ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 9 คนบ้านแม่มาหา

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 9 คนบ้านแม่มาหา

ตอนที่ 9 คนบ้านแม่มาหา

ตระกูลเซี่ยเองก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวมาจากทางหน้าประตู หลังจากได้ยินคำพูดของป้าปัน พวกเขาทั้งหมดก็พากันตกตะลึง

“ธงเกียรติยศอะไรนะครับ?”

เซี่ยเจ๋อหลี่เป็นคนแรกที่มีปฏิกิริยา

“น่าจะเป็นตอนที่มู่หลานไปสอนวิธีปฐมพยาบาลให้กับพวกหมอที่โรงพยาบาลคราวก่อน พวกเขาเลยส่งธงเกียรติยศมา ฉันจำได้ตอนที่หมอหลี่บอกว่าอยากให้รางวัลกับมู่หลาน น่าจะเป็นพวกเขาที่ส่งธงมาที่นี่ล่ะ”

ฉินมู่หลานเองก็นึกถึงเพียงแค่พวกคุณหมอหลี่และคนอื่น ๆ ได้ เพราะนอกเหนือจากนี้แล้วก็ไม่มีเหตุอันใดที่เธอจะได้รับธงนี้ได้เลย

นอกจากนี้หลี่เสวี่ยเยี่ยนและเหยาจิ้งจือเองก็มีปฏิกิริยาเช่นกัน

“ใช่แล้ว คุณหมอหลี่เคยพูดเอาไว้”

เนื่องจากเซี่ยเจ๋อน่าโดนเหยาจิ้งจือสั่งสอนไปเมื่อครั้งก่อน จึงแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา พลางพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา “หมอพวกนั้นเก่งกันจะตาย ฉินมู่หลานมีความสามารถอะไรถึงจะไปสอนพวกเขาได้ แค่บังเอิญช่วยเสี่ยวอวี่เอาไว้ได้ก็เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าหล่อนจะมีความสามารถสูงส่งอะไรสักหน่อย”

“เซี่ยเจ๋อน่า….”

ตอนนี้เหยาจิ้งจือไม่ได้เรียกลูกสาวของเธอด้วยชื่อเล่นอีกแล้ว เรียกเพียงชื่อจริงเท่านั้น

“ถ้าแกไม่พูด ก็ไม่มีใครเขาคิดว่าแกโง่หรอก”

เซี่ยเจ๋อน่าเห็นสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ของแม่ จึงปิดปากลงอย่างไม่เต็มใจนัก

และในตอนนี้ ป้าปันก็เดินพาคนสองคนเข้ามา ส่วนข้างหลังพวกเขาเป็นชาวบ้านที่มายืนรอชม ทุกคนต่างมาที่นี่เพื่อรับชมความคึกครื้น

ฉินมู่หลานมองเห็นคุณหมอหลี่และพยาบาลหวงที่อยู่ถัดไปได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาต่างเรียนวิธีปฐมพยาบาลไปจากเธอกันทั้งนั้น “คุณหมอหลี่ พยาบาลหวง พวกคุณมาที่นี่ทำไมหรือคะ”

เมื่อพยาบาลหวงได้พบฉินมู่หลาน สีหน้าของหล่อนก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“สหายฉิน คุณเก่งมากจริง ๆ วิธีการปฐมพยาบาลครั้งก่อนที่คุณสอนให้พวกเรามีประโยชน์มาก เมื่อสองวันก่อนระหว่างทางกลับบ้านหลังจากทำงานเสร็จ คุณหมอหลี่ไปเจอคนล้มหมดสติอยู่บนพื้น เขาไม่มีชีพจร และใช่ค่ะ คุณหมอหลี่นึกถึงวิธีการที่คุณสอนขึ้นมาได้แล้วรีบช่วยชายชราคนนั้น ไม่คิดเลยว่าชายชราคนนั้นจะฟื้นขึ้นมาจริง ๆ”

หลังจากพูดจบ ใบหน้าของพยาบาลหวงก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“ตอนที่พวกเรารู้เรื่อง ทุกคนต่างบอกว่าเหลือเชื่อมาก”

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยเรียนวิธีปฐมพยาบาลแบบนี้มาจากฉินมู่หลาน แต่กลับไม่ค่อยเชื่อสักเท่าใด แต่เมื่อได้เห็นกับตาตัวเองในครั้งนี้ สุดท้ายก็ตระหนักถึงผลลัพธ์ของวิธีการปฐมพยาบาลนี้ได้

