จีเฉวียนทรงก้มพระพักตร์ลงทอดพระเนตรพระองค์เอง เสื้อผ้าชุดนี้ทั้งหลวมทั้งบางและก็รุ่ยร่าย แทบจะเผยทรวงอกออกมาครึ่งหนึ่ง
สายลมยามค่ำคืนพัดเอาความเย็นเข้ามาถึงพระองค์
พระองค์ทรงใส่พระทัยในรูปร่างอยู่เสมอ ดังนั้น อย่างน้อยๆย่อมต้องไม่ถูกนางรังเกียจอย่างแน่นอน
ทรงแยกห่างจากนางมานานถึงสามเดือนกับอีกห้าวันแล้ว
พระองค์จึงเสด็จมาหานางทั้งกลางดึกเช่นนี้ มาที่ตำหนักหย่งหนิงกง….มองดูนางแต่ไกล
นางสูงขึ้นแล้ว ยิ่งทีก็ยิ่งดูเป็นสตรีขึ้นมาทุกทีแล้ว
มีอยู่หลายครั้ง ที่พระองค์อยากจะโผไปที่เบื้องหน้าของนาง ถึงแม้จะเป็นเพียงการได้ตรัสแค่สองประโยคก็ยังดี
แต่พระองค์ก็ต้องทรงอดทนเอาไว้ก่อน…….
การปรากฏตัวของฉางซุนซิ่ว มิใช่เรื่องบังเอิญ……. เบื้องหลังของราชครูยังมีตำหนักซิวหลัวเตี้ยนที่มีอำนาจมั่นคง และมีขุมกำลังที่แข็งแกร่ง ซึ่งแม้แต่พระองค์เองก็ยังทอดพระเนตรไม่ออก
‘การคืนชีพ’ ของฉางซุนอิง เกรงว่าคงจะเป็นฝีมือของซิวหลัวเตี้ยนอย่างแน่นนอน
หากว่าปล่อยให้ซิงซิงกับฉางซุนอิงอยู่ด้วยกัน ก็ไม่รู้ว่าจะนำเภทภัยใดๆมาให้นางบ้าง
หอกในที่แจ้งยังหลบได้แต่ธนูลับยากจะป้องกัน[1] ปล่อยให้นางเป็นฮ่องเต้หญิงอยู่ในแคว้นเหยียนยังปลอดภัยกว่ารั้งนางไว้ที่ต้าโจวมาก
ถูกแล้ว…..หลายเดือนมานี้พระองค์กำลังใช้แผนซ้อนแผน ใช้ประโยชน์จางฉางซุนอิง
ทรง‘โปรดปราน’ตามใจนางจนแทบจะยกขึ้นฟ้า แล้วก็สืบหาบางสิ่งจากตัวนางไปด้วย ขณะเดียวกันก็ทำให้นางกลายเป็น ‘สนมปีศาจ’ที่มีชื่อเสียงเน่าเหม็นไปทั่ว
เรื่องที่ซูเม่ยสูญเสียครรภ์จนต้องไปอยู่ตำหนักเย็น และถูกบีบคั้นจนต้องแขวนคอตาย ต่างก็เป็นแค่เรื่องที่พระองค์กับซูเม่ยร่วมมือกันแสดงเท่านั้น
พอซูเม่ย ‘ตาย’ไป พระองค์ก็อาศัยความเอาแต่ใจของฉางซุนอิง จัดการล้างวังหลังจนสะอาดสะอ้าน
ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำลงไปทุกวันนี้ ก็เพื่อปูทางในอนาคตสำหรับพระองค์และนางทั้งสิ้น
เส้นทางนี้พระองค์ต้องอาศัยความอดทนเข้าไว้
พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ร้ายกาจไร้น้ำใจพออยู่แล้ว….
และพระองค์ก็ยังทรงมีสติรู้ตัวดี
อาอิงที่แท้จริงเป็นสตรีที่จิตใจดีมีเมตตา……และนางก็ไม่เคยรักพระองค์มาก่อนเลย
ความผูกพันระหว่างพระองค์กับนาง คือพี่ชายและน้องสาว
ไม่มีทางเป็นความรักใคร่แบบนั้นไปได้….
