เส้นทางนั้นดิ่งลึกลงไปใต้ท้องทะเล มุ่งตรงสู้มังกรหินตนนั้น
ยามเมื่อได้เห็นน้ำทะเลถอยห่างออกไปจากร่างของตน และพอเดินผ่านลงไปก็ค่อยม้วนกลับเข้า ตู๋กูเจวี๋ยก็มีสีหน้าตื่นเต้นด้วยความประหลาดใจ จนนึกว่านี่ตนเองกำลังฝันไป จึงอดไม่ได้ที่จะหยิกต้นข้าของตนเองครั้งหนึ่ง
ตั้งแต่เล็กๆเขาก็ชื่นชอบเรื่องเร้นลับต่างๆอยู่เสมอมา จึงพกพาสมุดเล่มเล็กเอาไว้จดบันทึกเรื่องราวของพวกภูตผีปีศาจอยู่เสมอ เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นกับตา
“บ้านเดิมของชือหลีอยู่ในทะเลลึกนั่นหรือ?” เขายื่นหน้ามองออกไปด้วยความสงสัย
“น้องเล็ก เจ้าดูปลาตัวนั้นสิ บนหัวของมันมีโคมไฟอยู่ด้วย หากจับมันไปเลี้ยงในอ่าง ตอนกลางคืนก็ไม่ต้องจุดตะเกียงแล้วใช่ไหม?”
ปลาที่มีดวงไฟส่องอยู่เหนือหัวถลึงตาใส่เขาครั้งหนึ่ง หันมาสะบัดหาง ส่งเสียงขู่ใส่เขาแล้วก็ว่ายหนีไปไม่ยอมหันกลับมาอีก
ตู๋กูเจวี๋ย “ช่างเถอะ ปลาตัวนั้นมันท่าทางจะนิสัยไม่ดี”
“น้องเล็ก เจ้าดูเต่าตัวนั้นสิ ตัวใหญ่เกือบหนึ่งจั้งเลย ทั้งยังว่ายน้ำได้เร็วมากขนาดนั้น ไปจับมันมาขี่ดีหรือไม่?”
ตู๋กูซิงหลันเหลือบตาไปมองดูเจ้าเต่าทะเลตัวนั้นครั้งหนึ่ง ก็ถอนใจออกมาเบาๆ
ราชาสุนัขป่าก็ถลึงตาใส่เขาครั้งหนึ่ง มันแทบจะอยากเหวี่ยงเขาลงมาจากหลังอยู่แล้ว มันเป็นถึงราชาสุนัขป่าตะวันตก ยอมสละตนให้เขานั่งเป็นพาหนะเขายังจะไม่พอใจ?
ยังจะไปหมายตาเจ้าเต่าใหญ่นั่นอีกหรือ?
“ไม่ชอบงั้นหรือ…” ตู๋กูเจวี๋ยโคลงศีรษะไปมา จากนั้นก็มองซ้ายมองขวาต่อไป เห็นเบื้องล่างมีแต่ปะการังมากมายราวป่าทึบ
ปะการังเหล่านั้นแต่ละต้นสูงตระหง่านราวกับต้นไห่ถางในตำหนักเฟิ่งหมิงกง มีสีสันหลากหลายทั้งยังส่องประกายระยิบระยับ
ท่ามกลางสถานที่ที่ดงามเช่นนี้ มีมังกรสีทองตัวหนึ่งปรากฏกายขึ้นมา
มังกรสีทองเหลืองอร่าม ท่าทางหยิ่งผยอง มันส่งเสียงตวาดคำรามออกมาครั้งหนึ่งใส่พวกเขา ขวางเส้นทางของพวกเขาเอาไว้
มันหยุดอยู่เบื้องหน้าพวกเขา นัยตาที่เป็นสีทองทั้งสองข้างมองตรงมา
มังกรตัวนั้นลอยตัวอยู่ในน้ำ เกล็ดสีทองที่เป็นประกายเหล่านั้นยังแวววาวยิ่งกว่าปะการังมากนัก
ตู๋กูเจวี๋ยชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตใดที่สวยงามขนาดนี้มาก่อนเลย ตลอดร่างเป็นสีทองแวววาว ยังน่าดูกว่าเหล่าตัวประหลาดที่ในหนังสือมีบันทึกเอาไว้มากมายนัก
ครู่หนึ่ง เขาค่อยยื่นปลายนิ้วออกมา ชี้ไปยังเจ้ามังกรทองตรงหน้า “น้องเล็ก…..หรือจะจับเจ้าตัวนั้นมาเป็นพาหนะดีไหม?”
