ที่ควรไปเที่ยวเล่น อีกทั้งเป็นศูนย์รวมร้านอาหารและโรงสุราด้วย
“นี่ๆ คุณชายท่านี้ ซื้อธูปเสียหน่อยเถอะ จุดให้เทพหลักเมืองสักครั้ง รับรองว่าท่านจะสอบได้ตำแหน่งที่ดี และรับรองว่าท่านจะร่ำรวยเจริญก้าวหน้า!”
จี้หยวนเดินมา เจ้าของร้านค้าหลายร้านล้วนเสนอขายธูปและเทียน
“ไม่เอา ข้าไม่ได้มาจุดธูป”
“ไม่เอาๆ ไม่เอาจริงๆ…”
ร้านค้าบางร้านมีคนชมของขายอยู่สองสามคน เจ้าของร้านกระตือรือร้นมากจริงๆ เดินออกจากร้านมาขายธูปเทียนให้ลูกค้าที่เดินผ่านไปมา จี้หยวนคอยปฏิเสธอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ธูปมีราคาแพง ธูปหนึ่งดอกมีราคาเท่ากับการไปกินบะหมี่ และเกรงว่าสิ่งที่แพงไม่ได้มีเพียงธูปเท่านั้น
ภายในศาลหลักเมืองมีคนอยู่เยอะทีเดียว แต่ละห้องโถงแทบจะไม่มีตรงไหนสงบเงียบ จี้หยวนตามคนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านโถงในศาลหลักเมือง มองผู้สวมเสื้อผ้าสีสดในกราบไหว้เทพ
เรื่องที่ขอส่วนใหญ่เกี่ยวกับเงินทองความร่ำรวย ท่ามกลางคนที่มากราบไหว้ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านผู้น่าสงสาร
ข้างๆ จี้หยวนมีผู้ดูแลศาลหลักเมืองค่อนข้างมีอายุคนหนึ่ง เห็นจี้หยวนเพียงเดินเล่นไม่จุดธูป น่าจะเป็นผู้มาท่องเที่ยว แม้เสื้อผ้าที่สวมไม่นับว่าสวยงามหรูหรา แต่กลับสง่างามไม่ธรรมดา ปิ่นหยกสีดำบนศีรษะส่องประกายภายใต้แสงอาทิตย์ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นสิ่งของที่มีค่าควรเมือง
ตอนนี้เห็นจี้หยวนไม่ก้าวเดิน ยืนอยู่ข้างๆ ครู่หนึ่งแล้วจึงลองเอ่ยถามดู
“คุณชายท่านนี้ต้องการจุดธูปให้ท่านเทพหลักเมืองหรือไม่ หากบริจาคค่าธูปสักหน่อย เทพหลักเมืองจะปกปักษ์ให้ท่านราบรื่นในทุกๆ เรื่องเชียว”
จี้หยวนหันไปมองชายชราคนนี้ จากนั้นมองรูปปั้นเทพหลักเมือง
“ฮ่าๆ…เทพหลักเมืองมีคนจุดธูปให้มากมายแล้ว แต่ที่น่าเสียดายคือกำยานมากมายกลับไม่กล้าเก็บ”
“เอ่อ…ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ความหมายก็ตามที่พูด”
มาจุดธูปที่นี่ทำให้มีแรงปรารถนากำยาน ตอนนี้เทพหลักเมืองไม่กล้าเก็บตามใจชอบ เพราะส่วนมากเป็นคำขอจากจิตใจที่มีแต่ความโลภ กำยานนี้นำมาซึ่งความชั่วร้าย แม้แสดงอารมณ์ฉุนเฉียวในศาลก็ไม่มีทางตอบสนองต่อคนบางจำพวก สิ่งที่พวกเขาได้คือความน่าจะเป็นอย่างง่าย
“คุณชายพูดถูกต้อง!”
คำพูดเจือเสียงทอดถอนใจดังมาจากข้างๆ มีชายวายกลางคนสวมชุดคลุมยาว ประดับกวานสีดำ ผิวสีเหลืองซีดเดินมา ก่อนจะประสานมือให้จี้หยวน
จี้หยวนตอบรับมารยาทของอีกฝ่ายเช่นกัน
“ไปคุยกันข้างนอกศาลเป็นอย่างไร”
“นอบน้อมมิสู้เชื่อฟัง!”
ชายคนนั้นถามตอบกับจี้หยวน จากนั้นเดินตามกันออกจากโถงหลักของศาลหลักเมือง ผู้ดูแลศาลข้างหลังเกาศีรษะเพรางุนงงอยู่บ้าง วันนี้พบคนแปลกถึงสองคน
สองคนไม่ได้เดินออกจากประตูหน้า ทว่าผ่านคนกลุ่มหนึ่งไปยังประตูข้างที่ค่อนข้างมีคนน้อย เดินทอดน่องไปยังแม่น้ำสายเล็กข้างนอกศาลหลักเมือง
ที่นี่มีคนกำลังเดินเล่นเช่นกัน ดูแล้วเหมือนสนุกสนานมีความสุข
เมื่อถึงข้างนอกแล้ว ชายในชุดคลุมยาวโค้งกายคารวะจี้หยวนอย่างจริงจังอีกครั้ง
“คุณชายใช้วิชาบังตาบดบังตาสีเทา ปิ่นหยกงดงาม ท่วงทำนองวิญญาณจริงแท้ หากข้าคนแซ่หลี่คาดเดาไม่ผิด เห็นที่คงเป็นท่านจี้ในคำร่ำลือกระมัง”
หืม?
