ตอนที่ 239 ใช้แรงกดดัน ‘คน’
สภาพการณ์สายฟ้าผ่าลงแบบนี้ ความจริงแล้วทหารรักษพระองค์ที่ล้อมอยู่รอบนอกและอยู่บนแท่นพิธีทั้งสี่ด้านก็นึกกลัวอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะพวกเขาทุกคนถืออาวุธยาวอย่างดาบและหอกล่อฟ้าอยู่
เหยียนฉางและขุนนางสำนักหอดูดาว รวมถึงขุนนางกรมพิธีการหลบเข้าในเรือนรอบนอกแล้ว มองแท่นพิธีสูงภายใต้สายฟ้าคำรามอยู่ไกลๆ
เพราะเรื่องถวายขนมไหว้พระจันทร์ เหยียนฉางคล้ายกับได้รับความเชื่อถือจากฮ่องเต้ในช่วงนี้ สิทธิ์เสียงท่ามกลางขุนนางผู้รับผิดชอบงานชุมนุมวารีปฐพีทั้งหลายจึงมากยิ่งกว่า
“ใต้เท้าเหยียน ฟ้าร้องฟ้าผ่าเช่นนี้ เกรงว่าจะเกิดพายุฝนแล้ว จะทำอย่างไรกับพวกนักเวทบนนั้นดี”
มีคนถามเหยียนฉางด้วยความกังวลเล็กน้อย ฝ่ายหลังมองไปทางแท่นสูงพลางมุ่นคิ้ว
“ผู้รายงานว่าเป็นพระเต๋าธรรมดาเหล่านั้นบอกชัดเจนแต่แรกแล้วว่ามาอวยพรฮ่องเต้ ย่อมลงจากแท่นพิธีมาหลบฝนได้ ส่วนผู้รายงานว่ามีอภินิหารหรือพลังพิเศษ ในเมื่อเป็นผู้สูงส่ง ลมฝนเล็กน้อยย่อมทำอะไรพวกเขาไม่ได้”
ได้ยินเหยียนฉางพูดเช่นนี้ ขุนนางผู้รับผิดชอบเรื่องนี้โดยรอบจำนวนหนึ่งมองหน้าตา ส่วนใจเข้าใจความหมายนั้นแล้ว
“หมายความว่าองครักษ์ข้างล่างแท่นพิธีจะต้องทนรับความลำบากด้วยกันหรือ”
“เช่นนั้นก็สั่งให้องครักษ์บนแท่นลงมาทั้งหมด แค่ตากฝนยังดีกว่าถูกฟ้าผ่า”
ตอนที่เหยียนฉางพูด เขาเผชิญหน้ากับรองผู้บังคับบัญชาพระราชวังชั้นนอกที่อยู่ข้างๆ คนผู้นี้เป็นรองผู้บัญชาการองครักษ์พระราชวังชั้นนอกด้วยเช่นกัน หากพูดถึงตำแหน่งแล้วจริงๆ ใหญ่กว่าเหยียนฉาง แต่เมื่ออยู่ที่งานชุมนุมเช่นนี้ทำได้เพียงเชื่อฟังแล้ว
“ฮ่าๆ ใต้เท้าเหยียนพูดถูกต้อง พี่น้องใต้บังคับบัญชาของข้าฝึกฝนวิชายุทธ์ในค่ายทหาร มีเกราะอยู่บนตัว ตากฝนนานหน่อยไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร”
ระหว่างสนทนากัน รองผู้บังคับบัญชาสั่งทหารหลายคนข้างๆ ฝ่ายหลังพากันถือดาบแสดงฝีมือ วิ่งสั้นๆ กระจายตัวกันไปล้อมทั้งสี่ทิศของแท่นพิธี จากนั้นขึ้นไปสั่งการ
จากนั้นประมาณหนึ่งถ้วยชาให้หลัง องครักษ์และทหารทั้งหมดบนแท่นพิธีเริ่มทยอยลงจากบันไดสี่ฝั่งอย่างเป็นระเบียบ จนสุดท้ายบนแท่นพิธีสูงเหลือแค่นักเวทพันคน แต่ละคนยังคงขอพรด้วยวิธีการของตนเอง
เวลาเคลื่อนคล้อยไป ท้องฟ้ามืดลงเรื่อยๆ เมฆดำบนท้องฟ้าเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า ค่อยๆ ปกคลุมทั่วทั้งตัวเมืองจังหวัดจิงจีแล้ว…
เปรี้ยง…ครืน…
สายฟ้าส่องสว่างใบหน้าของฮ่องเต้หยวนเต๋อ ตอนนี้เขากำลังมองท้องฟ้าที่มีเมฆดำกระจายตัวตรงชายคานอกตำหนัก
วันนี้ตอนเริ่มงานชุมนุมวารีปฐพี เรียกได้ว่าเป็นการเปิดฉากงานเฉลิมพระชนมายุของเขาครั้งหนึ่ง หลังจากเก้าวันฮ่องเต้หยวนเต๋อจะแต่งตั้ง ‘ปรมาจารย์’ จากนั้นเชิญปรมาจารย์เข้าร่วมงานเฉลิมพระชนมายุของเขาด้วยกัน
ผู้ที่ร่วมมองท้องฟ้าร่วมกับฮ่องเต้นอกจากทหารอารักขาแล้วยังมีองค์ชายหลายองค์ อีกทั้งขุนนางใหญ่และพระสนมไม่กี่คน
“ชิ่งเอ๋อร์”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หยวนเต๋อเรียกเสียงหนึ่ง อู๋อ๋องที่อยู่ข้างๆ โค้งกายตอบรับทันที
“เจ้าว่าวันงานชุมนุมวารีปฐพีมีฟ้าผ่าฟ้าร้อง เพราะสวรรค์กำลังเตือนข้าอยู่ใช่หรือไม่”
“เอ่อ…ลูก…ลูกไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ!”
ต่อให้อู๋อ๋องไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำก็ไม่กล้าตอบคำถามนี้ ฮ่องเต้ชรามองเขาครั้งหนึ่ง จากนั้นมองหยางฮ่าว บุตรชายคนที่สาม
“ฮ่าวเอ๋อร์ เจ้าว่าอย่างไร”
จิ้นอ๋องมุ่นคิ้วมองบิดาตนเอง ก่อนจะมองท้องฟ้า
ครืน…
ฟ้าร้องรุนแรง เมฆดำกดอัด
“เสด็จพ่อไม่จำเป็นต้องกังวลมาก ลมพัดฝนตกฟ้าผ่าฟ้าร้องล้วนเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติตามฤดูกาล หากฤดูหนาวร้อนและมีฝนตกต่างหากถึงจะเป็นเรื่องแปลก”
ฮ่องเต้ชราเพียงมองเขา ไม่ได้พูดอะไรมาก จากนั้นมองบุตรชายสองสามคนที่เหลือ ทั้งหมดล้วนมีท่าทาง ‘อย่าเรียกข้า’
เปรี้ยง…เปรี้ยง…โครม…ครืน…
ทันใดนั้นสายฟ้าถี่กระชั้นผ่าลงมาทางตะวันตก เสียงดังสนั่นหลายสายติดต่อกันทำให้ทุกคนรวมถึงฮ่องเต้ตกใจจนตัวโยน
ภายในไม่กี่ลมหายใจหลังจากนั้น ในที่สุดฝนก็ตกลงมาเสียงดังซ่าราวกับคว่ำกะละมัง
…
บนแท่นพิธีทางตะวันออกของเมือง ผู้ฝึกมารจำนวนหนึ่งเหมือนตื่นจากฝันในเวลานี้
กลางแท่นพิธี ชายร่างผอมหน้าแหลมมองไปยังทิศทางที่ห่างจากเขาสี่กว่าจั้งอย่างงุนงง เมื่อครู่นี้มีสายฟ้าหลายสายผ่าลงมาพร้อมกัน ผ่าถูกสตรีนางหนึ่งที่อยู่ตรงนั้น ตอนนี้กลายเป็นศพถูกเผาดำมะเมี่ยมไปทั้งร่างแล้ว
นักเวทมากมายโดยรอบต่างตกใจจนนิ่งงันอยู่กลางสายฝน บนแท่นพิธีที่แต่เดิมมีแต่เสียงจอแจจากการขอพรและร่ายรำ บัดนี้เงียบสนิททั้งหมดแล้ว
“นี่ไม่ใช่ฟ้าผ่าธรรมดา…นี่เป็นวิชาอสนี! มีคนกำลังคุมอสนี!”
ชายร่างผอมหน้าแหลมตะโกนบอกทุกคน
“มีคนกำลังคุม…”
เปรี้ยง…เปรี้ยง…ครืน…
ประโยคครึ่งหลังเขาไม่พูดออกมาแล้ว สายฟ้าหกเจ็ดสายผ่าถูกเขาแทบจะพร้อมเพรียงกัน ไม่มีเวลาให้ตอบสนองเลยด้วยซ้ำ
วิชาคุมอสนีไม่ได้มีชื่อเสียงในด้านอานุภาพที่สุด แต่เป็นความเร็วที่ไม่อาจหลบเลี่ยงได้เลยต่างหาก และเทียบกับสายฟ้าธรรมดาแล้ว สายฟ้าของวิชาคุมอสนีเต็มไปด้วยพลังและเจตจำนงแท้ กอปรกับสภาวะพิเศษของผู้ฝึกมารในตอนนี้ อานุภาพของมันยิ่งโดดเด่น
นักเวทที่เป็นมนุษย์หรือจอมยุทธ์มนุษย์จำนวนหนึ่งลนลานเป็นอันดับแรก นอกจากคนจำนวนน้อยมากที่ตกใจจนชะงักงันไป ส่วนใหญ่ตะเกียกตะกายวิ่งไปยังนอกแท่นพิธี
“ไอ้หยา ฟ้าผ่าคนตายแล้ว!”
“รีบหนีเร็ว…ฟ้าผ่าคนตายแล้ว!”
“ไปๆๆ เงินไม่ได้สำคัญเท่าชีวิต”
“อย่าดันๆ…”
ท่ามกลางคนหลายพันคน มากกว่าเก้าส่วนล้วนเป็นคนธรรมดาหรือจอมยุทธ์ ต่างก็อยากมีขางอกเพิ่มขึ้นหลายข้างเพื่อลงจากแท่นพิธีใจแทบขาด ในหมู่พวกเขามีผู้ฝึกปราณที่ไม่เกี่ยวข้องกับต้าเจินและไม่แตะต้องปราณชั่วร้ายปะปนอยู่ด้วย
ครืน…ครืน…
สายฟ้ายังคงผ่าลงมาเป็นครั้งคราว ไม่ใช่ว่าผ่าถูกคนเสียทุกครั้งไป แต่ก็ผ่าถูกคนที่กำลังหนีเอาตัวรอดตายไปหลายสิบคนแล้ว
ในสถานการณ์แบบนี้ ทหารรักษาพระองค์ด้านล่างก็หนีออกจากแท่นพิธีเพราะหวาดกลัวฟ้าพิโรธ หาสถานที่ที่กำบังฝนได้ จึงไม่ได้ขวางเหล่านักเวทที่ไม่ควรออกจากแท่นพิธีเอาไว้เลย
ผู้ฝึกปราณที่ปะปนอยู่ในกลุ่มคนโชคดีหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย เมื่อออกห่างจากแท่นพิธีแล้ว ความรู้สึกหวาดกลัวที่กดอัดลงมาถึงจางหายไป ตอนหันกลับไปมองอีกครั้งพบว่าทั้งแท่นพิธีเหมือนกับเป็นสีเทาไปหมดแล้ว
บนแท่นพิธียังมีอีกอย่างน้อยหลายร้อยคนที่ไม่ได้หนีไปด้วยกัน ไม่ใช่ไม่อยากหนี แต่หลายคนล้วนไม่กล้าประมาท ยิ่งไม่อาจประมาทได้ด้วย
ตอนนี้ฝนห่าใหญ่ตกลงมา แม้น้ำฝนจะไหลไป แต่แท่นพิธีใต้เท้าทุกคนกลับรองรับคลื่นน้ำตื้นไว้ชั้นหนึ่ง เหมือนกับกระจกชัดแจ๋ว
บนผิวน้ำสะท้อนเงาคนและเงาหน้าตาแปลกประหลาดมากมาย บ้างยืนอยู่บนแท่นพิธีเป็นคนแท้ๆ ทว่าเงาสะท้อนบนคลื่นน้ำกลับเป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง
นี่ยังไม่ใช่ประเด็น เพราะประเด็นอยู่ที่บนผิวคลื่นน้ำเหมือนกระจกเกิดระลอกคลื่นจากฝน ยิ่งมีตัวอักษรทอแสงวิญญาณปรากฏออกมา
ตัวอักษรส่องแสงนุ่มนวล แสงจันทร์ไร้สิ้นสุดแย้มออกจากกลางกระจกเหมือนดอกไม้บาน และเหมือนมีพระจันทร์ขึ้นกลางสายฝน
ลมปราณยิ่งใหญ่ชักนำมัน แสงสว่างแสดงอภินิหารกลางสายฝนคลุมเครือ ดังนั้นหลายร้อยคนที่เหลือรู้สึกอยู่ภายใต้ความกดดันทุกคน ทำได้เพียงฝืนลุกขึ้นยืน
“ฮ่าๆ…เงาสะท้อนในกระจกพลิกกลับสองลักษณ์!”