ทันทีที่สิ้นเสียง ก็เห็นเจ้ามังกรทองตัวนั้นหัวเราะคิกคักออกมา จากนั้นก็กลายร่างเป็นสาวน้อยที่บอบบางแน่งน้อยในชุดสีทองต่อหน้าต่อตาพวกเขา
ดวงตาและคิ้วของนางมีส่วนคล้ายคลึงกับชือหลีอยู่สองส่วน นัยตาสีทองทั้งคู่จับจ้องมายังพวกเขา
“พาหนะ?” นางยกชายแขนเสื้อขึ้นมาบิดบังรอยยิ้ม ส่งเสียงหัวเราะที่น่าฟังราวไข่มุกกระทบจานหยก
นัยตาสีทองคู่นั้นมองผ่านตู๋กูเจวี๋ยไปอย่างเย็นชา ค่อยหยุดลงบนร่างของตู๋กูซิงหลัน
ในตอนนั้นเอง หัวคิ้วของนางก็โค้งขึ้นมา ดวงตาสีทองเปล่งประกายเปี่ยมไปด้วยแสงแห่งความละโมภ
นี่เรียกว่าอะไรนะ…..พอคิดจะนอนก็มีคนส่งหมอนหนุนมาให้พอดี
หากเปรียบเทียบกันในเรื่องความงาม นางไม่อาจสู้ชือหลีได้จริงๆ
มารดาของชือหลี คือ ชือฉาง องค์หญิงแห่งทะเลตะวันตก ผู้เป็นโฉมสะคราญอันดับหนึ่งแห่งทะเลตะวันตก
ความงดงามนั้นย่อมเป็นอะไรที่หลิ่วฮุย มารดาของนางไม่อาจเทียบได้อยู่แล้ว
ดังนั้นบุตรสาวที่ให้กำเนิดออกมาย่อมมีความแตกต่างกัน
ลู่เวยมองดูหญิงสาวที่งดงามปานจะล่มบ้านล่มเมืองตรงหน้า ก็ยิ่งเกิดความคิดอยู่ในใจ คนที่มีรูปโฉมงดงามเช่นนี้ หากว่าจับเอาไปทำเป็นยาเม็ดบำรุงความงาม กินลงไปเพียงเม็ดเดียว เกรงว่าไม่เพียงแค่ทะเลตะวันตก แต่ว่าในบรรดาสตรีของเผ่ามังกรทุกเผ่า ย่อมไม่มีผู้ใดจะสามารถเทียบกับนางได้ทั้งนั้น
ค่ำคืนนี้ เผ่ามังกรทมิฬก็จะส่งคนมารับตัวเจ้าสาวแล้ว รอให้นางได้ดูดซับเอาพลังของไข่มุกพลังวิญญาณเข้าไป เผ่ามังกรทั่วทั้งสี่ทะเลจะต้องเพิ่มพูนความเคารพที่มีต่อตัวนางอย่างแน่นอน
ถึงตอนนั้นโอกาสที่จะได้เผยโฉมออกไปก็จะมีมากขึ้น ใบหน้านี้ยิ่งสมควรจะต้องบำรุงให้งดงามยิ่งขึ้นไปอีกมิใช่หรือ?
ช่วงนี้ช่างมีโชคเหลือเกิน พึ่งจะได้กินมนุษย์และเหล่านักพรตไปตั้งมากมาย ก็ยังมีพวกที่ไม่รักชีวิตส่งตัวเองลงมาถึงใต้ท้องทะเลให้อีก
นางกวาดตาประเมินมองตู๋กูซิงหลันอยู่ครู่หนึ่ง ก็มองเห็นมุกมังกรในมือของนาง
“เอ๋? น้องสาวตัวดีของข้ากำลังจะแต่งงาน ตอนนี้ก็เลยมีมิตรสหายมามอบของขวัญกระนั้นหรือ?” ลู่เวยยิ้มเย็นชา น้ำเสียงของนางแฝงพลังที่ล่อลวงให้คนลุ่มหลง
นางไม่รู้ว่าจะบอกว่าชือหลีนั้นฉลาดเจ้าเล่ห์หรือว่าโง่เง่าดี
มุกมังกรที่เป็นแก่นแท้ของชีวิตก็ยังกล้าถอดออกไป?
มอบออกไปแล้ว ยังจะกล้าพาตัวกลับมายังทะเลตะวันตกอีก…..คงจะเพราะในใจหวังว่าเสด็จพ่อจะยังคิดถึงนาง อาจมอบทางรอดให้กับนางสายหนึ่ง?
เฮอะ เฮอะ
หากบอกว่านางโง่ มุกมังกรที่นางถอดออกไปก็ยังสามารถเป็นหนทางรอดให้กับตนเองได้อยู่
ดูสิ นี่มิใช่ว่ายกทัพหนุนมาช่วยกันหรอกหรือ?
พี่รองรู้สึกว่าน้ำเสียงนั้นคล้ายจะสะท้อนเข้าไปถึงในหัวใจ ทำให้อยากจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ออกไป
“เจ้าเปลี่ยนเป็นมังกรยังจะน่าดูมากกว่า …..หน้าตาคล้ายชือหลี แต่กลับสวยสู้นางไม่ได้ ข้าเห็นแล้วอึดอัด” บุรุษที่เที่ยงแท้อย่างเขายามพูดความจริงออกมาตรงๆก็เสมือนผลักคนให้ไปตายเท่านั้น
สีหน้าของลู่เวยบูดเบี้ยว ตั้งแต่เล็กมาแล้วใครๆต่างก็พากันกล่าวว่าชือหลีงดงามกว่านาง ……นางทนฟังมาร้อยปีเต็มแล้ว!
นี่เป็นปมในใจของนาง ตลอดหลายปีมานี้ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยขึ้นมาแม้แต่ประโยคเดียว เจ้ามนุษย์ธรรมดาที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษผู้นั้นกลับกล้าลบหลู่นาง?
มือของลู่เวยเอื้อมไปทางด้านหลัง
ตู๋กูซิงหลันแบกดาบยักษ์เล่มใหญ่เอาไว้บนบ่า ไม่รอให้ลู่เวยล้วงสิ่งที่อยู่ด้านหลังออกมา นางก็ยกดาบยักษ์ฟาดฟันออกไปแล้ว
เมื่อมีมุกมังกรที่เป็นแก่นชีวิตของชือหลีอยู่ในมือ น้ำทะเลก็ได้แต่ถอยห่างจากตัวนาง สิ่งนี้ยังทรงอิทธิฤทธิ์เหนือล้ำกว่าลูกแก้ววารีนับร้อยนับพันเท่า
ถึงแม้ว่าจะอยู่ในน้ำ แต่ก็สามารถเปิดพื้นที่ว่างช่วงหนึ่งให้กับนางได้เลย
โรคกลัวน้ำลึกของตู๋กูซิงหลันย่อมถูกสกัดกั้นเอาไว้
พอเห็นดาบนั้นสะบัดออกมา ลู่เวยที่ยังไม่ทันชักอาวุธออกมาก็ได้แต่ต้องหลบหลีกออกไปด้านข้าง
ดาบยักษ์สะบั้นลงไปเฉียดผ่านหัวไหล่ของนาง สะกิดโดนเสื้อผ้าสีทองขาดเป็นรอย เผยผิวบนหัวไหล่ของนางออกมาเล็กน้อย
ร่างของนางลอยอยู่กลางน้ำทะเล จุดที่นางอยู่เมื่อครู่ถูกดาบยักษ์สะบั้นจนแยกออก ครู่ต่อมาน้ำทะเลถึงได้กลับมารวมกันเหมือนเดิม
ตู๋กูซิงหลันสวมชุดสีแดงดุจแสงเพลิง เส้นผมสีดำยาวพลิ้วไหวราวเริงระบำ สองมือกุมดาบยักษ์เอาไว้อย่างแนบแน่น ดวงตาดอกท้อเปล่งประกายแหลมคมเสียยิ่งกว่าคมดาบ
ดาบเดียวที่ฟาดออกไป ห่วงที่ร้อยบนตัวดาบก็ส่งเสียงร้องรับออกมา
ลู่เวยเหลือบตาไปด้านข้าง มองดูริ้วรอยที่อยู่บนหัวไหล่ของตนเอง ค่อยเงยหน้าขึ้นมองดูสตรีเผ่ามนุษย์ผู้นั้นอีกครั้ง
ก็ได้ยินนางเอ่ยขึ้นมาช้าๆอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “พึ่งหัดใช้ดาบ ก็เลยไม่ค่อยถนัด”
ดาบยักษ์ของพี่ใหญ่มิใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถควบคุมได้ เฉพาะน้ำหนักเกือบร้อยจิน คนธรรมดาก็ยกมันไม่ขึ้นแล้ว
ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะเอามาใช้เป็นครั้งแรก ย่อมไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง
แต่ในสายตาของลู่เวย ท่าทางเช่นนั้น ช่างเหมือนกับการโอ้อวด อหังการอย่างยิ่ง!
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าของเจ้านี้คือใคร?” สีหน้าของลู่เวยยิ่งบึ้งตึง ระเบิดความโกรธเกรี้ยวออกมาอย่างเต็มที่ นางถอยไปด้านข้างอีกครั้งหนึ่ง ชักดาบกระดูกออกมาจากด้านหลัง
ดาบกระดูกสีทอง บนตัวดาบมีตราสัญลักษณ์เฉพาะของเผ่ามังกร
ทันทีที่ดาบกระดูกมังกรปรากฏขึ้น แม้แต่ราชาสุนัขป่าตะวันตกยังบังเกิดความคิดที่จะคุกเข่าลงไปอย่างกระทันหัน จนต้องส่งเสียงหอนออกมา
เผ่ามังกร คือราชาของสรรพสัตว์ ย่อมมีพลังอำนาจในการสะกดข่มโดยธรรมชาติ
ดาบกระดูกเล่มนั้น หลอมขึ้นจากกระดูกมังกร จึงแฝงพลังของเผ่ามังกรที่ไม่มีสัตว์ใดสามารถต่อต้านได้เอาไว้
เหล่าสัตว์น้ำทั่วท้องทะเลต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่เบื้องหลังของลู่เวย ฝูงฉลามรวมกลุ่มกันเป็นกองทัพอยู่ใต้ฝ่าเท้าของนางกลายเป็นฉากที่งดงามตระการตาใต้ท้องทะเลลึก
แต่ในขณะเดียวกันฉากนี้ก็ให้ความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวอยู่ด้วย
ลู่เวยถือดาบกระดูกมังกรเอาไว้ในมือ สะกิดปลายเท้า พลิกฝ่ามือพุ่งเข้าหาตู๋กูซิงหลัน
ดาบนี้พุ่งตรงเข้าลำคอของนาง หมายเอาชีวิต!
……………………………..
ตอนต่อไป “มังกร? ก็จะทุบตีเจ้าอยู่ดี!”