ตอนที่ 150 แผนงานวิจัย
ทั้งห้องเงียบไปพักหนึ่ง จางฮั่นหลินอ่านเอกสารที่ไป๋เยี่ยส่งให้เขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมามองไป๋เยี่ยด้วยความสงสัย จากนั้นก็ก้มหน้าอ่านอีกครั้งหนึ่ง
ราวๆ สิบห้านาทีต่อมา จางฮั่นหลินก็วางเอกสารลงบนโต๊ะก่อนจะประสานมือและมองไปที่ไป๋เยี่ย “คุณจริงจังใช่ไหม”
ไป๋เยี่ยพยักหน้าพร้อมกับตอบไปอย่างแน่วแน่ “แน่ใจครับ ผมคิดมาดีแล้ว”
หัวข้อของเอกสารฉบับนั้นคือ ‘การให้ความสนับสนุนในการทำการทดลองเกี่ยวกับหนูทดลองที่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซี’
จางฮั่นหลินถอนหายใจ “คุณรู้ไหมว่าคุณจะต้องใช้หนูทั้งหมดกี่ตัว”
จางฮั่นหลินพูดจบก็ส่ายหัวไปมา ช่วงนี้เขายุ่งมาก! เขาเอาแต่พึมพำกับตนเองในใจว่าเขากำลังทำเรื่องไร้สาระอยู่ เพราะว่าในเอกสารของไป๋เยี่ยได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า
‘ทางเราจะให้การสนับสนุนการทดลองที่มหาวิทยาลัยโดยมอบหนูเคเอ็มให้จำนวนสามหมื่นตัว‘
โดยปกติแล้ว ทางมหาวิทยาลัยจะใช้หนูทดลองเป็นจำนวนมากไม่ได้ หากเป็นการทดลองโดยใช้หนูในคลาส นักศึกษาแต่ละกลุ่มจะได้รับหนูทดลองกลุ่มละสองตัวเท่านั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่นักศึกษาจะได้รับหนูทดลองคนละตัว
อีกแง่หนึ่งคือ นักศึกษานั้นยังมีศักยภาพไม่มากพอ และยังทำการทดลองใดๆ ให้เสร็จลุล่วงโดยลำพังไม่ได้ ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ราคาหนูทดลองค่อนข้างสูง
นอกจากการใช้หนูทดลองในคลาสเรียนแล้ว ก็ยังมีอาจารย์หลายคนที่มีคลาสเรียนมากกว่าหนึ่งคลาส ซึ่งพวกเขาก็ต้องใช้หนูในจำนวนที่มากขึ้นด้วย
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หนูทดลองจำนวนสามหมื่นตัวก็เพียงพอสำหรับการทดลองต่างๆ
แม้ว่าราคาของหนูเคเอ็มจะไม่สูงนัก โดยปกติจะตกอยู่ราวๆ ตัวละสี่ถึงห้าหยวนเท่านั้น ทว่าหนูจำนวนสามหมื่นตัวก็เท่ากับเงินจำนวนหลายแสนหยวนแล้ว
นอกจากนี้ อาจารย์ในมหาวิทยาลัยยังไม่มีทุนสนับสนุนในการทำโครงการวิจัยอีกด้วย โดยปกติแล้วโครงการระดับเทศบาล (กรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) จะมีมูลค่าตั้งแต่สองหมื่นถึงห้าหมื่นหยวน ส่วนโครงการระดับมณฑลก็จะมีมูลค่าประมาณห้าหมื่นหยวน แต่ถึงอย่างไรการสมัครโครงการเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่ยากอยู่ดี
โครงการส่วนใหญ่มักจะเป็นโครงการระดับวิทยาลัย ซึ่งมีมูลค่าประมาณสองหมื่นหยวนเท่านั้น
เงินแค่สองหมื่นหยวนจะไปทำอะไรได้
ว่ากันตามตรง เงินแค่นั้นไม่เพียงพอสำหรับกำลังคนและทรัพยากรที่ต้องใช้หรอก โครงการจะประสบผลสำเร็จได้อย่างไร!
แค่หนูทดลองก็มีราคาหลายพันหยวนแล้ว แต่ตอนนี้มีคนยื่นข้อเสนอที่จะมอบหนูทดลองให้คุณแบบฟรีๆ คุณเต็มใจจะรับไว้ไหม
ถ้าบอกไม่เต็มใจก็คงโกหกแล้ว!
