ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 11 เป็นไปได้อย่างไร

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 11 เป็นไปได้อย่างไร

ตอนที่ 11 เป็นไปได้อย่างไร

ฉินมู่หลานรีบเขียนสูตรยาอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่ฉินอวิ๋นเฮ่อเห็น สีหน้าเขาก็โล่งใจทันที “ดี ดีมาก ดีมากจริง ๆ”

หลังจากยอมรับเรื่องใบสั่งยาแล้ว ฉินอวิ๋นเฮ่อยังคงมีสีหน้าตื่นเต้นอยู่ แต่หลังจากนั้นเขาก็ตระหนักถึงเรื่องการใช้ทักษะทางการแพทย์ จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือน“มู่หลาน ครั้งหน้าหลานห้ามประมาทอีกนะ ครั้งนี้ช่วยชีวิตคนได้นั้นถือเป็นเรื่องดี แต่หากครั้งหน้าทำไม่สำเร็จ หลานคิดถึงผลที่ตามมาแล้วใช่ไหม อาจมีคนมาตำหนิติเตียนหลานเอาได้หากทำผิดพลาด”

“คุณปู่คะ หนูไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย คิดแค่อย่างเดียวว่าต้องช่วยคนให้ได้ นั่นเป็นเหตุผลที่หนูลองใช้วิธีนั้นค่ะ”

หลังจากพูดจบ ฉินมู่หลานก็ส่งสายตาแน่วแน่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “แต่คุณปู่คะ ไม่ว่าต่อไปจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก ยังไงหนูก็ยังจะช่วยชีวิตคนค่ะ”

หลังจากได้ยินดังนั้น และได้เห็นแววตาเป็นประกายแน่วแน่ของหลานสาวแล้ว ฉินอวิ๋นเฮ่อก็แอบตกตะลึง

เมื่ออายุมากขึ้น เขาจึงคิดเกี่ยวกับความปลอดภัยของตนเป็นหลัก จนหลงลืมสิ่งที่คุณพ่อเคยสอนเกี่ยวกับความรับผิดชอบในวิชาชีพหมอตอนที่ท่านถ่ายทอดทักษะทางการแพทย์ให้เขา

เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉินอวิ๋นเฮ่อก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะก่อนจะเอ่ยขึ้น “ใช่แล้ว ชีวิตมีเพียงชีวิตเดียว สิ่งที่หลานทำถูกต้องแล้ว”

หลังจากพูดจบ เขาก็หันไปมองลูกชายคนรองของตนแล้วเอ่ยขึ้นว่า “แกไปบอกเซี่ยเจ๋อหลี่ ให้เขามากินข้าวกลางวันที่บ้าน หลานเขยยังไม่เคยมากินข้าวที่บ้านของเราเลยนะ”

เมื่อฉินเจี้ยนเซ่อได้ยินดังนั้น พยักหน้าอย่างว่าง่าย แล้วเอ่ยพูด “ครับ ผมจะไปบอกให้”

หลังจากที่ฉินเจี้ยนเซ่อเดินออกไป ฉินอวิ๋นเฮ่อก็โบกมือให้ฉินมู่หลานพลางเอ่ยขึ้น “รีบไปหาคุณย่าไป ช่วงนี้ท่านคิดถึงหลานมากเหมือนกัน”

“ค่ะ”

ฉินมู่หลานยิ้มแล้วพยักหน้า เมื่อเธอไปถึงในครัวก็ได้พบกับหญิงชราตัวค่อนข้างเตี้ยกำลังยืนอยู่ข้างเตาไฟ “คุณย่าคะ หนูมาช่วยค่ะ”

หลิวชุ่ยฮวาหันกลับมามอง เมื่อเห็นหลานสาวตัวขาวอวบอ้วนของตน รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าทันที

“ไอ้หยา…มู่หลานของเรามาแล้ว หลานไม่ต้องช่วยหรอก ย่าทำเองได้สบาย หลานออกไปรอกินข้าวข้างนอกเถอะ”

ระหว่างที่พูดคุยก็ได้หยิบเถาซู(1)อันหนึ่งออกมาจากตู้ด้วย

*桃酥 คุกกี้วอลนัตสไตล์จีน

“มู่หลาน หลานชอบคุกกี้พวกนี้มากนี่นา รีบเอาไปกินเร็ว”

ฉินมู่หลานมองดูเถาซูที่อยู่ตรงหน้าพลางหันไปมองหน้าหญิงชราอีกครั้ง รู้สึกอบอุ่นหัวใจอยู่ไม่น้อย

ผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งสองของบ้านตระกูลฉินต่างใจดีกันมาก ตอนนี้เธอแปรเปลี่ยนกลายเป็นคนจิตใจดีไปแล้ว หากจะน้อมรับอย่างไม่เกรงใจเหมือนเจ้าของร่างเดิมคงไม่ได้ หากใครปฏิบัติต่อเธอดี เธอก็จะดีตอบกลับ