จี้หยวนมีสีหน้างงงวย ท่านจี้…ในคำร่ำลือ?
‘ข้ามีชื่อเสียงขนาดนี้ แถมยังเลื่องลือมาถึงรัฐหวั่น แล้วยังมีคำร่ำลืออะไรอีกเนี่ย’
หากบอกว่าเขามีชื่อเสียงอยู่บ้านที่รัฐจี จี้หยวนรู้สึกว่าน่าเชื่อถือ ทว่าที่นี่คือรัฐหวั่น
จี้หยวนทำได้เพียงแสดงความเคารพตอบพร้อมยิ้มอย่างมีมารยาท
“คำร่ำลืออะไรนั่นข้าคงไม่คู่ควร ทว่าข้าชื่อว่าจี้หยวนจริง ท่านจี้ที่เทพหลักเมืองหลี่เรียกก็คือข้านี่แหละ”
“เป็นท่านจี้จริงๆ ด้วย ข้าคนแซ่หลี่เพียงลองคาดเดาดู ไม่คิดเลยว่าจะได้พบตัวจริงเสียงจริง”
เทพหลักเมืองหลี่เผยรอยยิ้มเช่นกัน
“เกรงว่าตอนนี้ต้าเจินกำลังเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่ยากลำบาก มีท่านจี้ประจำการทั้งสี่ทิศถือเป็นโชคดีของต้าเจินเราแล้ว”
‘เดี๋ยวก่อน เจ้ากำลังพูดอะไรของเจ้า’
จี้หยวนมึนงงเพราะเทพหลักเมืองหลี่อยู่บ้าง หรือว่าเขาหลับไปเกินครึ่งปี โลกนี้เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้เชียว
“ไม่ทราบว่าใต้เท้าหลักเมืองพูดให้ชัดเจนได้หรือไม่ ข้าคนแซ่จี้งงไปหมดแล้ว!”
“อยู่ต่อหน้าท่านจี้ข้าไม่กล้าเรียกตนเองว่าใต้เท้า ขอท่านจี้อย่ายกย่องข้าเลย…”
เทพหลักเมืองหัวเราะเสียงหนึ่ง
“พลังมรรคมนุษย์ของต้าเจินเราไม่ชัดเจน ข้าและเหล่าเทพหลักเมืองกังวลใจยิ่งกว่าแสงเทียนกลางลม ก่อนหน้านี้…”
“โฮก…”
เสียงมังกรร้องสายหนึ่งดังมาจากขอบฟ้าไกล จี้หยวนและเทพหลักเมืองต่างหน้าเปลี่ยนสี มองไปยังท้องฟ้าทางเหนือ
“อึก…อึก…โฮก…”
ครืน…
เสียงมังกรร้องซึ่งอยู่ในสภาวะที่ไม่ค่อยสู้ดีอย่างชัดเจนดังขึ้นที่ขอบฟ้า ทำให้ชาวบ้านในเมืองมองท้องฟ้าไม่น้อย เห็นกลางท้องฟ้าทางเหนือมีเมฆฝนกลุ่มหนึ่ง เสียงแปลกๆ ราวกับเสียงคำรามของสัตว์ร้ายขนาดยักษ์และเสียงคร่ำครวญของวัวแก่ดังก้องอยู่บนท้องฟ้า ขณะเดียวกันก็มีเสียงฟ้าร้องซ่อนอยู่ในนั้นด้วย
หลายคนมองไปไกล ท้องฟ้าทางเหนือมีเมฆผืนหนึ่งเหมือนกับร่วงลงมา แทนที่จะบอกว่าเป็นรูปลักษณ์งูที่ยิ่งใหญ่คล้ายเทพ มิสู้พูดว่าเหมือนมังกรตัวหนึ่งเสียดีกว่า
ครืน…
เมฆดำท่ามกลางเสียงฟ้าร้องปกคลุมลงมาอย่างรวดเร็ว สีท้องฟ้ามืดลงเช่นกัน
มังกรคำรามและมังกรร้องความจริงแล้วเป็นสองแนวคิด มังกรคำรามยาวเหยียดส่งเสียงไปไกลมีพลังข่มขู่ แต่มังกรร้องกลับคล้ายวัวแก่ มีความว้าวุ่น ชัดเจนว่ามังกรตัวนั้นอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง
ปฏิกิริยาแรกของจี้หยวนคือกังวลว่าใช่คนแซ่อิงหรือไม่ แต่เสียงมังกรคำรามนั้นไม่ใช่เสียงมังกรเจียวที่คุ้นเคย
“ที่นั่นคือที่ไหน”
“เรียนท่านจี้ ที่นั่นคือทะเลสาบไพศาล ห่างจากที่นี่เกือบร้อยลี้ เป็นเขตแดนของจังหวัดลี่ซุ่นเช่นกัน”
เทพหลักเมืองตอบคำถามของจี้หยวนด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง