ตอนที่ 93 กำหนดการสอบรอบสอง
คำพูดของลู่เผยอี้ทำเอาไป๋เยี่ยสร่างเมาทันที ประกาศรายชื่อแล้วเหรอ
ไป๋เยี่ยลุกออกจากที่นอนและเปิดโน้ตบุ๊กของเขาขึ้นมา ก่อนจะเข้าเว็บไซต์ทางการของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนไห่ซื่อ
หลังจากที่เปิดดูหมวดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาแล้ว ข่าวแรกที่เด้งขึ้นมาก็คือรายชื่อผู้มีสิทธ์สอบเข้าระดับปริญญาโทรอบสอง ประจำปี 2017
ไป๋เยี่ยคลิกโหลดไฟล์เอ็กซ์เซล
เมื่อเปิดไฟล์ขึ้นมาก็พบว่าชื่อของเขาอยู่ที่อันดับหนึ่ง!
ไป๋เยี่ยได้คะแนนภาษาอังกฤษหนึ่งร้อยคะแนน คะแนนวิชารวมแพทย์แผนจีนสามร้อยคะแนน และวิชารัฐศาสตร์หกสิบเอ็ดคะแนน โดยมีคะแนนรวมอยู่ที่สี่ร้อยหกสิบเอ็ดคะแนน ได้คะแนนเป็นอันดับที่หนึ่ง สาขาที่สมัคร: สาขาอายุรศาสตร์แพทย์แผนจีนเกี่ยวกับโรคสมอง, ระดับปริญญาโท อาจารย์ที่ปรึกษา: เฮ่ออัน!
เมื่อไป๋เยี่ยเห็นชื่อของเขา เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเขาสอบติดแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าคะแนนของเขาสูงมากก็ตาม แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายถ้าไม่ได้เห็นประกาศ
แต่เมื่อไป๋เยี่ยลองเลื่อนลงไปก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าคะแนนของคนอื่นๆ ก็สูงเหมือนกัน!
ฟู่ย่าตงได้คะแนนวิชารวมแพทย์แผนจีนสองร้อยแปดสิบคะแนน, ภาษาอังกฤษแปดสิบคะแนน และรัฐศาสตร์แปดสิบเอ็ดคะแนน ได้คะแนนรวมสี่ร้อยสี่สิบเอ็ดคะแนน สาขาที่สมัคร: สาขาอายุรศาสตร์แพทย์แผนจีนเกี่ยวกับโรคสมอง, ระดับปริญญาโท อาจารย์ที่ปรึกษา: เฮ่ออัน!
อัตราส่วนการสอบรอบสองของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนไห่ซื่อคือสามต่อหนึ่ง จะมีเพียงสามคนเท่านั้นที่ได้รับการคัดเลือกเข้าเรียน และในการสอบรอบสุดท้ายจะต้องเลือกผู้เข้าสอบหนึ่งคนจากสามคนเท่านั้น
ทุกๆ ปีเฮ่ออันจะรับนักศึกษาระดับปริญญาโทสองคน จึงมีผู้เข้าสอบรอบสองทั้งหมดหกคน
ไป๋เยี่ยเห็นว่าคะแนนของคนอื่นสูงมาก โดยคะแนนที่ต่ำที่สุดก็คือสามร้อยเจ็ดสิบ ดูเหมือนว่าเฮ่ออันจะเก่งมากจริงๆ ถ้าคะแนนของเขาน้อยกว่านี้หน่อยเขาก็คงไม่กล้าบากหน้าเข้าไปสมัครหรอก
ไป๋เยี่ยรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อยเพราะเขายังไม่รู้จักเฮ่ออันดีพอ
การรับนักศึกษาเข้าเรียนต่อระดับปริญญาโทขึ้นอยู่กับจิตพิสัยล้วนๆ ถ้าคุณเป็นที่โปรดปรานของอาจารย์ที่ปรึกษา เขาก็จะประคบประหงมคุณแม้ว่าคะแนนของคุณจะไม่สูงมากก็ตาม
ซึ่งการสอบรอบสองนั้นสำคัญมาก!
ลู่เผยอี้พูดต่อ “เยี่ยจื่อ ฉันว่านายต้องเตรียมตัวดีๆ แล้วละ คะแนนของคนที่ได้อันดับสองก็สูงใช่ย่อยนะ แถมพวกเขายังจบป.ตรีจากมหา’ลัยดังๆ ดีๆ ด้วย มหา’ลัยของเราคงสู้ไม่ได้หรอก ฉันว่านายต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสอบรอบนี้นะ! ถึงนายจะได้คะแนนรอบแรกเยอะก็เถอะ แต่อย่ามาตกม้าตายที่รอบนี้เลย!”