“คุณย่าคะ ตอนนี้หนูแต่งงานแล้ว จะมาทำตัวไม่รู้จักกาลเทศะเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ เพราะฉะนั้นให้หนูช่วยย่าเถอะค่ะ”

หลังจากพูดจบ ฉินมู่หลานก็หยิบตะหลิวไม้มาจากมือของหลิวชุ่ยฮวา

“คุณย่า เดี๋ยวหนูทำอาหารเองค่ะ”

เมื่อได้ยินหลานสาวพูดเช่นนั้น หลิวชุ่ยฮวาก็ยิ้มสดใสขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ

แต่ไม่นานก็กลับมาดีใจอีกครั้ง พลางคิดว่าหลานสาวของตนโตขึ้นมากหลังจากแต่งงานออกเรือนไป และแน่นอนว่าหลังจากแต่งงานย่อมเปลี่ยนไปจากเดิมเป็นธรรมดา “ได้เลย ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาทำอาหารด้วยกัน”

ทั้งสองยุ่งวุ่นวายอยู่ไม่นานนัก สมาชิกของตระกูลฉินก็เริ่มทยอยกันกลับมาทีละคน

ฉินเจี้ยนเซ่อและซูหว่านอี๋กลับมาเป็นพวกแรก

ทันทีที่ซูหว่านอี้กลับมาก็ได้เห็นว่าลูกสาวกำลังทำอาหารอยู่ ถึงแม้จะแปลกใจนิดหน่อย แต่ตอนนี้หล่อนกลับเป็นกังวลเรื่องสถานการณ์ที่ลูกสาวของตนไปอยู่ที่บ้านตระกูลเซี่ยมากขึ้นกว่าเดิม

“มู่หลาน ลูกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้ารู้เร็วกว่านี้แม่จะได้ไม่ต้องไปทำงาน”

ถ้าสามีไม่ได้ไปบอกเซี่ยเจ๋อหลี่ว่าให้มากินข้าวเย็นที่บ้าน หล่อนคงไม่รู้เลยสักนิดว่าลูกสาวของตนกลับมาบ้านแล้ว

เมื่อฉินมู่หลานเห็นซูหว่านอี๋ เธอก็จำได้ทันทีว่าเป็นแม่ของตน จึงพูดขึ้นด้วยท่าทางสุขุม “แม่คะ หนูเองก็เพิ่งกลับมาเหมือนกัน แม่กับพ่อไปอาบน้ำเถอะ จะได้มากินข้าว”

ซูหว่านอี๋ได้ยินดังนั้นจึงรีบเดินไปล้างมือ หลังจากนั้นก็รีบมาช่วยงานครัวต่อจากลูกสาว “เซี่ยเจ๋อหลี่ใกล้จะมาแล้ว ลูกไม่ควรโหมทำงานหนัก แค่รอต้อนรับเขาอย่างเหมาะสมก็พอ”

สำหรับลูกเขยคนนี้ หล่อนเองก็ไม่สามารถบรรยายความรู้สึกได้

ตอนลูกสาวยืนกรานที่จะแต่งงาน หล่อนคัดค้านจนหัวชนฝา แต่สุดท้ายแล้วแตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน ในเมื่อลูกสาวยืนกรานที่จะแต่ง วันเวลาแห่งความสุขย่อมผ่านพ้นไปอย่างแน่นอน

แต่ลูกสาวช่างดื้อรั้นเหลือเกิน สุดท้ายก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้แต่งงานไป ตอนนี้หล่อนอยากจะเอ่ยถามลูกสาวยิ่งนัก ว่าคิดผิดหรือไม่ที่แต่งเข้าบ้านตระกูลเซี่ยไป

เมื่อคิดได้ดังนั้น ซูหว่านอี๋จึงปรายตามองสามีของตนที่อยู่ด้านข้างก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “เจี้ยนเซ่อ ไปเอาเหล้าออกมาสักหน่อยไป พ่อกับลูกเขยจะได้นั่งดื่มกันสักหน่อย”

ได้ยินดังนั้น ฉินเจี้ยนเซ่อก็พยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ได้สิ เดี๋ยวผมไปเอามา”

เมื่อซูหว่านอี๋เห็นสามีของตนเดินจากไปแล้ว จึงรีบหันกลับไปทางฉินมู่หลานพลางเอ่ยถาม “มู่หลาน ตระกูลเซี่ยเป็นยังไงบ้าง ได้ทำอะไรให้ลูกลำบากใจหรือเปล่า”