การที่ไป๋เยี่ยให้การสนับสนุนเรื่องหนูทดลองให้กับทางมหาวิทยาลัยนั้นเป็นประโยชน์อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
มันเทียบเท่ากับการให้ทุนสนับสนุนสำหรับการทำงานวิจัยให้กับทางมหาวิทยาลัยและอาจารย์เลยทีเดียว เรื่องอะไรพวกเขาจะปฏิเสธ
จางฮั่นหลินมองไป๋เยี่ยอย่างสงสัยก่อนจะเอ่ยถามช้าๆ “ทำไมคุณถึงคิดจะทำแบบนี้”
ไป๋เยี่ยรู้ว่าจางฮั่นหลินจะต้องถามคำถามนี้อย่างแน่นอน เขาจึงตอบไปอย่างสงวนท่าที “อาจารย์จาง จริงๆ แล้วผมกำลังทำการทดลองอยู่ครับ หนูพวกนี้ผมให้ฟรีเลย ผมแค่หวังว่าหลังจากที่ทำการทดลองเสร็จแล้ว ผู้ทดลองจะช่วยประเมินหนูทดลองพวกนี้เท่านั้นครับ ผมทำตารางประเมินไว้ให้แล้ว พอจะใช้หนูก็เอาตารางนี้ไปด้วยก็พอครับ”
“ผมแบ่งหนูทั้งสามหมื่นตัวออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มละหนึ่งหมื่นตัว โดยผมจะส่งมันไปตามหน่วยทดลองต่างๆ จุดประสงค์ก็เพื่อสังเกตลักษณะพื้นฐานของหนูแต่ละกลุ่มครับ ถือว่าเป็นการทดลองที่แทรกๆ ไประหว่างการทดลองอื่นๆ น่ะครับ”
“แต่อาจารย์มั่นใจได้เลย หนูทั้งสามกลุ่มนี้เป็นหนูที่มีคุณภาพแน่นอนครับ หนูทั้งหมดเป็นหนูเคเอ็ม กลุ่มแรกเป็นหนูที่เพาะพันธุ์ขึ้นโดยเฉพาะ กลุ่มที่สองเป็นหนูที่มาจากการเพาะพันธุ์ทั่วไป และกลุ่มสุดท้ายเป็นหนูทั่วๆ ไปตามท้องตลาด”
ไป๋เยี่ยบอกจุดประสงค์ของเขาไปอย่างชัดเจน ซึ่งจุดประสงค์หลักของเขาก็คือต้องการเปรียบเทียบหนูทั้งสามกลุ่ม
ซึ่งข้อมูลการเปรียบเทียบจะมาจากการประเมินระหว่างการทดลอง
กล่าวคือ ไป๋เยี่ยจะเป็นคนจัดหาหนูทดลองมาให้ ผู้ทดลองก็มีหน้าที่แค่ประเมินคะแนนหลังจากที่ทำการทดลองเท่านั้น
จางฮั่นหลินได้ฟังก็เงียบไป นี่เป็นเพียงการสังเกตหนูทดลองระหว่างการทดลองเท่านั้น แต่เขาจะทำแบบนั้นไปทำไมกัน
เพราะไป๋เยี่ยเลี้ยงหนูหรือ หรือว่าเขากำลังมองหาความแตกต่างของหนูแต่ละสายพันธุ์
สายตาของจางฮั่นหลินที่มองไปยังไป๋เยี่ยดูจะต่างไปเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ว่าไป๋เยี่ยเติบโตขึ้นมากจริงๆ
ไป๋เยี่ยจะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่!
จางฮั่นหลินเกิดคำถามบางอย่างขึ้นในใจจึงเอ่ยถามไป๋เยี่ย “คุณอยากทำให้สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่กลายเป็นโครงการวิจัยไหม”
ไป๋เยี่ยเบิกตากว้าง!
เราไม่เคยคิดประเด็นนั้นเลย
ถ้าทำเป็นโครงการ ก็จะมีทุนสนับสนุนงานวิจัย อีกทั้งยังมีผู้เข้าร่วมโครงการคนอื่นๆ เข้ามาร่วมทำการวิจัยด้วย
แม้ว่าตอนสรุปผลการทดลองจะมีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่มันก็ยังคงเป็นงานวิจัยของเขาอยู่ดี
เขาเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ ในขณะที่คนอื่นๆ เป็นแค่ผู้เข้าร่วมเท่านั้น
ยิ่งทุกคนระดมความคิดด้วยกัน ก็จะยิ่งเกิดการทดลองใหม่ๆ ขึ้นด้วย!
อีกทั้งยังได้ผลลัพธ์ไวขึ้นอีกด้วย ไป๋เยี่ยรู้สึกมีความสุขมากเมื่อได้ลองคิดว่ามหาวิทยาลัยจะเป็นผู้สนับสนุนทุนวิจัยให้เขา
ไป๋เยี่ยถามอย่างตื่นเต้น “อาจารย์จาง! ผม…ทำได้ใช่ไหมครับ”
แต่เพราะทางมหาวิทยาลัยเองก็มีการจำกัดหัวข้องานวิจัยที่เข้มงวด มีเงื่อนไขที่ต้องทำตามหลายข้อ อีกทั้งยังต้องผ่านการอนุมัติและคัดกรองอีกหลายขั้นตอน กว่าจะอนุมัติก็คงเรียนจบไปนานแล้ว!
คิดได้ดังนั้นไป๋เยี่ยจึงถามต่อ “แต่…ผมกลัวว่าผมจะไม่มีเวลาน่ะสิครับ กว่าจะอนุมัติผมก็น่าจะเรียนจบแล้วนี่ครับ”
จางฮั่นหลินยิ้ม “ช่วงเวลาพิเศษสำหรับบุคลากรสุดพิเศษย่อมต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ!”
“สิ่งที่มหาวิทยาลัยของเรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้คือวิกฤตการเรื่องงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ทางเราได้มีประกาศออกมาแล้ว เราต้องให้ความสนใจกับงานวิจัยมากยิ่งขึ้น โดยต้องให้การดูแลอย่างเป็นพิเศษแก่ผู้ที่มีศักยภาพเพียงพอ ให้สิทธิพิเศษในการแสดงศักยภาพภายใต้ขอบเขตที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนด”
มาถึงจุดนี้แล้ว จางฮั่นหลินก็คืนเอกสารให้ไป๋เยี่ย “กลับไปเขียนรายงานเสนอหัวข้องานวิจัยให้ละเอียด ผมจะเรียกคนมาประชุมแล้วตรวจสอบหัวข้อของคุณโดยเร็วที่สุด จากนั้นก็มอบทุนสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยให้คุณไปทำวิจัยด้วย!”
ไป๋เยี่ยมีความสุขมาก เขารีบกล่าวขอบคุณจางฮั่นหลินแล้วหมุนตัวเดินออกไป
จู่ๆ จางฮั่นหลินก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะตะโกนเรียกไป๋เยี่ย “กลับมาก่อน ผมยังพูดไม่จบ! อย่าลืมคำนวณเงินทุนที่ต้องใช้ด้วยล่ะ ถ้าเงินไม่พอขึ้นมาผมจะไม่ช่วยแล้วนะ! แล้วก็…เก็บเงินไว้ด้วยนะ!”
ไป๋เยี่ยหันกลับมายิ้มแล้วเดินจากไปทันที!
จางฮั่นหลินมองตามร่างของไป๋เยี่ยที่ค่อยๆ เดินออกไปไกลเรื่อยๆ การทำงานวิจัยก็เปรียบเสมือนการเสริมสร้างแนวคิดทางวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่ง
เหมือนกับที่ไป๋เยี่ยกล่าวไว้ ‘การเดินจากบนลงล่างย่อมเร็วกว่าการเดินจากล่างขึ้นบน แต่การเดินจากล่างขึ้นบนนั้นต้องอาศัยความตั้งใจมากกว่า’
เพียงแค่ต้องนำแนวความคิดระดับสูงไปเผยแพร่ให้กับบุคลากรระดับทั่วไป และค่อยๆ สร้างแนวคิดทางการวิจัยขึ้นมาใหม่ ก็จะเสริมสร้างแนวคิดด้านการวิจัยได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว
ปัจจุบันมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซี มีจางฮั่นหลินเป็นตัวแทนของคำว่า ‘บนลงล่าง‘ แล้วใครจะเป็นตัวแทนของคำว่า ‘ล่างขึ้นบน’ ล่ะ
จางฮั่นหลินคิดว่าไป๋เยี่ยคือคนที่มีคุณสมบัตินั้น
ไป๋เยี่ยมีคุณสมบัติที่เพียบพร้อม อีกทั้งการที่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีมีชื่อเสียงขึ้นมาได้นั้น ก็ไม่ใช่เพราะว่าชื่อเสียงของจางฮั่นหลินหรือหูเฟิงอวิ๋น แต่เป็นเพราะไป๋เยี่ย
โครงการของไป๋เยี่ยจะสำเร็จหรือไม่ ไม่คัญ ขอแค่งานวิจัยของไป๋เยี่ยดึงดูดความสนใจของคนมในมหาวิทยาลัยได้ก็เพียงพอแล้ว!
พลังแห่งแรงดึงดูด แรงบันดาลใจ และแบบอย่างที่ดีนั้นทรงพลังมาก!
มีนักปรัชญาเคยกล่าวไว้ว่า วิธีที่ดีที่สุดในการเปลี่ยนแปลงคนกลุ่มหนึ่งไม่ใช่การตั้งกฎเกณฑ์ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม
หากความสำเร็จของไป๋เยี่ยถูกพูดถึงต่อกันไปแบบปากต่อปาก และทำให้ผู้คนหันมามุ่งมั่นกับการทำวิจัยได้ เขาก็จะบรรลุจุดประสงค์ในที่สุด…