ตอนที่ 10 รู้อย่างถ่องแท้
ตอนที่ 10 รู้อย่างถ่องแท้
ฉินเจี้ยนเซ่อได้ยินลูกสาวพูดเช่นนั้น จึงเอ่ยบอกตามตรง “คนในหมู่บ้านเขาพูดกันว่าลูกไปสอนหมอในโรงพยาบาลเรื่องช่วยชีวิตคน แถมพวกเขาส่งธงเกียรติยศมาให้ลูกด้วย คุณปู่ก็เลยอยากถามลูกเกี่ยวกับเรื่องนี้”
เมื่อฉินมู่หลานได้ยินดังนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “แบบนี้นี่เอง ฉันก็ว่าจะไปคุยกับคุณปู่เรื่องนี้เหมือนกันค่ะ”
ระหว่างที่พูดคุยกัน ฉินมู่หลานก็ไปหยิบตะกร้าไข่เพื่อนำกลับไปที่บ้านด้วย นอกจากนี้ยังทิ้งเงินและโน้ตเอาไว้ หากพ่อแม่สามีกลับมาแล้วไม่เจออะไรเลยคงไม่เป็นการดีแน่
“พ่อ พวกเราไปกันเถอะค่ะ”
ฉินเจี้ยนเซ่อรับไข่มาถือไว้เมื่อเห็นลูกสาว พลางเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว “มู่หลาน ไม่ต้องเอาของไปหรอก แค่กลับไปกับพ่อก็พอ”
“พ่อคะ ฉันได้เงินมาเพราะทักษะด้านการแพทย์ที่คุณปู่สอน ครั้งนี้คุณหมอหลี่ไม่ได้แค่เอาธงมามอบให้ แต่ยังมอบเงินรางวัลห้าสิบหยวนให้ฉันอีกด้วย ไข่ไก่พวกนี้ฉันเป็นคนซื้อให้คุณปู่เองค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินเจี้ยนเซ่อก็ปรายตามองลูกสาวของตนด้วยความงุนงง รู้สึกว่าหลังแต่งงานจะเปลี่ยนไปมากทีเดียวเชียว แต่ก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
“มู่หลาน ดูเหมือนว่าลูกจะโตขึ้นแล้วนะ”
“พ่อคะ ฉันแต่งงานแล้วนะ ก็ต้องเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเป็นธรรมดา”
ฉินเจี้ยนเซ่อมองดูรอยยิ้มแสนสดใสของลูกสาว พลางรู้สึกสุขปนทุกข์ระทมไปพร้อมกัน เมื่อก่อนตอนลูกสาวอยู่ที่บ้านไม่เคยเป็นแบบนี้ แต่พอแต่งงานกับเซี่ยเจ๋อหลี่โดยที่หล่อนเป็นคนเอ่ยปากอยากแต่งเอง หล่อนก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นมาก
แต่การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นนั้นย่อมดีอยู่แล้ว เขาจึงมีความสุขมากกว่า
“ใช่ ต่างจากก่อนแต่งงานมาก ไปเถอะ พวกเรารีบกลับไปหาคุณปู่กัน”
ฉินมู่หลานตามติดฉินเจี้ยนเซ่อกลับไปยังบ้านตระกูลฉิน เมื่อได้พบกับคุณปู่ฉินอวิ๋นเฮ่อ ก็รีบยกยิ้มพลางเอ่ยว่า “คุณปู่คะ ฉันมาหาแล้วค่ะ”
เมื่อฉินอวิ๋นเฮ่อเห็นใบหน้าของหลานสาว สีหน้าของเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู แต่กลับรู้สึกสงสัยอยู่ในใจนิดหน่อย
ก่อนหน้านี้ตอนที่หลานสาวเจอหน้าตนทุกครั้ง ใบหน้าจะดูทุกข์ระทมอยู่เสมอ เพราะเขาชอบบังคับให้เธอเรียนศาสตร์แพทย์แผนจีนอยู่เสมอ แต่ตอนนี้หลานสาวกลับมีท่าทางดีใจเมื่อได้พบเขา มันจึงทำให้เขารู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย
“มู่หลาน มาแล้วเหรอ”
ฉินมู่หลานยกยิ้มพร้อมทั้งพยักหน้า หลังจากวางตะกร้าที่ใส่ไข่ลงแล้ว เธอก็เริ่มก้าวเดินเข้ามาหาฉินอวิ๋นเฮ่อพลางเอ่ยทัก “คุณปู่ ปู่รู้ไหมคะ ฉันใช้วิธีที่คุณปู่สอน ไม่ใช่แค่ได้รับมอบธงด้วยนะ แต่ยังได้เงินมาตั้งห้าสิบหยวนเลยด้วย”
เมื่อเห็นหลานสาวพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ฉินอวิ๋นเฮ่อจึงถือโอกาสเอ่ยถามเกี่ยวกับเรื่องนั้นเสีย “มู่หลาน บอกปู่หน่อยสิ หลานช่วยชีวิตคนยังไง?”