หลิวชุ่ยฮวาได้ยินดังนั้น จึงหันมองด้วยความใคร่รู้เช่นกัน

ถึงจะคิดว่าหลานสาวของตนทำตัวดีขึ้นแล้ว แต่นางก็รู้เรื่องที่ชาวบ้านต่างพากันต่อว่าดูถูกหลานสาวของตน ยิ่งไปกว่านั้น การแต่งงานของหลานสาวยังเกิดจากเรื่องน่าอับอายด้วย นางจึงกลัวว่าหลานสาวจะโดนกดขี่ข่มเหง

เมื่อฉินมู่หลานเห็นสีหน้าอันเป็นกังวลของหลิวชุ่ยฮวาและซูหว่านอี๋แล้ว เธอก็ยกยิ้มก่อนเอ่ยขึ้น “คุณย่า แม่ ไม่ต้องกังวลกันหรอกค่ะ ตระกูลเซี่ยดีกับหนูมาก หนูเคยช่วยเสี่ยวอวี่เอาไว้ด้วย ตอนนี้พวกเขาต่างรู้สึกขอบคุณหนูกันทั้งนั้น ไม่มากดขี่ข่มเหงหรอกค่ะ”

เมื่อได้ฟังสิ่งนี้ ซูหว่านอี๋ก็นึกถึงข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้านเมื่อไม่นานมานี้

“มู่หลาน ลูกช่วยเสี่ยวอวี่เอาไว้จริงเหรอ? แต่เมื่อก่อนตอนที่คุณปู่สอนลูก ลูกบอกว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลยไม่ใช่เหรอ?”

ฉินมู่หลานบอกเล่าสิ่งที่เคยพูดกับฉินอวิ๋นเฮ่ออีกครั้ง สุดท้ายก็เอ่ยต่อ “เพราะแบบนั้นแหละค่ะ ตอนนี้หนูเก่งแล้ว เข้าใจสิ่งที่คุณปู่สอนได้อย่างทะลุปรุโปร่งเลย”

เมื่อเห็นสีหน้าภาคภูมิใจของลูกสาว ซูหว่านอี๋ก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้ม

ดูเหมือนว่าลูกสาวของตนจะมีสิ่งที่คล้ายเดิมอยู่ คือเรื่องชอบยกยอตัวเอง “ลูกน่ะ ถ้าเข้าใจสิ่งที่คุณปู่สอนให้ได้หมด คุณปู่ก็จะมีผู้สืบทอดแล้ว”

“ใช่แล้วค่ะ ต่อจากนี้ผู้สืบทอดของคุณปู่คือหนูเอง”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งหลิวชุ่ยฮวาและซูหว่านอี๋ก็ต่างพากันหัวเราะ ด้วยรู้สึกว่าฉินมู่หลานดูจะพูดจาเกินจริงไปหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

ทั้งสามพูดคุยและหัวเราะไปด้วยกัน และแล้วอาหารก็เตรียมเสร็จเรียบร้อย

นอกจากนี้ เซี่ยเจ๋อหลี่เองก็มาถึงแล้ว คนที่กลับมาพร้อมกับเขาคือลูกชายคนโตของตระกูลฉินและฉินเคอวั่ง น้องชายของฉินมู่หลาน

ฉินเจี้ยนเซ่อและซุนอี้หงคู่สามีภรรยาเอกของบ้านตระกูลฉินมีลูกชายด้วยกันทั้งหมดสองคนคือฉินเคอเหล่ยและฉินเคอเจี๋ย ทั้งสองคนต่างแต่งงานมีครอบครัวกันแล้ว ภรรยาของลูกชายคนโตคือหวังจาวตี้ ส่วนภรรยาของลูกชายคนเล็กคือซ่งอวี้เฟิ่ง

ตอนนี้หวังจาวตี้กำลังมองเซี่ยเจ๋อหลี่ด้วยแววตาใคร่รู้พลางยกยิ้มแล้วเอ่ยพูดกับเขา “ไอ้หยา นี่คงเป็นสหายเซี่ยสามีของฉินมู่หลานสินะ ดูหล่อมากเลย ฉันเคยได้ยินเขาลือกันว่าลูกชายคนเล็กของตระกูลเซี่ยนี่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ตอนแรกฉันไม่เชื่อเลย แต่ตอนนี้เชื่อแล้ว มู่หลานของพวกเรานี่โชคดีจังเลย”

ขณะที่พูด น้ำเสียงของหล่อนฟังดูค่อนข้างอิจฉา

ฉินมู่หลานน้องสามีคนนี้ ปกติแล้วค่อนข้างเกียจคร้านมีแต่กินกับนอนจึงทำให้ตัวอวบอ้วนมาก ไม่คิดเลยว่าจะได้แต่งงานกับผู้ชายดี ๆ เช่นนี้

เป็นไปได้อย่างไรกัน หรือว่าเธอแอบวางแผนอะไรไว้

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เป็นไปได้ค่ะถ้าใจกล้าพอ เจ้าของร่างเดิมนี่ใช่ย่อยเลยค่ะเรื่องจับสามี

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท