ตอนที่ 53 โควตาจากกลุ่มทดลองโนเบล
การแข่งขันความรู้แพทย์แผนจีนจบลงอย่างเป็นทางการแล้ว ทว่าตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่การแข่งขันดำเนินอยู่นั้น เว็บไซต์ทางการของการแข่งขันก็ได้กลายเป็นไอพียอดฮิตในช่วงนั้น
และชื่อของไป๋เยี่ยก็กลายเป็นประเด็นสุดร้อนแรงในแวดวงการแพทย์แผนจีน เด็กหนุ่มวัยยี่สิบสี่ปีผู้เป็นยอดอัจฉริยะด้านการแพทย์แผนจีนเอาชนะกลุ่มด็อกเตอร์อายุสามสิบกว่าและคว้าตำแหน่งแชมป์มาตั้งแต่รอบคัดเลือก รอบระดับมณฑล และรอบระดับประเทศติดต่อกันสามสนาม จนติดอันดับท็อปเสิร์ชสามอันดับแรกบนเวยป๋อ
การแข่งขันครั้งนี้สร้างคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ให้กับการพัฒนาของการแพทย์แผนจีนอย่างมาก ผู้คนเริ่มหันมาให้ความสนใจกับการแพทย์แผนจีนมากขึ้นเรื่อยๆ
เริ่มมีการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมความรู้ด้านการแพทย์แผนจีนในพื้นที่ต่างๆ มากขึ้น
ระหว่างที่ไป๋เยี่ยและพวกกำลังนั่งรถกลับไปยังจิ้นซี ไป๋เยี่ยก็ได้รับสายให้ไปที่โรงแรมตามคำแนะนำของอีกฝ่าย
เมื่อเข้าไปในห้อง ไป๋เยี่ยก็พบถูโยว หวังซีหยวน และจางเสวียเวิ่นกำลังนั่งคุยกันอยู่
ไป๋เยี่ยชะงักไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยทักทายอาจารย์แต่ละท่าน “สวัสดีครับอาจารย์”
ทั้งสามคนหันมายิ้ม โดยหวังซีหยวนเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน “ไป๋เยี่ย คุณรู้ไหมว่าทำไมผมถึงเรียกคุณมาที่นี่”
ไป๋เยี่ยยืนนิ่ง พลันนึกถึงสายจากหูเฟิงอวิ๋น เขาเหลือบมองถูโยวด้วยหัวใจที่เต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมาจากอก
เขารู้สึกปลาบปลื้มจนแทบควบคุมตนเองไม่ได้พลางส่ายหัวไปมา “ไม่รู้ครับ”
หวังซีหยวนหัวเราะดังลั่น “โกหกนี่พ่อหนุ่ม!”
ถูโยวและจางเสวียเวิ่นหันมามองหน้าและยิ้มให้กัน
ไป๋เยี่ยได้ยินดังนั้นก็บ่นในใจ ให้ตายเถอะ รู้อยู่แล้วยังจะมาถามอีก…
หวังซีหยวนยกแก้วชาขึ้นจิบ “โอเค เลิกโกหกได้แล้ว ผอ.ของคุณเคยพูดเรื่องนั้นกับคุณแล้วนะ เรื่องทุนจากกลุ่มการทดลองโนเบลน่ะ พวกผมต้องพยายามอย่างหนักกว่าจะได้มันมา ถ้าให้พูดตามตรงก็คือคุณยังไม่มีคุณสมบัติพอจะได้รับมัน”
ถูโยวคลี่ยิ้มพลางมองไป๋เยี่ยด้วยสายตาชื่นชม “ใช้ได้ คุณเป็นเด็กที่เก่งมากคนหนึ่งเลยละ ไป๋เยี่ย แม้ว่านี่จะเป็นเพียงโอกาสทางการศึกษาเล็กๆ น้อยๆ แต่คุณอย่าได้มองข้ามโอกาสนี้ไปเป็นอันขาดล่ะ”
“กลุ่มทดลองโนเบลเป็นองค์กรระดับโลก ในนี้มีบุคลากรแนวหน้าจากทั่วทั้งมุมโลก แม้ว่าดิฉันจะเป็นเพียงผู้รับผิดชอบกลุ่มการทดลองเล็กๆ กลุ่มนี้ แต่การจะให้คุณเข้าร่วมกับกลุ่มการทดลองของเรานั้น คุณจะต้องได้รับความยินยอมจากสมาชิกในกลุ่มเสียก่อน หรือกล่าวคือ คุณสมบัติของคุณไม่ผ่านเกณฑ์!”