“คุณปู่ ฉันก็แค่ใช้วิธีการที่คุณปู่เคยสอนไงคะ”
ฉินมู่หลานเอ่ยด้วยดวงตาเป็นประกาย เธอเดินตรงไปยังตู้ไม้เก่าที่ตั้งวางอยู่ด้านข้าง ก่อนจะนำหนังสือเล่มสีเหลืองที่อยู่ข้างในออกมา
“คุณปู่ เมื่อสองปีก่อนปู่เป็นคนสอนฉันเองไม่ใช่เหรอคะ มันอยู่ในนี้ไง”
หนังสือฉบับนี้สืบทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลฉิน ฉินอวิ๋นเฮ่อจึงเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี
ตอนที่ฉินอวิ๋นเฮ่อสอน เจ้าของร่างเดิมของเธอตั้งใจฟังอย่างดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังลืมไปบ้าง เมื่อถึงตอนนี้ เธอก็จดจำรายละเอียดของร่างเดิมได้อย่างชัดเจน จึงนึกถึงเหตุการณ์หนึ่งในตำราเล่มนี้
ตำราเล่มนี้เล่าถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่บรรพบุรุษตระกูลฉินได้เคยช่วยเหลือเด็กสาวคนหนึ่งที่แขวนคอตัวเองตาย ซึ่งวิธีการใช้ล้วนถูกเขียนเอาไว้ในบันทึกจินคุ่ยเย่าเลวี่ย
“คุณปู่คะ ถึงแม้ว่ากรณีของเสี่ยวอวี่จะแตกต่างจากเหตุการณ์ในตำรา แต่การที่คนหนึ่งไม่หายใจเนื่องจากแขวนคอตาย ส่วนอีกคนไม่หายใจเพราะจมน้ำ ทั้งสองต่างไม่หายใจเหมือนกัน ฉันจึงลองช่วยเหลือด้วยวิธีนี้ ไม่คิดเลยว่าจะสำเร็จจริง ๆ”
เมื่อฉินอวิ๋นเฮ่อได้ยินดังนั้น พร้อมกับเห็นเนื้อหาในตำราที่หลานสาวไปค้นมา จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดัง
“ใช่เลย มู่หลานของพวกเราเป็นคนคิดวิเคราะห์เก่ง โชคดีที่หลานทำมันได้สำเร็จ ไม่อย่างนั้นคนอื่นอาจจะต่อว่าหลานเอาได้”
ขณะพูดคุยกัน ฉินอวิ๋นเฮ่อก็ยกยอหลานสาวของเขาอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เขาเพียงคิดอยากจะถามเรื่องนี้อย่างสุดใจ ไม่ได้คิดว่าหลานสาวจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ แต่ตอนนี้เมื่อลองมองดูอย่างถี่ถ้วน กลับพบว่าหลานสาวของตนเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก คนก็ยังคงเป็นคน ๆ เดิม แต่กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปจากเดิม สดใสมากขึ้น แถมยังดูฉลาดเฉลียวด้วย
แต่ถึงอย่างนั้น ฉินอวิ๋นเฮ่อก็ยังรู้สึกสับสนนิดหน่อย
“มู่หลาน ก่อนหน้านี้ที่ปู่สอนไป เหมือนว่าหลานจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะ แล้วทำไมตอนนี้ถึงช่วยเหลือคนได้ล่ะ”
เมื่อมู่หลานได้ยินเช่นนั้น ก็หัวเราะขึ้นดังแผ่ว ๆ “คุณปู่ ฉันเองก็เคยเรียนปรุงยาสมุนไพรมาก่อนไม่ใช่เหรอคะ แล้วแบบนั้นจะบอกว่าฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลยได้ยังไงกัน ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ฉันแต่งงานแล้ว เลยตระหนักถึงความรู้ที่คุณปู่สอนมา หนูเข้าใจมันได้หมดเลย อย่างกับเพิ่งเรียนมาแค่ชั่วข้ามคืนเอง เรียกว่ารู้อย่างถ่องแท้แล้วนั่นแหละค่ะ”
สุดท้าย ฉินมู่หลานก็เริ่มเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่ฉินอวิ๋นเฮ่อสอนเธอมาตั้งแต่เด็ก
“คุณปู่คะ ตอนที่ฉันเพิ่งอายุแปดขวบ ปู่ก็เริ่มสอนฉันปรุงยาสมุนไพรแล้ว จำได้ว่าเรียนอยู่เกือบครึ่งเดือนเลยทีเดียวแต่ก็ยังจำอะไรไม่ได้ ปู่ยังโกรธฉันอยู่เลย แล้วตอนที่ฉันอายุเก้าขวบ ปู่ก็สอนเรื่องความรู้ทางเภสัชวิทยาของพวกวัตถุดิบในการปรุงยาต่าง ๆ แต่ตอนนั้นฉันก็ยังไม่รู้เรื่อง แล้วตอนที่อายุสิบขวบ…”
ฉินมู่หลานเล่าเป็นฉากเป็นตอน หลังจากพูดจบเธอก็ยกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “บางทีตอนนั้นฉันอาจจะไม่เข้าใจก็จริง แต่ตอนนี้เข้าใจทุกอย่างแล้ว คุณปู่คะ ที่ปู่สอนมาไม่ได้เสียเปล่า ตอนนี้ฉันจำทุกอย่างที่ปู่สอนได้หมดเลยค่ะ”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ถึงแม้ว่าฉินอวิ๋นเฮ่อจะยังรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้สงสัยขนาดนั้น
เมื่ออายุเริ่มมากขึ้น ได้พบเจอเรื่องราวต่างๆ มากมาย ถึงแม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องที่ยาก แต่มันมีเหตุการณ์เช่นนี้จริง ที่อยู่ ๆ คนเราก็สามารถรู้แจ้งกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมาในทันที นอกจากนี้ยังมีบางคนที่ตอนเด็กทำอะไรไม่ได้สักอย่าง แต่เมื่อโตขึ้นกลับกลายเป็นผลผลิตที่เบ่งบาน
“อ๋า เดี๋ยวก็รู้ว่าจริงหรือโม้ ไหนหลานลองจับชีพจรของปู่ดูหน่อยสิ”
“ได้ค่ะ”
ฉินมู่หลานตอบตกลงโดยไม่ต้องคิดอะไรเลย แต่เมื่อเธอถอนมือออก สีหน้าของเธอก็ไม่สู้ดีนัก คิ้วขมวดขึ้นนิดหน่อยพลางพูดขึ้น “คุณปู่คะ ชีพจรของปู่ไม่ค่อยดีเลย ช่วงไม่กี่วันนี้เป็นหวัดหรือเปล่าคะ”
เมื่อฉินอวิ๋นเฮ่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“มู่หลาน หลาน…หลานรู้เรื่องแล้วจริง ๆ ด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า….ในที่สุดการสอนที่ยาวนานอยู่หลายปีก็ประสบความสำเร็จจนได้”
อันที่จริงเขาเองก็ไม่ได้อยากสอนหลายครั้งหรอก เนื่องจากเห็นว่าไม่ว่าหลานสาวของเขาจะตั้งใจฟังมากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อะไร หินก็ยังคงเป็นหินอยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่มีวันเข้าใจได้
เพียงแต่ไม่ได้คาดหวัง ว่าทันทีที่หลานสาวแต่งงาน หล่อนจะรู้แจ้งเห็นจริงทั้งหมด
แน่นอนว่าการทำงานหนักย่อมให้ผลลัพธ์ที่แสนคุ้มค่า ทักษะทางการแพทย์ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลฉิน ตอนนี้มีคนเรียนรู้แล้ว
เมื่อนึกถึงเรื่องนั้น ฉินอวิ๋นเฮ่อก็นึกเสียดายเล็กน้อย
เด็กหลายคนต่างไม่ค่อยชอบเรียนรู้ ไม่แม้แต่อยากจะฟังสิ่งที่เขาพูดสอนเลยด้วยซ้ำ นอกจากนี้หลาน ๆ อีกหลายคนก็ไม่อยากเรียนรู้สิ่งเหล่านี้เลย เนื่องด้วยช่วงวัยที่แตกต่างกัน และถึงแม้ว่าหลานสาวคนนี้จะดื้อรั้น แต่หล่อนก็ยังยอมรับฟังเขาอยู่บ้าง ทำให้เขารู้สึกชื่นชอบหลานสาวคนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
ถึงแม้ว่าหล่อนจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ก็ยอมทำตามที่เขาบอกทุกอย่าง และตั้งใจฟังต่อไป
ตอนนี้ประสบผลสำเร็จแล้ว หลานสาวรู้แจ้งเป็นที่เรียบร้อย สิ่งที่เขาเคยสอนมา ตอนนี้หลานสาวทำทุกอย่างได้แล้วจริง ๆ นอกจากนี้ยังรู้จักนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมอีกด้วย
มันดีมากจริง ๆ
ถึงอย่างนั้น เมื่อฉินเจี้ยนเซ่อได้ยินสิ่งที่ลูกสาวบอก ก็จ้องมองพ่อของตนด้วยท่าทางประหม่าพลางพูดขึ้น “พ่อ ทำไมไม่เห็นบอกเลยว่าไม่สบาย แบบนี้ต้องกินยานะครับ”
ฉินอวิ๋นเฮ่อมองลูกชายของตนก่อนจะเอ่ยขึ้น “แค่ไม่สบายนิดหน่อยไม่เห็นเป็นไรเลย”
แต่สุดท้าย เขาก็อดไม่ได้ที่หันไปทางฉินมู่หลานแล้วเอ่ยต่อ “มู่หลาน ในเมื่อตรวจดูรู้แล้วว่าปู่ไม่สบาย หลานลองจ่ายใบสั่งยาให้ปู่หน่อยเร็ว”
“ได้ค่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
การสวมรอยสำเร็จแล้วค่ะ ปู่ไม่สงสัยแล้วว่าเป็นมู่หลานอีกคนที่ไม่ใช่หลานตัวเอง
ไหหม่า(海馬)