บทที่ 194 ผมแนะนำให้พวกคุณถอย (2)
สิ้นเสียงพิธีกร ด้านล่างก็ส่งเสียงฮือฮากันใหญ่ ไม่มีคำชมใดน่าเชื่อถือไปกว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นแล้ว!
พิธีกรพูดจบก็ยิ้มฝืนๆ “เอ่อ…ขอโทษครับ ผมลืมไปสองอย่าง ภายในสองเดือนหลังจากสำเร็จการศึกษา ไป๋เยี่ยได้ทำลายการผูกขาดนวัตกรรมหนูเอสเอชอาร์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงตั้งแต่กำเนิดจากต่างประเทศและได้คิดค้นหนูเอสเอชอาร์รุ่นใหม่ขึ้น ซึ่งมีส่วนสนับสนุนอย่างมากต่อการวิจัยในประเทศของเรา อีกทั้งยังเสนอทฤษฎีความไม่เสถียรในยีนของหนูเคเอ็มซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งโลกด้วย”
ผู้คนด้านล่างเงียบไปครู่หนึ่ง ทำลายการผูกขาดนวัตกรรมจากต่างประเทศ นี่มันความสามารถแบบไหนกัน
ไป๋เยี่ยเดินขึ้นไปบนเวทีช้าๆ พลางมองไปรอบๆ ก่อนจะโค้งคำนับเล็กน้อย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องขึ้นมากล่าวสุนทรพจน์บนเวที ทว่าเขากลับไม่กังวลเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว
เขากล่าวทั้งรอยยิ้ม “วันนี้ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ยืนอยู่ที่นี่เพื่อกล่าวต้อนรับนักศึกษาใหม่ครับ เมื่อห้าปีที่แล้ว ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่นั่งฟังรุ่นพี่อยู่ด้านล่างเวทีเหมือนกัน”
“ช่วงนี้มีคำพูดยอดฮิตประโยคหนึ่งที่ว่า ‘ชวนคนมาเรียนหมอ ระวังฟ้าจะผ่าเอา’ ”
ทันทีที่ไป๋เยี่ยพูดจบ ผู้คนด้านล่างก็หัวเราะลั่นกับคำพูด ‘ชวนคนมาเรียนหมอ ระวังฟ้าจะผ่าเอา’ ทุกคนหัวเราะจนแม้แต่เหล่าผู้บริหารยังทำอะไรไม่ถูก จางฮั่นหลินก็ได้แต่จ้องมองไป๋เยี่ยจากด้านหลัง
เจ้าเด็กนี่อย่าหาเรื่องให้กันสิ นี่มันการประชุมนักศึกษาใหม่ครั้งแรกนะโว้ย
ไป๋เยี่ยยิ้ม “ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ เรียนหมอยากไหม เรียนหมอเหนื่อยไหม เรียนหมอทำให้ไม่มีเวลาไปเดท”
“บางคนบอกว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะได้เดินเข้าร้านอินเทอร์เน็ตไปเล่นเกมที่เมืองไหน แต่สำหรับนักศึกษาแพทย์ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะได้เรียนต่อที่ไหน”
“ทำไมผมถึงพูดแบบนี้ ในหนึ่งปีการศึกษามีวิชาที่ต้องเรียนเป็นสิบยี่สิบวิชา ไหนจะมีวิชาพื้นฐานอีกเป็นกอง อย่างสรีรวิทยา ชีวเคมี พยาธิวิทยา จุลินทรีย์ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ภูมิคุ้มกัน กายวิภาคศาสตร์ ฯลฯ วนไปวนมาเป็นเวลาสามปี สอบไปสอบมาเดี๋ยวก็ครบสามปีแล้ว“
“ที่วิทยาลัยแพทย์จะมีห้องอ่านหนังสือที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ซึ่งทุกช่วงใกล้สอบจะมีคนอยู่ที่นั่นเต็มไปหมด ถ้าอยากหาที่ว่างๆ นั่งทบทวนจริงๆ ล่ะก็ ผมขอแนะนำอาคารกายวิภาคศาสตร์ ไม่มีใครกล้าแย่งคุณแน่นอน”
“พวกคุณอาจจะคิดว่าขึ้นมหา’ลัยทั้งทีก็ต้องมีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เรื่องออกเดทบ้าง ถ้างั้นก็ขอบอกตรงนี้เลยแล้วกัน ถ้าอยากมีความรักจริงๆ ก็จูงมือกันไปที่ร้านอาหารไม่ก็ห้องอ่านหนังสือซะ ยังไงมีแฟนก็ยังมีข้อดีแหละนะ สมมติคุณต้องไม่กล้าลองฝังเข็มที่แผนก ก็ให้ลองกับแฟนซะก่อน มันจะช่วยให้พวกคุณมีความรู้สึกร่วมกันแถมยังได้ฝึกฝังเข็มด้วย”
“การเรียนหมอน่ะมีประโยชน์จริง ๆ อย่างเช่นเวลากินข้าว คุณจะมองวุ้นเส้นเป็นพยาธิตัวตืดหมูหรือพยาธิตัวกลม เวลากินหม้อไฟซี่โครงแกะก็จะวิเคราะห์ได้ว่าเป็นช่องไขสันหลังไหน”
คำพูดของไป๋เยี่ยทำให้ผู้คนเริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กัน นี่เหรอสุนทรพจน์ ไม่ใช่ว่าขึ้นมาพูดโน้มน้าวใจหรอกเหรอดฮณ๊ฯดฯฌซ,
จางฮั่นหลินทนไม่ไหวอีกต่อไปและพร้อมจะลงมือเต็มทน! อยากเตะไอ้เด็กนี่สักป้าบจริงๆ!
ทว่าเหยียนหมิงและโจวเม่ากลับห้ามเขาไว้ “ผอ.ครับ ใจเย็นๆ ก่อน…ไป๋เยี่ยคงไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ!”
ไป๋เยี่ยพูดไปได้สักพักก็เงียบลงก่อนจะหันไปมองทุกคนด้วยรอยยิ้ม “ความมุ่งมั่นในการเรียนหมอของพวกคุณกำลังสั่นคลอนอยู่หรือเปล่าครับ”
“วันนี้ผมไม่ได้พยายามโน้มน้าวให้พวกคุณต้องมาเรียนหมอ แต่ผมกำลังโน้มน้าวไม่ให้พวกคุณเรียนหมอต่างหาก สิ่งที่ผมอยากบอกพวกคุณคือ ตอนเรียนหมอ คุณต้องคิดให้รอบคอบ มันคือการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งหนึ่งร้อยเมตร ถ้าคุณมีความสุขกับเส้นทางหนึ่งร้อยเมตรนั่นก็จงหนีไปซะ หนีไปให้ไว เพราะคุณต้องถอดใจกลางทางแน่นอน!”
ไป๋เยี่ยมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมไม่ได้ล้อเล่นนะครับ นี่ผมกำลังแนะนำให้พวกคุณถอยนะ!”
ผู้คนด้านล่างเวทีมีท่าทีที่แตกต่างกันออกไป บางคนก็หน้าแดง บางคนก็หัวเราะไม่สนใจอะไร บางคนก็เล่นโทรศัพท์ บางคนก็นั่งคุยกันและในขณะที่หลายๆ คนเริ่มคิดตาม
หลังจากเรียนจบมัธยมปลายและได้เข้ามายังมหาวิทยาลัย ต่างคนก็ต่างมีความฝันเป็นของตนเอง
คำพูดของไป๋เยี่ยทำให้ทุกคนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป
ไป๋เยี่ยลดเสียงลง “ทำไมผมถึงทำแบบนี้ ก็เพราะผมรู้ว่าผมโน้มน้าวใจคนที่อยากเรียนหมอจริงๆ ไม่ได้ คนที่ผมโน้มน้าวได้ก็คือคนที่ยังมีจิตใจไม่แน่วแน่และไม่รักในการเรียนหมอจริง”
“การเรียนหมอไม่ใช่ปัญหาเรื่องอยากเรียนหรือไม่อยากเรียน แต่เป็นปัญหาว่าคุณจะเรียนรู้มันได้หรือไม่!”
“ในคำภีร์ ‘เหยียนอี’ ของเป่ยอี้จงแห่งราชวงศ์หมิงเขียนไว้ว่า ‘ผู้ที่ไม่เข้าใจความรู้ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ไม่เข้าใจในสวรรค์และมนุษย์ ผู้ไร้ความสามารถย่อมครองตนเป็นเซียนไม่ได้ จิตใจย่อมไม่ใกล้ชิดพระพุทธ ได้แต่ไถนาทอผ้าเลี้ยงชีพ ไม่อาจถือตนเป็นแพทย์ได้’”
คำพูดของไป๋เยี่ยทำให้ทุกคนต้องขนลุก! การเรียนแพทย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากเรียนมันหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าคุณจะเรียนรู้มันได้หรือไม่! นี่คือความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง!
ไป๋เยี่ยกล่าวต่ออย่างจริงใจ “สุดท้ายนี้ ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่วิทยาลัยแพทย์นะครับ ยินดีต้อนรับทุกคนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรานะครับ ต่อไปนี้ผมขอให้ทุกคนร่วมปฏิญาณตนกัน โปรดยืนขึ้น!”
คำพูดของไป๋เยี่ยนั้นทำให้ทุกคนฮึกเหิมมาก ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างมีแรงใจขึ้นด้วยอารมณ์ที่ฮึกเหิมขึ้น艾琳小說
ผู้ไร้คุณสมบัติถือตนเป็นเซียน ย่อมเป็นแพทย์ไม่ได้!
ผู้ไร้จิตใจไม่ใกล้ชิดพระพุทธ ย่อมเป็นแพทย์ไม่ได้!
โน้มน้าวผู้ไร้ใจจะเป็นแพทย์ระวังจะถูกฟ้าผ่า!
ใบหน้าของแต่ละคนแดงระเรื่อขึ้นมา คำพูดของไป๋เยี่ยกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคน ณ ที่แห่งนี้ ความรู้สึกแห่งความรับผิดชอบเข้าเติมเต็มดวงใจและจิตวิญญาณของทุกคน บางทีนี่อาจกลายเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องยึดถือไปตลอดชีวิต!
ไป๋เยี่ยตะโกนเสียงดัง “เมื่อได้ก้าวเข้าไปยังวิทยาลัยแพทย์ศักดิ์สิทธิ์ ผมขอปฏิญานตนดังนี้!”
ทุกคนลุกขึ้นยืน รวมถึงจางฮั่นหลินและคณะผู้บริหาร คำพูดของไป๋เยี่ยปลุกใจของทุกคน ทุกคนเอ่ยปากตามไป๋เยี่ยด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยแรงใจที่แฝงไปด้วยความจริงจังเคร่งขรึม
“เมื่อได้ก้าวเข้าไปยังวิทยาลัยแพทย์ศักดิ์สิทธิ์ ผมขอปฏิญานตนดังนี้!”
“จะอุทิศตนเพื่อการแพทย์…จะภักดีต่อประชาชนและปฏิบัติตามหลักจรรยาบรรณแพทย์…จะมุ่งมั่นขจัดความทุกข์ทรมานโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ ให้มีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ รักษาไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์และเกียรติยศแห่งการแพทย์ จะช่วยชีวิตและรักษาผู้คน จะทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อการพัฒนาของอุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพของมาตุภูมิแห่งนี้ และจะต่อสู้เพื่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของมนุษยชาติไปตลอดชีวิต!”
เสียงคำปฏิญาณตนดังลั่นดั่งเสียงฟ้าร้อง ภายในห้องประชุมถูกปกคลุมไปด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ จนทั้งอาจารย์และคณะผู้บริหารต่างก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
หลายคนก็ต้องไปขึ้นวอร์ดที่โรงพยาบาล ทำให้ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่นั่น
เหล่านักศึกษาด้านล่างต่างพากันตัวสั่นด้วยความตื้นตันใจ หยาดน้ำตาที่คลอเบ้าตาอยู่นั้นแสดงให้เห็นถึงแววตาอันมุ่งมั่น!