ต้วนเย่ว์พยักหน้า “เฮ้อ! ตัวตึงก็งี้แหละนะ ดูเฮ่ออันสิ ทั้งหกคนที่เขารับเข้ามาไม่มีใครได้คะแนนน้อยกว่าสามร้อยเจ็ดสิบเลย”
ไป๋เยี่ยส่ายหัว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาคิดเรื่องแบบนี้เสียหน่อย เขาจัดการคัดเอกสารที่ต้องใช้และเริ่มเตรียมตัวสำหรับการสอบรอบสองทันที
กำหนดการสอบรอบสองคือวันที่ 15, 16 และ 17 เมษายน วันที่ 15 จะเป็นการตรวจร่างกาย วันที่ 16 จะมีการสอบข้อเขียนในตอนเช้าและสอบปฏิบัติตอนบ่าย ส่วนวันที่ 17 จะเป็นการสอบสัมภาษณ์
มีเวลาอีกแค่ครึ่งเดือน
นอกจากนี้ ในประกาศยังมีเกณฑ์การให้คะแนนด้วย
การสอบรอบสองแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกคือการสอบข้อเขียน ส่วนที่สองคือการสอบปฏิบัติ และส่วนที่สามคือการสอบสัมภาษณ์
การสอบข้อเขียน มีคะแนนเต็มสองร้อยคะแนน ส่วนการสอบปฏิบัติและการสอบสัมภาษณ์ มีคะแนนเต็มอย่างละหนึ่งร้อยห้าสิบคะแนน
ซึ่งวิธีคิดคะแนนรวมคือให้นำคะแนนสอบรอบแรก × 10% + คะแนนสอบรอบสอง × 10%
มีการแนะนำเนื้อหาที่ใช้ในการสอบข้อเขียนด้วย ไป๋เยี่ยพบว่าเนื้อหาที่ใช้สอบไม่ได้มีแค่วิชาพื้นฐานด้านการแพทย์แผนจีน แต่ยังมีวิชาพื้นฐานของการแพทย์แผนปัจจุบันอย่าง อายุรศาสตร์ การวินิจฉัย สรีรวิทยา และกายวิภาคศาสตร์ด้วย
ทว่าคะแนนเต็มแค่สองร้อยคะแนนนี้ ถึงแม้จะมีเนื้อหาจากหลายๆ วิชา แต่หัวข้อที่นำมาใช้สอบนั้นคงมีไม่เยอะเท่าไหร่
ไป๋เยี่ยไม่รู้ว่าจะมีการสอบเรื่องอะไรบ้าง เขาจึงลองค้นหาข้อสอบเก่าๆ จากกระทู้สนทนาและดาวน์โหลดมันมา
หลังจากใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในการทบทวนเนื้อหาที่ใช้สอบ ไป๋เยี่ยก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก โชคดีที่ข้อสอบไม่ได้ยากมาก คงไม่มีปัญหาหรอก
ช่วงนี้เขาได้ศึกษาวิชาพื้นฐานของการแพทย์แผนปัจจุบันมาบ้าง พื้นฐานของเขาจึงดีในระดับหนึ่ง
ดูแล้วไม่น่ามีปัญหากับการสอบข้อเขียน
ส่วนการสอบปฏิบัติจะมีขอบเขตที่กว้างกว่า ข้อสอบของแต่ละปีจะแตกต่างกันออกไป แต่ก็คงไม่ต่างกันมากนัก
ไป๋เยี่ยรู้สึกกังวลกับการสอบปฏิบัตินิดหน่อย เพราะว่าเขาไม่ค่อยได้แตะงานภาคปฏิบัติเลย
เรื่องพื้นฐานที่สุดในการสอบปฏิบัติก็น่าจะเป็นการตรวจร่างกาย ซึ่งการตรวจร่างกายก็ค่อนข้างยุ่งยากอยู่พอสมควร
เพราะว่าการตรวจร่างกายนั้นมีหลายขั้นตอน เช่น การคลำต่อมน้ำเหลืองทั่วร่างกาย การตรวจหน้าอกคนไข้ การเคาะ การคลำบริเวณช่องท้อง การตรวจระบบประสาท ซึ่งแบ่งออกเป็นปฏิกิริยาทางสรีรวิทยาและปฏิกิริยาทางพยาธิวิทยา
ที่กล่าวมานั้นถือเป็นทักษะขั้นพื้นฐาน แต่ก็ยังมีทักษะขั้นสูงกว่านั้นอีก เช่น การทำซีพีอาร์ การใส่ท่อช่วยหายใจและการเจาะส่วนต่างๆ ของร่างกาย
การทำซีพีอาร์และการใส่ท่อช่วยหายใจเป็นวิธีการปฐมพยาบาลขั้นพื้นฐานที่สุด ในขณะที่การเจาะส่วนต่างๆ ของร่างกายคือการรักษาในชั้นคลินิก ได้แก่ การเจาะหน้าอก การเจาะช่องท้อง การเจาะเอว และการเจาะกระดูก
ไป๋เยี่ยเคยเห็นวิธีการเหล่านี้มาหมดแล้ว แต่เขายังไม่เคยลองทำ จึงยังไม่เข้าใจมัน
มีคนในกระทู้ของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนไห่ซื่อกล่าวว่าทักษะภาคปฏิบัติ ได้แก่ การรักษาผู้ป่วยด้วยตนเอง การเขียนเวชระเบียน การวินิจฉัยและการวางแผนการรักษา
เมื่อได้อ่านกระทู้นั้น ไป๋เยี่ยก็รู้สึกหนักใจ ถึงแม้ว่าความรู้ภาคทฤษฎีของเขาจะแน่นมาก แต่เขาจำเป็นจะต้องปรับปรุงทักษะภาคปฏิบัติโดยด่วนจริงๆ!
ไป๋เยี่ยคิดว่าช่วงนี้เขาน่าจะลองไปขึ้นวอร์ดดูบ้าง เพื่อที่จะได้คุ้นชินกับงานภาคปฏิบัติมากขึ้น
ส่วนการสอบสัมภาษณ์…
เฮ้อ มีผลเยอะที่สุดแล้ว มีหลายเรื่องที่ต้องตรวจสอบให้ดี จนถึงตอนนี้ไป๋เยี่ยก็ยังคงสงสัยว่ารูปร่างหน้าตาของเขานั้นมีผลต่อการสอบสัมภาษณ์หรือไม่!
ยังไงอาจารย์ก็เป็นผู้ชาย ฉันก็เป็นผู้ชาย ฉันหล่อขนาดนี้อาจารย์ก็อาจจะอิจฉาเอาได้ อีกอย่างฉันก็ไม่ได้เป็นเกย์ด้วย…ถ้าเพื่อนร่วมชั้นที่ชื่อว่าหนานเฟยซียังอยู่ล่ะก็ เขาต้องถนัดเรื่องนี้มากแน่ๆ!
ผู้คนบนอินเทอร์เน็ตบอกว่าการสอบสัมภาษณ์ระดับปริญญาโทนั้นมีจุดประสงค์ในการทดสอบผู้เรียนหลายๆ ด้าน และยังมีการสอบเป็นภาษาอังกฤษด้วย นอกจากนี้ยังดูด้วยว่าผู้เรียนเคยตีพิมพ์ผลงานอะไรบ้างหรือไม่ เคยทำการทดลองกับอาจารย์บ้างไหม จบจากมหาวิทยาลัยไหน รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับทุนการศึกษาที่ได้รับระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย ฯลฯ
มีชาวเน็ตคนหนึ่งบอกอีกว่าตอนที่เขาเข้าไปสอบสัมภาษณ์เพื่อเรียนต่อในระดับปริญญาโท อาจารย์เคยถามเขาว่า ‘คุณชอบดูละครโทรทัศน์ไหม’
เพื่อนร่วมชั้นผู้หญิงจึงตอบว่า “ชอบดูค่ะ”
อาจารย์ผู้ชายถามย้ำ “คุณชอบดูอะไร”
นักศึกษาหญิง “มหาบุรุษพลิกแผ่นดิน”
“ดูจบกี่รอบแล้วล่ะ”
“สามครั้งค่ะ…”
จากนั้นการสอบสัมภาษณ์ก็จบลง แม้ว่าจะได้คะแนนระดับกลางๆ แต่สุดท้ายก็สอบติด การสอบรอบสองจึงเป็นเหมือนขั้นตอนการรับเข้าศึกษาขั้นตอนหนึ่งเท่านั้น
ไป๋เยี่ยจึงสรุปได้ว่า การสอบรอบสองนั้นไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย
ทันทีที่อ่านจบไป๋เยี่ยก็นึกอะไรขึ้นได้
กำหนดการสอบรอบสองของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนไห่ซื่ออยู่ในช่วงกลางเดือนเมษายน ถ้าเกิดว่าทางนั้นใช้เวลาตรวจผลสอบสามถึงสี่วัน ผลสอบก็จะออกมาในช่วงปลายเดือนเมษายน
ตอนนั้นมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ก็น่าจะสอบกันเสร็จหมดแล้ว และน่าจะเข้าสู่ช่วงการรับนักศึกษาเข้าเรียนแล้ว ถึงตอนนั้นเขาก็คงไม่มีโอกาสเปลี่ยนอะไรได้อีกต่อไปแล้ว
คิดได้ดังนั้น ไป๋เยี่ยก็เริ่มกังวลนิดหน่อย!