เมื่อคุณหมอหลี่เห็นว่าพยาบาลหวงพูดจบแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม ไม่มีคำพูดใดเอื้อนเอ่ยออกมาอีก เพียงแค่ยื่นธงเกียรติยศไปใส่ไว้ในมือของฉินมู่หลานพลางดึงสีหน้าเคร่งขรึม

“สหายฉิน ขอบคุณมากเลยนะที่มาสอนวิธีปฐมพยาบาลนี้ให้กับพวกเรา ต่อไปเราจะนำไปฝึกอย่างเคร่งครัด เพื่อจะได้ช่วยเหลือผู้คนได้มากขึ้นต่อไป”

เมื่อเห็นสีหน้าอันเคร่งขรึมของคุณหมอหลี่ ฉินมู่หลานก็แอบเขินอายนิดหน่อย

“คุณหมอหลี่ พวกคุณชมเกินไปแล้วค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นคุณเองก็ตั้งใจศึกษาอย่างจริงจังด้วย ก็เลยสามารถช่วยชีวิตคนได้ มันจึงเป็นผลงานความสามารถของตัวพวกคุณเองค่ะ”

หลี่เฉิงต้งและพยาบาลหวงส่ายหน้า พลางคิดว่าฉินมู่หลานถ่อมตนเกินไป

ในตอนนี้ ชาวบ้านโดยรอบต่างเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว จึงทำให้สายตาของพวกเขาที่มองฉินมู่หลานเปลี่ยนไป

“ฉินมู่หลานไปสอนวิธีช่วยชีวิตเสี่ยวอวี่นี่เอง ไม่แปลกใจเลย”

“ใช่ๆ ฉันอยู่ตอนที่ฉินมู่หลานช่วยเสี่ยวอวี่เอาไว้ มันน่าทึ่งมากเลย ตอนนั้นเสี่ยวอวี่ไม่หายใจแล้ว แต่ฉินมู่หลานก็ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ได้ ไม่คิดเลยว่ามู่หลานจะช่วยเขาได้แค่ในพริบตาเดียวเอง หล่อนมีน้ำใจงามมาก เห็นว่าวิธีนี้ได้ผลดีก็ไปช่วยบอกคนอื่นต่อด้วย”

“มู่หลานดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมากเลยนะ พอแต่งงานแล้วก็เริ่มมีสตินึกคิดได้”

เมื่อฉินมู่หลานได้ยินคนรอบตัวพูดเช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกยิ้มตรงมุมปาก มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เธอแต่งงานเลยแม้แต่น้อย

แต่คนอื่นต่างคิดว่าสิ่งนั้นเป็นเหตุผล จึงพากันพยักหน้าเห็นด้วย

สุดท้ายแล้ว ฉินมู่หลานก็ยอมรับธง และในขณะเดียวกัน ซองสีแดงก็โดนยัดลงในมือเธอด้วย

“สหายฉิน นี่คือรางวัลที่ทางโรงพยาบาลมอบให้คุณ ถึงแม้ว่าจะเป็นจำนวนเงินที่ไม่ได้มากมายนัก แต่ก็แสดงถึงความจริงใจของพวกเรา”

เมื่อเห็นซองสีแดง ฉินมู่หลานก็รีบปฏิเสธทันที “คุณหมอหลี่ แบบนี้ไม่ได้หรอกค่ะ”

หลี่เฉิงต้งไม่ได้พูดอะไร รีบยัดซองแดง หลังจากนั้นก็พาพยาบาลหวงออกไป “สหายฉิน ที่โรงพยาบาลงานเยอะมาก พวกเราต้องรีบกลับกันแล้ว” หลังจากพูดจบก็เดินออกไปทันที

“คุณหมอหลี่…”

ฉินมู่หลานหวังจะก้าวตามให้ทัน แต่เนื่องด้วยชาวบ้านรุมล้อมเยอะมาก จึงก้าวเดินได้อย่างยากลำบาก

ในตอนแรก พวกชาวบ้านต่างคิดว่าการที่โรงพยาบาลส่งธงมาให้เพียงเท่านี้ก็สามารถดีใจจนขึ้นสวรรค์ได้แล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะมอบซองแดงให้อีก ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงรีบเอ่ยบอกฉินมู่หลาน“มู่หลาน ลองดูเสียทีสิว่าโรงพยาบาลจ่ายเงินให้เท่าไหร่ สิ่งนี้เขาให้เธอ ก็รับมันเอาไว้เถอะ พวกหมอเขาคงกลัวว่าเธอจะไม่รับ เลยรีบไปแม้แต่น้ำยังไม่ได้ดื่มเลยสักหยด”

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว รีบเปิดดูนะว่าเท่าไหร่”

พวกเขาต่างอยากรู้อยากเห็น

เซี่ยเจ๋อหลี่เป็นคนยืนขึ้นก่อนจะเอ่ย “ขอบคุณทุกท่านมากที่เป็นคนนำทางให้คุณหมอหลี่ในวันนี้ ถ้าหากไม่รบกวนจนเกินไป ขอเชิญทุกคนเข้ามาดื่มน้ำกันสักแก้วนะครับ”

ในตอนนั้นเอง ผู้ใหญ่บ้านเย่เถี่ยจู้ก็เดินเข้ามาพอดี เมื่อเห็นผู้คนมารวมตัวกันจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งขรึม “มีเรื่องอะไรกัน วันนี้ต้องทำงานไม่ใช่เหรอ ก็แอบแปลกใจอยู่ว่าทำไมเช้านี้ถึงไม่มีคนเลย ที่แท้ก็มาอยู่ที่นี่กันหมด”

เมื่อได้ฟังสิ่งที่เย่เถี่ยจู้พูด พวกชาวบ้านก็นึกขึ้นได้ว่าตนต้องไปทำงาน จึงสลายตัวราวนกแตกรังในทันที

เมื่อทุกคนเดินจากไปจำนวนไม่น้อยแล้ว เย่เถี่ยจู้ก็ขมวดคิ้วพลางเอ่ยพูดกับเซี่ยเหวินปิง “เหวินปิง พวกนายเองก็ต้องไปทำงานนี่”

เซี่ยเหวินปิงยกยิ้มแล้วพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดนั้น “ครับ พ่อผู้ใหญ่ เรากำลังจะไปที่นากัน”

หลังจากเย่เถี่ยจู้กลับไป หลี่เสวี่ยเยี่ยนก็แทบอดใจไม่ไหว หล่อนมองไปยังฉินมู่หลานก่อนจะเอ่ยขึ้น “มู่หลาน ขอฉันดูธงหน่อยเร็ว ไม่คิดเลยว่าโรงพยาบาลจะเอามาให้เธอ”

ตอนนี้ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่า วิธีที่ฉินมู่หลานใช้ช่วยชีวิตเสี่ยวอวี่นั้นมีค่ามากแค่ไหน

เซี่ยเจ๋อเหว่ยก็มองดูด้วยความสงสัยเช่นกัน

ฉินมู่หลานยกยิ้มพลางยื่นธงให้พวกเขา อันที่จริงแล้วเธอสนใจเรื่องซองแดงมากกว่า เป็นเพราะว่าในตอนนี้เธอมีเงินสะสมอยู่ไม่มากนัก ตอนที่เธอเห็นซองแดงห้าซองยื่นมา แววตาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดเลยว่าโรงพยาบาลจะมีน้ำใจงามขนาดนี้

เซี่ยเจ๋อน่าเองก็เห็นจำนวนเงินห้าสิบหยวนเช่นกัน หล่อนรู้สึกตกใจอีกทั้งยังมีความริษยาฉายออกมาผ่านทางแววตาด้วย ก่อนจะเอ่ยพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา “ถึงยังไงพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน เธอจะเอาเงินนั่นแบ่งให้พ่อกับแม่ฉันด้วยใช่ไหม”

เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็ต่างพากันตกตะลึง

เซี่ยเจ๋อหลี่เป็นคนแรกที่ตอบโต้กลับ “มู่หลานได้เงินพวกนี้มาด้วยความสามารถของตัวเอง ของทั้งหมดนี้ต้องเป็นของหล่อน”

เหยาจิ้งจือเองก็ตอบโต้เช่นกัน นางพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะเอ่ยขึ้น “ใช่แล้วล่ะ เงินพวกนี้เป็นของมู่หลาน ไม่ต้องเอามาแบ่งให้ฉันหรอก”

เซี่ยเจ๋อเหว่ยและหลี่เสวี่ยเยี่ยนไม่ได้พูดอะไร เพราะสุดท้ายแล้วฉินมู่หลานก็เป็นคนที่ช่วยลูกชายของพวกเขาเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากหลายปีที่ผ่านมานี้ เงินที่เซี่ยเจ๋อหลี่หามาได้ด้วยตัวเองก็ถูกนำมาใช้จ่ายภายในบ้านของพวกเขาเยอะมาก พวกเขาจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเอ่ยพูดอะไร

