“เนื่องด้วยฮ่องเต้หญิงทรงเปิดกว้างทางการค้า ดังนั้นพวกเราจึงได้นำสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้มาขายที่เมืองหวงตู!”
“วันนี้นับว่าเป็นบุญตาของทุกท่านที่ได้เห็นแล้ว! มนุษย์มัจฉาน้อยที่ยากจะได้พบพาน วันนี้ขอนำออกมาประมูลในเมืองหวงตู ราคาเริ่มต้นที่พันตำลึงทอง ผู้ให้ราคาสูงสุดจะได้รับไปครอบครอง!”
บุรุษกำยำผู้นั้นโก่งคอตะโกน พลางกำแส้เอาไว้ในมือ
ผู้ชนต่างก็พากันมาดูด้วยความตื่นเต้นอย่างไม่ขาดสาย ……มนุษย์จมัจฉานั่นเป็นตัวจริงหรือตัวปลอมพวกเขาล้วนดูไม่ออก
ขอเพียงแค่ได้ชมความคึกครื้นบ้างก็พอแล้ว
เนื่องเพราะอดีตรัชทายาทเหยียนหยุนเป็นผู้ที่กระตุ้นให้เกิดการศิโรราบแต่แรกๆ ราชวงศ์เหยียนจึงมิได้ถูกประหัตประหารล้างผลาญ
ทั้งในเมืองหวงตูก็ยังมีเหล่าผู้ลากมากดีอยู่กลุ่มหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่มีลูกหลานเป็นเหล่าคุณชายเจ้าสำราญ พอได้เห็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจถึงเพียงนี้ก็สะกิดให้หัวใจของแต่ละคนคันคะเยอขึ้นมา
หากว่าซื้อตัวไปได้ แล้วนำไปถวายฮ่องเต้หญิงใช่ว่าจะได้หน้าได้ตาอย่างยิ่งหรือไม่?
ตู๋กูซิงหลันเปลี่ยนเป็นสวมใส่ชุดบุรุษ ทั้งยังติดหนวดบางๆ พวกลูกหลานของคนในราชสำนักจึงจดจำนางไม่ออก
ตู๋กูซิงหลันที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนจดจ้องไปยังมนุษย์มัจฉาน้อยผู้นั้นอยู่เนิ่นนาน
“นั่นเป็นตัวจริง” ซูเยายืนอยู่ข้างกายนาง “มนุษย์มัจฉาจากทะเลตะวันตก อาศัยอยู่ในท้องทะเลมานานแล้ว ยากนักที่จะปรากฏตัวให้คนพบ ทั่วทั้งร่างกายของพวกเขามีค่า เนื้อของพวกเขา สตรีกินแล้วจะบำรุงความงาม บุรุษกินแล้วจะแข็งขันคึก…”
ยามพูดสองคำหลักนั้น เขาก็อดที่จะอึกอักอยู่บ้างไม่ได้ พลางกล่าวที่ข้างหูนางด้วยเสียงเบาลงว่า “แน่นอนอยู่แล้วว่า อาหลันไม่จำเป็นจะต้องบำรุงความงาม ข้าก็ไม่ต้องบำรุงให้แข็งขันมากเกิน”
น่าอายเกินไปแล้ว!
เพียงแค่ครู่เดียว ก็เห็นเหล่าคนในกลุ่มของพวกราชวงศ์เก่าเริ่มแย่งชิงกันขึ้นมาแล้ว
ตู๋กูซิงหลันเอาแต่จับตามองดูมนุษย์มัจฉาน้อย พอสายตาจับจ้องไป มนุษย์มัจฉาน้อยผู้นั้นก็สังเกตเห็นนางขึ้นมาในทันที
เขาจับจ้องมาที่ตู๋กูซิงหลันด้วยสายตาที่สั่นสะท้าน จากนั้นก็ผุดลุกขึ้นมาและพุ่งตัวเข้าหานาง ส่งเสียงตะโกนบางอย่างออกมาจากในกรง
เขายื่มมือไปทางนาง ด้วยท่าทางที่วอนขอความช่วยเหลือ
ทันทีที่ยื่นมือออกไป มนุษย์มัจฉาน้อยก็ถูกฟาดแส้ใส่หนักๆครั้งหนึ่ง ข้อมือสีเขียวอมฟ้าถูกตวัดจนเป็นแผล จนเลือดสดๆสีฟ้าไหลซึมออกมา
“เจ้าสัตว์ตัวน้อย รู้จักสงบเสงี่ยมหน่อย!” บุรุษผู้นั้นตะโกนใส่ จากนั้นก็หันไปทำการค้าขายต่อไป
มนุษย์มัจฉาน้อยมิได้ถอยหลบไป หากแต่ยังคงยื่นมือไปทางตู๋กูซิงหลัน
อยู่ๆตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกอุ่นวาบจากในอก บางสิ่งกำลังไหลซึมออกมา
นางก้มศีรษะลงมองดูครั้งหนึ่ง สีหน้าและแววตาก็เปลี่ยนไปในทันที “ส่งเขามาที่ตำหนักหย่งหนิงกงภายในหนึ่งก้านธูป”
ในบรรดาเหล่าหนุ่มน้อยที่ติดตามตู๋กูซิงหลันมาตลอดทางย่อมไม่ขาดผู้มีฐานะร่ำรวยอยู่ด้วย อย่างเช่น เฉาโหยวเฉียน ลูกหลานของครอบครัวเศรษฐีในต้าเหยียน เดิมเขาก็ถูกตู๋กูจุนจับมัดใส่ถุงกลับมาเหมือนกัน
สุดท้ายพอได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้หญิงก็เกิดใจรักแรกพบ ทั้งๆที่เป็นถึงหลายชายคนโตของตระกูลใหญ่ แต่กลับเต็มใจรั้งอยู่ในตำหนักหย่งหนิงกงยกน้ำชาเทน้ำร้อน
ในตอนนั้นเอง ท่ามกลางเสียงแก่งแย่งกัน คุณชายเฉาก็โยนทองคำหลายก้อนออกไป
ผู้คนทั้งหมดต่างก็ตกตะลึงจนปากค้าง
………………………..