“แต่ดิฉันจะให้คุณเข้าไปเรียนในกลุ่มทดลองเป็นเวลาหนึ่งเดือน คุณจะเรียนรู้ได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณล้วนๆ โอกาสแบบนี้ไม่ได้ได้มาง่ายๆ พวกเราคว้าโอกาสนี้มาให้คุณได้เพราะว่าที่นี่คือประเทศจีน ถ้าเป็นต่างประเทศล่ะก็ นักศึกษาปริญญาตรีอย่างคุณคงไม่มีโอกาสได้เข้าไปเรียนในนั้นหรอก”
ไป๋เยี่ยพยักหน้ารับอย่างจริงจัง “วางใจได้ครับอาจารย์ถู ผมจะตั้งใจเรียนครับ!”
ถูโยวยิ้ม “อืม ดิฉันเชื่อมั่นในตัวคุณนะ อีกสิบปีข้างหน้า คุณต้องกลายเป็นคนมีชื่อเสียงอย่างแน่นอน คุณอาจจะได้เป็นสมาชิกในกลุ่มทดลองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก็ได้ ถึงตอนนั้น…ถึงแม้ว่าดิฉันอาจจะไม่ได้เห็นมันก็ตาม คุณจะต้องทำให้การแพทย์แผนจีนของเรากลับมายิ่งใหญ่ได้อย่างแน่นอน!”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
ถูโยวหุบยิ้มลง “อายุเท่าไหร่กันแล้ว ฉันเองก็แก่ขนาดนี้แล้วยังจะต้องมาสนใจเรื่องพวกนี้อีกเหรอ มีใครไม่ตายบ้างเหรอ จริงๆ เลย! เหล่าจาง ฉันไม่เคยเห็นนายเศร้าขนาดนี้มาตั้งแต่ตอนที่ยังเรียนอยู่เลยรู้ไหม”
ไป๋เยี่ยจึงได้รู้ว่าถูโยวและจางเสวียเวิ่นเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาก่อน!
ถูโยวพูดต่อ “กลับบ้านไปก็อ่านสรีรวิทยา ชีวเคมี เภสัชวิทยา แล้วก็เวชศาสตร์ทดลองมาดีๆ แล้วกัน คุณจะต้องมารายงานตัวที่นี่และเริ่มฝึกงานเป็นเวลาหนึ่งเดือนในวันที่ห้าเดือนหนึ่ง หลังขึ้นปีใหม่ ระหว่างช่วงเวลานี้ห้ามเกียจคร้านเป็นอันขาด ต้องตั้งใจอ่านหนังสือที่ดิฉันเตรียมไว้ให้คุณ”
หลังจากที่คุยกันเรียบร้อยแล้ว ไป๋เยี่ยก็ออกมาจากโรงแรมและนั่งรถไฟกลับบ้านไปพร้อมกับคนอื่นๆ
อีกแค่เจ็ดแปดวันก็ปีใหม่แล้ว ไป๋เยี่ยกะว่ากลับบ้านไปครั้งนี้จะไปฉลองปีใหม่สักหน่อย แต่เขากลับต้องมาที่เมืองหลวงในวันที่ห้าเดือนหนึ่งเพื่อเข้าร่วมกลุ่มการทดลองโนเบลแทนเสียอย่างนั้น
ที่นั่นเป็นสถานที่แบบไหนกันแน่
ไป๋เยี่ยได้แต่เฝ้ารออย่างเงียบๆ ต่อไป
เมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมทีมแต่ละคนได้กลับบ้านไปอย่างมีความสุข ไป๋เยี่ยก็ได้แต่ส่ายหัว จะคิดมากไปทำไม
ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ
ทว่าอีกไม่นานก็จะปีใหม่แล้ว และนี่มันก็ผ่านมาครึ่งปีได้แล้ว พ่อกับแม่จะเป็นยังไงบ้างนะ
ได้เวลากลับบ้านแล้ว!
“เยี่ยจื่อ พวกเราได้ยินมาว่าสวี่จงเหล่ยเป็นอาจารย์ของนาย แถมยังเป็นฝ่ายกิจการนักศึกษาด้วย! ถ้างั้นก็ดีเลย หมอนี่เกาะนายมาตลอดทาง กลับไปก็ให้เขารับใช้นายซะนะ ไม่ต้องให้เขามาคอยยุ่งเรื่องโดดเรียนเอย การบ้านเอย หน่วยกิตเอยอะไรเอยหรอก นายก็ใช้เขาทำไปนั่นแหละ!”
“ใช่! เยี่ยจื่อ ถ้าเขากล้าว่านาย ฉันจะไม่สอนอะไรเขาอีกเลยคอยดู”
“ใช่สิ เยี่ยจื่อ ปีนี้นายจะสอบเรียนต่อป.โทนี่ ถ้างั้น…ให้ฉันช่วยแนะนำติวเตอร์ให้ไหม เขามาจากมหา’ลัยแพทย์แผนจีนเซี่ยงไฮ้น่ะ”
“พอๆๆ เยี่ยจื่อ ไหนๆ ครั้งนี้พวกเราก็ติดท็อปสิบแล้ว ถ้าฉันจะกลับไปเป็นติวเตอร์ก็คงไม่มีปัญหาหรอกเนอะ ไม่งั้นนายก็ไปสอบปีหน้าแทน แล้วเดี๋ยวฉันจะเป็นติวเตอร์ให้นายเอง คิดว่าไง”
“ให้ตายเถอะ ไม่อายบ้างเหรอ ให้ไป๋เยี่ยไปเป็นลูกศิษย์นายเนี่ยนะ!”
“เฮ้อ…ฟังให้จบก่อนสิ เยี่ยจื่อ ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นอาจารย์ของนายแค่ฉากหน้าก็เถอะ แต่ลึกๆ แล้วเราคงเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันไม่ได้หรอก เยี่ยจื่อ ต่อไปฉันจะเป็นคนทำทั้งการบ้าน ทั้งธีสิสให้นายเอง!”
ได้เห็นทุกคนพูดคุยกันเช่นนั้นแล้ว บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความสนิทสนมมากขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสิบคนดูจะดีขึ้นมากหลังจากที่ได้ใช้ช่วงเวลาในเมืองหลวงด้วยกัน
ผ่านไปไม่นาน รถไฟก็มาถึงสถานีแล้ว ต่างคนต่างบอกลาและแยกย้ายกันกลับ
พวกเขาเป็นกำลังสำคัญของวิชาชีพสาขาต่างๆ พูดกันตามตรง ภายในอีกสิบปีข้างหน้า พวกเขาจะต้องกลายเป็นบุคลากรแนวหน้าแห่งวงการแพทย์แผนจีนอย่างแน่นอน
บรรดาอัจฉริยะด้านการแพทย์แผนจีนอายุราวๆ สามสิบห้าปีจากทั่วซานซีได้มารวมตัวกันที่นี่แล้ว
พวกเขายังไปต่อได้อีกไกลด้วยเกียรติยศในครั้งนี้
แม้ว่าหลังจากนี้อีกสิบปีข้างหน้า การแข่งขันครั้งนี้จะกลายเป็นหัวข้อพูดคุยอันน่าหวนรำลึกไปแล้วก็ตาม
เมื่อมาถึงเมืองไท่หยวน ไป๋เยี่ยก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันคุ้นเคย ไร้ซึ่งความแปลกตาเหมือนที่เมืองหลวง
ไป๋เยี่ยเดินลากกระเป๋าเดินทางออกไปด้านนอก ในกระเป๋านั้นเต็มไปด้วยของฝากให้พ่อกับแม่
ที่สถานีมีคนเยอะกว่าปกติ ต่างคนก็ต่างรีบร้อน
ทันทีที่เขาเดินออกมาจากสถานี ก็มีแต่คนเรียกลูกค้าเดินเข้ามาหาเขา
“ไปท่ารถไหมจ๊ะสุดหล่อ”
“จะไปไหนเอ่ยสุดหล่อ หารถอยู่หรือเปล่า”
เดิมทีไป๋เยี่ยก็อยากปฏิเสธ ทว่ากลับมีชายคนหนึ่งอาสาเข้ามาลากกระเป๋าให้เขาทั้งรอยยิ้ม “ไปไหนดีน้อง หารถอยู่ไหม”
ไป๋เยี่ยเองก็จนมุม แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธชายคนนั้นไป แค่เรียกรถเอง เรียกคันไหนก็เหมือนกันแหละ!