จี้หยวนนั่งอยู่ในเพิงซึ่งห่างจากแท่นพิธีหลายร้อยจั้ง หลังพิงโต๊ะ เขานั่งไขว่ห้างสองมือวางอยู่บนหัวเข่า มองแสงเรืองรองทางแท่นพิธีด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มและสายตาเย็นชา
หลังจากอานุภาพกระบี่ทลายสวรรค์ในครั้งแรก จี้หยวนทำความเข้าใจเขตแดนของตนเองและสำแดงวิชาได้เป็นผลสำเร็จ
เขาพึงพอใจต่อวิชายืมแรงนี้ของตนเองเป็นอย่างยิ่ง แสงจันทร์ วิชาบัญชา อานุภาพมนุษย์ ไปจนถึงปราณสกปรกของสิ่งชั่วร้ายล้วนขาดไปไม่ได้ คุณลักษณ์ปราณทั้งหลายยิ่งเต็มเปี่ยมก็ยิ่งเกิดผลสำเร็จรุนแรง
จี้หยวนคิดอย่างไม่ละอายใจ วิธีการนี้นับว่าเต็มไปด้วยจินตนาการในโลกฝึกปราณอันอัศจรรย์ไร้สิ้นสุด
ภายใต้ฝนตกจากฟ้า ทั้งแท่นพิธีเหมือนกับกระจก ตัวอักษรหลายร้อยทำให้ปรากฏมรรคลึกซึ้ง รวมกับการชักนำปราณมนุษย์ก่อนหน้านี้และแสงจันทร์แย้มบาน เกิดเป็นการใช้กระจกพลิกกลับแล้ว
มาร ปีศาจ และสัตว์ประหลาดที่ถูกคัดเลือกบนแท่นพิธี บัดนี้ปราณของพวกมันถูกกระจกพลิกกลับ แม้ร่างกายยืนอยู่บนแท่นพิธี แต่ปราณกลับถูกกักขังไว้ใต้แท่นพิธี นี่เป็นสาเหตุที่คลื่นน้ำสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของพวกมันได้ ไม่ใช่อภินิหารเหนือกระจกส่องมาร เพียงแสดงคุณลักษณ์ปราณออกมาให้ชัดเจนเท่านั้น
ขอเพียงไม่มีพลังและอภินิหารที่พลิกคว่ำแท่นหินสูงนี้ได้ หรือมองทะลุขอบเขตวิชามรรคชั้นนี้ ก็จะขยับตัวไม่ได้เพราะคุณลักษณ์ปราณพัวพันอยู่ในจิตใจ อีกทั้งจิตวิญญาณถูกทำให้มัวหมอง ยิ่งใส่ใจก็ยิ่งตระหนกและหวาดกลัว ยิ่งถูกกดดันจนลุกไม่ขึ้นกว่าเดิม
แน่นอนว่าหากมีวิชาหลบหนีที่ยากคาดอะไรก็หลุดพ้นได้
กรอบ…แกรบ…
กล้ามเนื้อทั่วตัวชายหนุ่มร่างกำยำพองขึ้น เขากัดฟันยืนอยู่อย่างนั้น
“อึก…เฮือก…”
ปัก เข่าข้างหนึ่งงอลงกับพื้นแท่นบูชา ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรง จากนั้นขาอีกข้างหนึ่งก็กระแทกลงบนแท่นหินดังปักเช่นกัน ที่หน้าแปลกคือผิวน้ำเพียงเกิดระลอกคลื่นแต่ไม่มีน้ำกระเด็น
“โฮก…”
ชายชราอีกด้านหนึ่งเงยหน้าส่งเสียงคำราม ใบหน้าปรากฏความดุร้าย กระดูกทั่วตัวลั่นดังกรอบแกรบ ปราณปีศาจพุ่งพล่าน อาศัยเรี่ยวแรงทั้งหมดก้าวไปข้างหน้าครึ่งก้าว
ปรากฏว่าสายฟ้าไร้สิ้นสุดผ่าลงมา
เปรี้ยง…เปรี้ยง…ครืน…
ขอทานชรายื่นมือไปปิดตาขอทานเด็กอย่างอดไม่ได้ ด้วยกลัวว่าสายฟ้าจะทำลายดวงตาเขา
“จิ๊ๆๆ…ตาเฒ่าคุกเข่าลงอย่าว่าง่ายก็พอไม่ใช่หรือ”
ขอทานชราและขอทานเด็กผ่อนคลายที่สุดในที่นี้ พวกเขาสองคนไม่เพียงไม่ถูกกักขังด้วยคุณลักษณ์ปราณ ขอทานชราก็มีจิตใจที่มองทะลุได้
ทว่าในใจขอทานชรามืดมนคับแคบ ท้ายที่สุดเขายังคงดวงตามืดบอดอยู่บ้าง ให้ความสำคัญกับวิชาบัญชานี้มากแล้วแท้ๆ กลับไม่อยากให้การเปลี่ยนแปลงชั้นแล้วชั้นเล่าเหนือความคาดหมาย
“โฮก…”
“โฮก…”
ท่ามกลางสายฟ้าบนท้องฟ้า มีเสียงมังกรร้องที่ไม่ค่อยชัดเจนนักดังขึ้น ประกาศความตื่นเต้นของมังกรเจียวบนชั้นเมฆ
ขุนนางต้าเจินนอกแท่นและเหล่าทหารที่เพิ่งหลบลี้เข้าใต้ชายคาต่างๆ มองแท่นสูงด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง ถึงแม้เห็นนักเวทจำนวนมากหนีลงมา แต่ดูจากฟ้าผ่าบนแท่นสูงอย่างต่อเรื่อง ในใจก็เกิดความคิดหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
‘ไม่ใช่ว่ายังมีคนอยู่ข้างบนกระมัง’
ขอทานชรามองท้องฟ้า มองเห็นวิธีการมากมายแล้ว จึงไม่คิดอยู่บนแท่นอีกต่อไป จูงมือขอทานเด็กเดินไปทางด้านล่างแท่น
ระหว่างนี้พวกนักเวทหลายต่อหลายคนที่ขยับไม่ได้พากันมองเขาด้วยความแปลกใจ อ้อนวอน และโกรธเคือง มีคนขอร้องให้เขาช่วยเหลือ หรือไม่ก็ต่อว่าเขาเพราะเข้าใจผิดอะไรบางอย่างไม่น้อย ถึงขั้นมีคนคิดรั้งขอทานชราไว้ด้วย แต่เมื่อวอกแวกแล้วถูกกดหมอบลงบนแท่นจนขยับไม่ได้ทันที
ชีวิตนี้ของขอทานเด็กไหนเลยจะเคยเห็นภาพน่ากลัวที่มีกลุ่มมารก่อความวุ่นวายแบบนี้ ดูจากเงาสะท้อนของนักเวทเหล่านั้น นั่นเป็นปีศาจร้ายอย่างแน่นอน ทำเอาเขากลับจนขดตัวอยู่ข้างกายขอทานชรา
แต่ขอทานเด็กไม่ใช่คนโง่ ท่านปู่หลู่มีความสามารถใดเขารู้อยู่แล้ว และเห็นสภาพการณ์นี้แล้ว ปีศาจมารร้ายเหล่านี้ทำร้ายคนไม่ได้แล้วเช่นกัน
“ท่านปู่หลู่…พวกมันจะตายหมดเลยหรือไม่”
“หึ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ข้าตัดสินได้ แน่นอนว่ายิ่งไม่ใช่เรื่องที่สิ่งเหล่านี้จะตัดสินได้”