คนที่ทำให้ ‘นาง’ ‘คืนชีพ’ขึ้นมาผู้นั้น อาจคิดคำนวนเอาไว้ทุกอย่าง แต่คาดไม่ถึงว่า…..ตอนนั้นในใจของนางเฝ้าครุ่นคิดถึงคนผู้หนึ่งอยู่
คนผู้นั้น พระองค์ได้ส่งเขาลงนรกไปเป็นเพื่อนนางตั้งนานแล้ว
อาอิงหลงรักคนผิด…..จนเป็นเหตุให้จบสิ้นทั้งชีวิต
ดังนั้นนับตั้งแต่วันที่ ‘ฉางซุนอิง’ กลับมาพบพระองค์เป็นครั้งแรก และจุมพิตบาดแผลของพระองค์ จีเฉวียนก็ทรงแน่พระทัยแล้วว่า …..นางมิใช่นางคนเดิม
แต่พระองค์มิได้ทรงเปิดเผยออกไปตั้งแต่แรก ทั้งยังลวงอีกฝ่ายต่อไป ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าอาอิงมีความผูกพันกับพระองค์อย่างลึกล้ำจริงๆ
หมากตัวเดียว ก็สามารถสร้างผลกระทบไปทั่วทั้งกระดาน และแม้แต่คนที่เดินหมากผู้นั้นก็จะต้องถูกกระชากออกมาด้วย
ความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้น จะต้องเป็นเรื่องที่แม้แต่กระทั่งฉางซุนซิ่วเองก็ไม่รู้มาก่อน
เบื้องหลังทั้งหมดนี้ อาจเป็น ‘สำนัก’ ที่ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนทุ่มเทความคิดและจิตใจเพื่อสร้างขึ้นมา
พระองค์อาจจะทรงติดอยู่ในหมากกระดาน แต่จะต้องป้องกันนางให้อยู่ภายนอก……รอให้พระองค์ทรงสะสางทุกอย่างเรียบร้อบแล้ว จะต้องทรงอธิบายให้นางฟังอย่างชัดเจนอย่างแน่นอน
ทุกสิ่งในยามนี้ ให้พระองค์ทรงเสี่ยงเพียงลำพังก็พอ
……………………………………
เดี๋ยวนี้ตู๋กูซิงหลันคุ้นเคยกับการตื่นนอนแต่เช้าเพื่อออกว่าราชการแล้ว
ทุกๆวันพอฟ้าสางนางก็จะลุกขึ้นจากเตียง พอลืมตาอย่างสะลึมสะลือ ก็สะบัดผ้าห่มออกไปตามความเคยชิน พึ่งจะยื่นเท้าลงไป ข้อเท้าก็ถูกคนคว้าเอาไว้
หืม ไม่ใช่ความอบอุ่นแบบที่คุ้นเคย?
นางลืมตาขึ้นมา ก็เห็นว่าเบื้องหน้ามีคนผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่
เขาสวมใส่ถุงมือผ้าไหม ในมือกุมข้อเท้าของนางเอาไว้
เขาสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อบางที่หลวมและรุ่ยร่าย เผยให้เห็นทรวงอกเกือบครึ่งหนึ่ง
เนื่องเพราะเสื้อผ้าหลวมกว้างจนเกินไปพอมองจากมุมของนางจึงสามารถมองเห็นไปถึงองค์เอวที่ผอมบาง และผิวพรรณสีเดียวกับข้าวสาลียิ่งทำให้เกิดเป็นความงามพร้อมจนไม่อาจเปรียบเปรย
ตู๋กูซิงหลันชะงักไปครู่หนึ่ง ความง่วงงุนหายไปกว่าครึ่ง
ยามนี้นางถึงได้มาพิจารณาดูบุรุษที่คุกเข่าข้างหนึ่งตรงหน้า
เขาสวมหน้ากากเอาไว้ใบหนึ่ง หน้ากากใบนี้ออกจะจริงจังเกินไปแล้ว เพราะแม้แต่ดวงตาก็ยังไม่ให้เห็น ได้แต่มองดูลูกกระเดือกของเขาเท่านั้น
ตู๋กูซิงหลันจึงยิ่งประหลาดใจกว่าเดิม คนที่มาปรนนิบัตินางในวัง ต่างก็อยากจะให้นางเห็นหน้าค่าตาอยู่ตลอดทุกๆวันด้วยกันทั้งนั้น
เรื่องอะไรจะต้องมาปิดหน้าปิดตาไปเพื่ออะไร?
นี่เป็นวิธีดึงดูดความสนใจแบบใหม่หรือ?
ปิดบังแต่กลับเชื้อเชิญ?
นางหรี่ดวงตาลง มองดูเส้นผมที่ปล่อยสยายของเขา มองดูเรือนร่างผอมแต่ก็มิได้ซูบซีด ชั่วขณะนั้นอยู่ๆนางรู้สึกว่ามีความคุ้นเคยบางอย่าง
นางชะโงกตัวไปข้างหน้า พลางยื่นมือออกไปช้าๆคิดจะปลดหน้ากากของเขาลงมา
กลับกลายเป็นว่าเขาเอนร่างท่อนบนไปทางด้านหลังเล็กน้อย ค่อยเอ่ยกับนางขึ้นมาว่า “ฝ่าบาททรงมีพระวรกายสูงส่ง ข้าเป็นเพียงคนหยาบกระด้าง ไม่เหมาะสมที่จะได้รับสัมผัสจากพระองค์”
——
[1] 明枪易躲暗箭难防 อันตรายที่เห็นชัดยังป้องกันได้ง่ายกว่าการลอบทำร้าย
……………………………
ตอนต่อไป “กล้ามาทำการละเล่นเช่นนี้กับเรา?”