ถึงอย่างนั้นเซี่ยเจ๋อน่าก็ทำปากเชิดขึ้นก่อนจะเอ่ย “หามาได้ด้วยตัวเองแล้วมันยังไงล่ะ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันถึงยังไงก็ไม่ควรแบ่งแยก”

เมื่อเห็นว่าลูกสาวแสดงท่าทางไม่ค่อยเต็มใจ เหยาจิ้งจือจึงพูดขึ้นด้วยความโกรธ “ถ้าอย่างนั้นแกบอกหน่อย ว่าหลายปีที่ผ่านมานี่แกใช้จ่ายเงินไปเท่าไหร่ ทำงานก็ไม่ได้ครึ่งพอที่จะเลี้ยงตัวเองด้วยซ้ำ ”

“แม่ ทำไมทำแบบนี้ล่ะ”

“แล้วทำไมจะทำแบบนี้ไม่ได้”

เซี่ยเจ๋อน่าเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจนัก “แล้วหลังจากที่ฉินมู่หลานแต่งเข้าตระกูลเราล่ะ งานการก็ไม่เห็นจะทำเลย”

ฉินมู่หลานรู้สึกเอือมระอากับเซี่ยเจ๋อน่ามากเสียจริง จ้องจับผิดเธอแทบทุกอย่าง และก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไร เซี่ยเจ๋อหลี่ก็แทรกขึ้นก่อน

“ตอนที่มู่หลานอยู่บ้านตัวเองก็ไม่เคยต้องทำงานนะ หรือว่าพอแต่งงานแล้วชีวิตของหล่อนจะแย่ลงกว่าตอนที่อยู่บ้านกันล่ะ”

“พี่รอง….”

เซี่ยเจ๋อน่าไม่เคยคิดเลยว่าพี่รองของตนจะพูดเช่นนี้ ไม่มีคำพูดไหนมาโต้แย้งได้เลย

นอกจากนี้ฉินมู่หลานเองก็ไม่ได้ใส่ใจเซี่ยเจ๋อน่าอะไรขนาดนั้น ทำเพียงแค่หันหลังกลับแล้วเดินเข้าไปในบ้าน

เมื่อเซี่ยเจ๋อน่าเห็นสิ่งนี้ จึงหันไปมองแม่ของตน พลางเอ่ยเสี้ยมต่อไป

“แม่ ดูฉินมู่หลานทำสิ ต่อไปข้างหน้าหล่อนก็คงจะไม่คิดหางานทำนั่นแหละ ขนาดอยู่ที่บ้านทุกวันยังไม่ทำอะไร แบบนี้มันเกาะคนอื่นเขากินชัด ๆ เลย”

เหยาจิ้งจือปรายตามองลูกสาวของตนก่อนจะเอ่ยขึ้น “ทำไมพี่สะใภ้รองของแกจะไม่ทำอะไรเลย เมื่อไม่กี่วันก่อนยังไปขุดซานเย่าจากเขา แกเองก็ได้กินไม่ใช่เหรอ ถ้ามีปัญหามากนักต่อไปก็อย่ากินละกัน”

หลังจากพูดจบ นางก็เอ่ยบอกให้ทุกคนไปทำงาน นอกจากนี้ยังกำชับลูกสะใภ้คนโตอย่างหนักแน่นว่า “เสวี่ยเยี่ยน วันนี้ฝากเธอดูแลเซี่ยเจ๋อน่าให้ดีด้วยนะ อย่าปล่อยให้มันขี้เกียจ”

“ได้ค่ะแม่”

สุดท้าย เซี่ยเจ๋อน่าก็โดนหลี่เสวี่ยเยี่ยนลากออกไป

และหลังจากฉินมู่หลานเดินกลับเข้าไปในบ้าน เธอก็นำเงินห้าสิบหยวนไปใส่ลงในถุงเงินของตน หลังจากนั้นก็เริ่มคิดหาวิธีว่าจะหาเงินเพิ่มให้ได้อย่างไร เพราะสุดท้ายแล้วเธอก็ไม่สามารถนั่งกินนอนกินเพียงอย่างเดียวได้ แต่จะให้ออกไปหางานทำนั้นก็ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย มันเหนื่อยมากแน่นอน แต่ตอนนี้ถึงเวลาคว้าโอกาสแล้ว จะมานั่งเฉย ๆ ให้คนอื่นลำบากอย่างเดียวคงไม่ได้

ตอนนี้ยังไม่สามารถทำธุรกิจของตัวเองได้ แต่….