ในตำหนักหย่งหนิงกง ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ข้างหน้ากระจกทองเหลือง ในมือของนางมีไข่มุกมังกรที่เปลี่ยนเป็นสีแดงราวโลหิตไปแล้ว
ตอนนี้ไข่มุกมังกรนั้นกำลังมีของเหลวซึมออกมา เหมือนกับเลือดที่ซึมออกมาทีละหยดทีละหยด
ทั้งยังส่งผ่านความอุ่นร้อนสายหนึ่งสู่มือของนาง เพียงครู่เดียวก็กลายเป็นลูกแก้วโลหิตสีแดงลูกเล็กๆลูกหนึ่ง
มนุษย์มัจฉาน้อยถูกจับอาบน้ำล้างตัวจนสะอาดสะอ้านจึงได้ถูกนำตัวมาพบนาง กลิ่นน้ำทะเลบนร่างของเขาจางไปมาก
เขายังคงถูกขังอยู่ในกรง ข้อมือและข้อเท้ายังคงถูกล่ามตรวนเอาไว้ พลางแยกคมเขี้ยวในปากออกมา
กระทั่งถูกนำมาอยู่เบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน เขาถึงได้สงบนิ่งลง
พอมองเห็นไข่มุกมังกรในมือของตู๋กูซิงหลัน ดวงตาก็เบิกโต อ้าปากค้างตะโกนเป็นภาษามนุษย์มัจฉาออกมา
“ทะเลตะวันตก…..องค์หญิงหลี……..ท่านรู้จักนางใช่หรือไม่?”
เขาพึ่งจะเอ่ยออกมา นางก็เห็นพี่รองวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
“น้องเล็ก เกล็ดของชือหลีเปลี่ยนสีได้ด้วยหรือ? เป็นสีแดงไปแล้ว! เจ้าคิดว่านางไปก่อเรื่องอะไรกับใครหรือไม่ ถูกเอาไปตุ๋นแล้วหรือเปล่า!”
ตู๋กูซิงหลัน “……”
“พวกกุ้งพวกปูพอสุก ก็กลายเป็นสีแดง นางเองก็เช่นกันใช่หรือไม่?” ตู๋กูเจวี๋ยล้วงเกล็ดสีแดงออกมาจากในอก วางลงไปบนฝ่ามือของตู๋กูซิงหลัน
อุ่นร้อน!
“องค์หญิงหลี…..” มนุษย์มัจฉาน้อยมองดูเกล็ดชิ้นนั้น ก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นมา “พวกท่านช่วยนางได้หรือไม่?”
“ในมือของท่านมีไข่มุกมังกรจากพลังชีวิตขององค์หญิง ท่านสามารถฟังคำพูดของข้าออก” มนุษย์มัจฉาน้อยหันมาอ้อนวอนตู๋กูซิงหลัน “เผ่ามังกรทมิฬ! นางไปถึงที่นั่น เช่นนี้เท่ากับว่าตายสถานเดียว!”
ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้วแนบแน่น นางไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า ยายตัวแสบชือหลีจะมอบไข่มุกมังกรจากแก่นชีวิตให้กับนาง
นี่จะเรียกว่าใจกว้างหรือว่าเชื่อถือนางจนหมดใจดี?
สิ่งของชิ้นนี้ นับว่ามีพลังตบะที่ชือหลีสะสมมามากกว่าครึ่ง
ตอนนั้นนางเคยบอกเอาไว้ว่า จะไปที่ทะเลตะวันตกเพื่อฟื้นคืนดวงจิตของน้องสาว…..ตอนนั้นตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกได้ว่านางกำลังจะไปเสี่ยงอันตราย คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นเร็วขนาดนี้
ในเมื่อนางมอบไข่มุกมังกรให้กับตน…..แล้วจะปกป้องตัวเองได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นเผ่ามังกรทมิฬ…..นั่นคืออะไร
ในขณะที่ใจของนางมีคำถามมากมาย ก็สั่งให้คนเปิดกรงออก ปล่อยตัวมนุษย์มัจฉาผู้นั้นออกมา
……………………
ณ แคว้นต้าโจว
ที่นี่มีฝนตกหนักติดต่อกันมาหลายวันแล้ว เรียกว่าตลอดทั้งเดือนนี้แทบจะไม่มีวันที่ฟ้าใสอากาศดีเลยด้วยซ้ำ
ซุนย่วนพึ่งออกมาจากตำหนักตี้หัวกง ก็เห็นว่าภรรยาของตนเองกำลังสนทนาอยู่กับหัวหน้าราชองครักษ์ลับ หลงเซียว
ทั้งสองยืนอยู่ข้างกันในมุมหนึ่ง กระซิบกระซาบกันเบาๆ พอเห็นเขาออกมา อู๋เหนียงจื่อก็เดินเข้าไปรับหน้า
นางสะบัดคางไปทางตำหนักตี้หัวกง จากนั้นก็ถามออกมาว่า
“ว่าอย่างไร?”
ซุนย่วนส่ายศีรษะติดๆกัน เหลือบตามองซ้ายมองขวาโดยรอบ “มารดาของข้า นี่เจ้ายังจะกล้ายุ่งเกี่ยวเรื่องของฝ่าบาทกับไทเฮาน้อยอีกหรือ”
อู๋เหนียงจื่อตบอกรัวๆ “นั่นจะไม่ยุ่งได้หรือไร? ใต้หล้านี่ไม่มีด้ายแดงเส้นใดที่ข้าอู๋เหนียงจื่อผูกไม่ได้หรอกนะ!”
นางพูดพลาง ก็เหลือบมองไปทางตำหนักตี้หัวพลาง
“เจ้ายังคงตัดใจเสียเถอะ ไม่เห็นหรือว่าตอนนี้คนที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดในวังหลังคือใคร” สีหน้าของซุนย่วนมีแต่ความเหน็ดเหนื่อย “เจ้านายน้อยผู้นั้นมิใช่ผู้ที่ใครๆก็จะรับใช้ได้โดยง่ายนะ เห็นอยู่ว่าไม่ได้เป็นอะไรอยู่ชัดๆ ก็ยังจะมาบอกว่าปวดหัวตัวร้อน ถามแต่ว่าข้าตรวจดูแล้วนางเป็นอะไร?”
ซุนย่วนเองก็มีแต่ความกลัดกลุ้มอยู่เต็มหัวใจ นับตั้งแต่ที่ในวังมีฉางซุนอิงเพิ่มขึ้นมา เรื่องราวต่างๆก็ไม่ราบรื่นอีกต่อไป
เริ่มจากซูหวงกุ้ยเฟยที่ไปชนกับนางโดยไม่ทันระวัง เห็นๆอยู่ว่าทั้งสองตกลงมาด้วยกัน หวงกุ้ยเฟยกับสูญเสียพระครรภ์ไป…..
แต่ว่าฮ่องเต้กลับทรงปกป้องฉางซุนอิง น่าเสียดายครรภ์มังกรที่เกือบจะใกล้ครบกำหนดอยู่แล้วแท้ๆ….
ที่ยิ่งน่าสงสารก็คือซูหวงกุ้ยเฟย ที่ถูกส่งเข้าตำหนักเย็นเพราะฉางซุนอิง สุดท้ายต้องมาผูกคอตาย
ตอนนี้ฉางซุนอิงก็เริ่มจะมาหาเรื่องเขาเข้าแล้ว
ประเดี๋ยวก็รู้สึกไม่สบาย ประเดี๋ยวก็เจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้ ทุกๆวันเป็นต้องตามไปตรวจชีพจร
ดูเอาเถอะ คนที่ไม่มีแม้แต่ชีพจรอย่างนาง จะให้เขาตรวจว่าเป็นอะไร
นี่มิใช่ว่าต้องการจะสร้างความลำบากให้เขาชัดๆหรอกหรือ?
ประเด็นที่สำคัญก็คือภรรยาในบ้านก็ยิ่งทำให้คนลำบากใจ ทุกครั้งไม่ว่ามีเรื่องใดหรือไม่เป็นต้องคอยกระตุ้นให้เขาเอ่ยถึงไทเฮาน้อยสักสองประโยค
วันนี้เขาก็เอ่ยขึ้นมาแล้ว แต่สีพระพักตร์ของฝ่าบาทกลับไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
ท่าทางประหนึ่งว่ามิได้ทรงสนพระทัยเลยเสียด้วยซ้ำ!
ดูเอาเถอะ อยู่ดีๆแคว้นที่ตีชิงมาได้กลับถูกไทเฮาน้อยฮุบไปเสียอย่างนั้น แล้วฝ่าบาทจะมิทรงพิโรธได้หรือ?
ที่มิได้ไปทำสงครามอีกในขณะที่เหล่าราษฏร์ของแคว้นเหยียนกำลังมัวแต่ร่าเริงยินดี ก็ต้องนับว่าทรงพระทัยดีมีเมตตามากแล้ว