อาจลองแอบทำแบบลับ ๆ ได้อยู่

ถ้าทำได้ดี อย่างเร็วที่สุดคงใช้เวลาประมาณสองปีถึงจะมีธุรกิจเป็นของตัวเองได้สำเร็จ

ในขณะที่ฉินมู่หลานกำลังคิดหาวิธีต่าง ๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ได้พบกับหนังสือพิมพ์ที่แปะติดอยู่บนผนังห้องเข้าพอดี และแล้วความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของเธอ จริง ๆ แล้วเธอสามารถลองเขียนหนังสือแล้วรับค่าต้นฉบับได้นี่นา

คิดได้ดังนั้นก็ลงมือทำ ฉินมู่หลานศึกษาดูอยู่สักครู่ว่าตอนนี้ในหนังสือพิมพ์มีอะไรบ้าง

แต่ก่อนที่ฉินมู่หลานกำลังจะเดินหน้าต่อ เหยาจิ้งจือก็เคาะประตูมาจากทางด้านนอก “มู่หลาน ออกมากินแอปเปิ้ลสักหน่อยสิ ฉันปอกเอาไว้ให้แล้ว”

เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินมู่หลานก็เอ่ยตอบอย่างรวดเร็ว “ค่ะ ฉันจะรีบออกไปค่ะ”

ตอนนี้แค่ได้กินแอปเปิ้ลเพียงลูกเดียวก็นับว่าดีมากแล้ว ฐานะหลายคนอยู่ในสภาพชักหน้าไม่ถึงหลัง แล้วใครจะเอาเงินมาซื้อผลไม้พวกนี้กินกันล่ะ ตระกูลเซี่ยถือว่ายังดี ที่สามารถซื้อแอปเปิ้ลกินได้เป็นครั้งคราว

ฉินมู่หลานมองดูแอปเปิ้ลที่ปอกเรียบร้อยแล้วพลางยกยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณเหยาจิ้งจือ “ขอบคุณค่ะแม่”

เมื่อเห็นว่าเสี่ยวอวี่ไม่อยู่ที่นี่ เธอจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งเพื่อถาม “แม่คะ แล้วเสี่ยวอวี่ล่ะ”

“เจ้าเด็กนั้นออกไปเล่นตั้งนานแล้ว”

ด้วยความที่แอบไม่ไว้ใจ จึงคิดจะออกไปตามดูสักหน่อย “มู่หลาน เดี๋ยวฉันขอไปดูหน่อยนะว่าเสี่ยวอวี่ไปเล่นตรงไหน”

เหยาจิ้งจือเพิ่งออกจากประตูบ้านไปได้ไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

ตอนแรกฉินมู่หลานคิดว่าเหยาจิ้งจืออาจลืมกุญแจ แต่หลังจากนั้นก็พบว่าอาจจะไม่ใช่ เพราะในตอนนี้แทบทุกบ้านต่างไม่ได้ล็อคประตูกันทั้งนั้น “ใครคะ”

“มู่หลาน พ่อเอง”

เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ฉินมู่หลานที่นิ่งไปครู่หนึ่งก็ตอบโต้กลับหลังจากที่รู้ว่าเป็นเสียงของฉินเจี้ยนเซ่อพ่อของตน “พ่อ มาทำไมคะเนี่ย”

เมื่อฉินเจี้ยนเซ่อได้พบลูกสาวของตน เขาก็รู้สึกตกตะลึงนิดหน่อย

ไม่รู้ว่าตรงหน้าเป็นภาพลวงตาหรือเปล่า เขารู้สึกว่าลูกสาวของตนดูแตกต่างไปจากเมื่อก่อนนิดหน่อย นอกจากนี้คำพูดคำจาที่ได้ยินมาจากเมื่อก่อนก็เปลี่ยนไป มันทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่ออย่างมาก

“มู่หลาน ปู่ของลูกอยากให้กลับไปหาที่บ้านหน่อย ท่านมีอะไรบางอย่างจะถามลูก”

เมื่อได้ยินดังนั้น หัวใจฉินมู่หลานก็เต้นเร็วผิดปกติ อดไม่ได้ที่จะคาดเดาไปต่าง ๆ นานาถึงเรื่องที่ฉินอวิ๋นเฮ่ออยากให้ตนกลับไปหา

“พ่อ…คุณปู่เรียกหาฉันทำไมเหรอคะ?”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง ด่าเขายังไงให้เข้าตัวเอง ให้ดูเซี่ยเจ๋อน่าเป็นตัวอย่างค่ะ ๕๕๕๕

ปู่เรียกให้มาหาแบบนี้มีเรื่องอะไรหนอ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท