ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 28 พึ่งพาตัวเอง

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 28 พึ่งพาตัวเอง

ตอนที่ 28 พึ่งพาตัวเอง

เมื่อซุนฮุ่ยหงได้ยินดังนั้น จึงพยักหน้าเห็นด้วย พลางเอ่ยขึ้นว่า “ใช่แล้ว กลับบ้านก่อนเถอะ”

ทั้งแม่สามีและลูกสะใภ้ทั้งสามต่างไม่มีอารมณ์ที่จะทำงานอีกต่อไป จึงเอ่ยลากับใครสักคน ก่อนจะมุ่งหน้ากลับบ้านทันที

ทุกคนเห็นแม่สามีและบรรดาลูกสะใภ้ของซุนฮุ่ยหงเดินจากไป จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น “คงได้ยินเรื่องตำแหน่งงานในโรงงานอาหาร ก็เลยนั่งไม่ติดใช่ไหมล่ะ”

“ก็ต้องแน่อยู่แล้ว”

ฉินมู่หลานไม่ทราบเลยว่าเรื่องตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราวได้แพร่งพรายไปทั่วหมู่บ้านชิงซาน ในตอนนี้เธอและเซี่ยเจ๋อหลี่ได้มาถึงบ้านตระกูลฉินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เมื่อฉินอวิ๋นเฮ่อเห็นหลานสาวและหลานเขยของตนมา จึงเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้ม “มู่หลาน ทำไมวันนี้พวกหลานถึงว่างมาที่นี่ได้ล่ะ”

เมื่อหลิวชุ่ยฮวาเห็นทั้งสอง จึงต้อนรับพวกเขาด้วยการเชื้อเชิญให้นั่งดื่มน้ำ และได้เห็นซานเย่าที่อยู่ในกระบุงใหญ่ “อาหลี่ มาที่บ้านเอาของติดตัวมาด้วยทำไมกันล่ะ เอากลับไปให้หมดเลยนะ”

“คุณย่าครับ นี่เป็นของที่มู่หลานพาผมไปขุดมาบนเขา อย่ากังวลไปเลย ที่บ้านก็มีเหมือนกัน ก็เลยแบ่งมาฝากบางส่วนครับ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิวชุ่ยฮวาจึงพยักหน้าลงอย่างช่วยไม่ได้ หากทั้งสองบ้านมีเหมือนกันเช่นนั้นก็ดี

ส่วนฉินมู่หลานพูดคุยกับฉินอวิ๋นเฮ่อเรื่องที่ไปเก็บสมุนไพรบนภูเขา “คุณปู่คะ วันนี้ฉันขึ้นเขาไปแล้วได้สือหูมาด้วยค่ะ รอให้แห้งจัดแล้ว ฉันจะแบ่งเอามาให้คุณปู่บางส่วน คุณปู่กับคุณย่าจะได้กินด้วย”

“สือหูเหรอ นั่นของดีเลยนะ ปู่กับย่าของหลานกินกันได้”

หลิวชุ่ยฮุยได้ยินว่าตนสามารถกินได้ นอกจากนี้ยังเป็นของที่หลานสาวนำมาให้ด้วย จึงรู้สึกดีใจ “อุ๊ย…มู่หลานนี่กตัญญูจริง ๆ มีของดีก็รู้จักนำมาให้พวกเรา”

เมื่อเห็นว่าหลิวชุ่ยฮวามีความสุข ฉินมู่หลานจึงอดที่จะเอ่ยพร้อมทั้งยกยิ้มขึ้นมาเสียไม่ได้ “คุณย่าคะ นี่ไม่ใช่ของที่ดีเลิศอะไรหรอกค่ะ ครั้งหน้าหากมีของดีจริง ๆ ฉันจะเอามาฝากพวกคุณปู่คุณย่าอีกนะคะ”

หลังจากเอ่ยประโยคนั้นจบ หลิวชุ่ยฮวาก็ยกมือของตนโบกไปมาอย่างรวดเร็ว พลางเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องหรอก ไม่ต้อง ถ้ามีของดีอะไรจริง ๆ พวกเธอก็เก็บเอาไว้เองเถอะ”

หลานสาวคนนี้ช่างซื่อตรงยิ่งนัก นึกคิดสิ่งใดก็เอ่ยออกมาตามตรง หากเซี่ยเจ๋อหลี่เกิดคิดว่าเธอจะนำของดีกลับมายังบ้านของตนเองฝ่ายเดียว ไม่รู้ว่าเขาจะคิดเช่นไรได้

ฉินอวิ๋นเฮ่ออยากทราบว่าเธอได้สิ่งใดมาบ้าง

“มู่หลาน วันนี้ได้ของอะไรมาจากบนเขาอีกบ้าง?”

“นอกจากพวกสือหูแล้ว ก็ยังมีต้นเจวี๋ยหมิงจื่อกับจื่อเฉ่าค่ะ ฉันหาของดีได้เยอะมากทีเดียวบนภูเขาต้าชิงซาน ครั้งหน้าว่าจะขึ้นไปเก็บสมุนไพรอีก ว่าแต่คุณปู่ บอกทุกคนในบ้านหรือยังคะว่ามีใครอยากหารายได้จากการเก็บสมุนไพรบ้างไหม?”

“ทุกคนอยากไปกันทั้งนั้นแหละ แต่ลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนของหลานไม่มีทักษะการแยกแยะสมุนไพร หากขึ้นเขาไปกับหลาน ก็คงต้องตามดูว่าหลานเก็บอะไร พวกเขาก็คงจะเก็บตามหลานแบบนั้นแหละนะ”

ฉินอวิ๋นเฮ่อรู้สึกมีน้ำโหนิดหน่อยเมื่อเอ่ยถึงท้ายประโยค

“ฮึ…ไม่รู้จักหาสิ่งที่พัฒนาตัวเอง โอกาสสร้างรายได้อยู่ตรงหน้าแล้วแท้ ๆ อันที่จริงแล้วต่อให้ไม่รู้ว่าเลือกเก็บยังไง แต่น้องชายของหลานถือว่าใช้ได้เลยนะ เขาถึงกับมาหยิบยืมตำราของปู่ไปสองเล่มเพื่อศึกษาดูสมุนไพรอย่างละเอียด”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินมู่หลานรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย

“ความจำของเคอวั่งค่อนข้างใช้ได้ หากเขาอยากลองศึกษาดู ก็ให้เขาลองศึกษาได้อย่างเต็มที่ ครั้งหน้าฉันจะพาเขาขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรด้วยกันค่ะ”

ส่วนลูกพี่ลูกน้องและพวกพี่สะใภ้ หากอยากขึ้นเขา ต้องให้เธอบอกลักษณะของต้นสมุนไพรให้ก่อน แล้วจึงค่อยไปเก็บ หากเพียงครั้งหรือสองครั้งย่อมได้ แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่มีใครทนไหวเป็นแน่ คงไม่อาจคอยตามดูให้พวกเขาไปได้ตลอด

หลิวชุ่ยฮวายังเอ่ยเสริมด้วย “ใช่แล้ว น้องชายของหลานค่อนข้างมีความคิดความอ่านเข้าท่า ส่วนเคอเหล่ยและเคอเจี๋ยกับเมียอีกสองคนของพวกมันไม่มีความพยายามอะไรเลยสักนิด มู่หลาน ไม่ต้องพาพวกมันไปขึ้นเขาด้วยหรอก พวกมันไม่ทนงานหนัก ไม่ต้องให้พวกมันไปหาสมุนไพรสร้างรายได้อะไรนั่นหรอก”

ในขณะที่หลายคนกำลังพูดคุยกัน ซุนฮุ่ยหงก็รีบตรงปรี่เข้ามาพร้อมกับลูกสะใภ้ทั้งสองของตน

ทันทีที่ทั้งสามกลับมาถึงก็พบว่าฉินมู่หลานและเซี่ยเจ๋อหลี่อยู่ที่บ้าน ดังนั้นทั้งสามจึงไม่รีรอถามไถ่ผู้อาวุโสทั้งสอง และจ้องมองไปที่ฉินมู่หลานพลางเอ่ยถาม “มู่หลาน ได้ยินว่าเธอได้ตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราวที่โรงงานอาหาร เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินมู่หลานก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

เรื่องนี้มันแพร่งพรายออกไปถึงไหนกันนะ แม้แต่ป้าใหญ่เองก็ได้ยินเรื่องนี้ด้วย ไม่ทราบด้วยว่าผู้ใดเป็นคนแพร่งพรายข่าวลือออกไปได้เร็วถึงเพียงนี้ แต่ในที่สุดชาวบ้านก็ทราบเรื่องนี้เข้าใจได้ เธอจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยตามตรง “ใช่ค่ะ มีตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราวนั้นจริง แต่ฉันส่งต่อให้หลี่เสวี่ยเยี่ยนพี่สะใภ้ใหญ่ไปแล้ว”

“อะไรกัน…เรื่องจริงหรือนี่”

ใบหน้าของซุนฮุ่ยหงถึงกับยับยู่อย่างทนเก็บเอาไว้ไม่อยู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว “มู่หลาน โอกาสดี ๆ เช่นนี้ ทำไมไม่คิดถึงที่บ้านบ้างล่ะ เธอส่งต่องานให้หลี่เสวี่ยเยี่ยนที่เป็นสะใภ้ใหญ่จริงด้วย เธอก็ทำเกินไปนะ”

หวังจาวตี้ที่ตามมาติด ๆ ก็เอ่ยเสริม “ใช่แล้วมู่หลาน ทำไมเธอถึงรีบตัดสินใจส่งต่องานไปแบบนั้นล่ะ ลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนของเธอไม่มีงานทำ พวกเธอโตมาด้วยกันแท้ ๆ ความสัมพันธ์พวกนี้สู้ดีเท่าพี่สะใภ้ที่เพิ่งรู้จักกันเพียงไม่กี่วันได้เหรอ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินมู่หลานจึงเอ่ยขึ้นตามตรง “ถ้าฉันอยากให้คนฝั่งนี้ไปทำงานจริงก็คงส่งต่อตำแหน่งนี้ให้น้องชายแท้ ๆ ของฉันไปแล้ว ยังไงเคอวั่งเองก็อายุเกินสิบแปด แต่ฉันไม่แม้แต่จะให้เขาด้วยซ้ำ ดังนั้นอย่าพูดถึงลูกพี่ลูกน้องสองคนเลย”

ก่อนหน้านี้เธอเองก็เคยนึกถึงฉินเคอวั่ง

แต่ในความคิดของเธอนั้น ผลการเรียนของเคอวั่งดีมาก ถ้าใช้เวลาอีกสักเล็กน้อย แล้วตั้งใจสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ หากเทียบกับตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราวแล้ว แน่นอนว่าการได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยย่อมดีกว่า เธออยากจะพูดคุยเรื่องพวกนี้กับน้องชายของตนเมื่อถึงเวลาอันสมควร จึงปล่อยให้เขาหยุดเรียนหนังสือไม่ได้

หวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งได้ยินดังนั้น พวกหล่อนก็ใบ้รับประทานทันที

ถึงอย่างไรฉินเคอวั่งก็ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว ทุกคนในบ้านไม่ได้ให้น้องชายของเธอทำงานด้วยซ้ำ เช่นนั้นแล้วจะให้นึกถึงลูกพี่ลูกน้องทั้งสองได้อย่างไร

ซุนฮุ่ยหงตอบโต้กลับเป็นคนแรก หล่อนมองฉินมู่หลานอย่างไม่พอใจพลางเอ่ยขึ้น “มู่หลาน ที่ฉันกำลังพูดก็หมายถึงน้องชายของเธอนั่นแหละ ทำไมไม่นึกถึงน้องชายตัวเอง แต่กลับเอาไปประเคนให้หลี่เสวี่ยเยี่ยน”

เมื่อเห็นใบหน้าของซุนฮุ่ยหงที่บอกว่าตนเองหมายถึงฉินเคอวั่ง ฉินมู่หลานจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าป้าใหญ่คนนี้อยากให้ลูกชายของตนได้งาน แต่สุดท้ายก็โวยวายว่าตนหมายถึงเคอวั่งน้องชายของเธอ ช่างเยี่ยมยอดเสียจริง

“ป้าใหญ่ ฉัน…”

ก่อนที่ฉินมู่หลานจะทันได้เอ่ยพูดจนจบ ใครบางคนก็โผล่พ้นเข้าประตูมา ฉินเจี้ยนเซ่อและซูหว่านอี๋ภรรยาของเขาได้พาฉินเคอวั่งกลับมาแล้ว

เมื่อซูหว่านอี๋เห็นว่าลูกสาวกับลูกเขยมา สีหน้าก็เปี่ยมไปด้วยความสุข แต่ซุนฮุ่ยหงก็ได้เอ่ยพูดต่อหน้าหล่อน “น้องสะใภ้ เธอมาก็ดีแล้ว เธอรีบบอกมู่หลานหน่อยเร็ว มีงานดีๆ แต่กลับไม่นึกถึงน้องชายของตัวเอง ไปใจดีส่งต่อให้หลี่เสวี่ยเยี่ยน สะใภ้คนโตของตระกูลเซี่ย เธอว่าเด็กคนนี้คิดอะไรกัน”

ฉินเคอวั่งได้ยินเรื่องตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราวแล้ว หลังจากที่เขาได้ยินสิ่งที่ซุนฮุ่ยหงเอ่ย จึงรีบแสดงความคิดเห็นของตนทันที “ป้าใหญ่ครับ นี่เป็นตำแหน่งงานของพี่สาวผม หล่อนจะส่งต่อให้ใครก็ย่อมได้ อีกอย่างผมจะหางานด้วยตัวเอง ไม่ต้องรบกวนพี่สาวหรอก”

ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้น จึงหันไปยิ้มให้ฉินเคอวั่ง รู้สึกถูกชะตากับน้องชายของตนยิ่งขึ้นไปอีก

นี่คือชายหนุ่มแสนดีผู้รู้จักมีความคิดที่จะพึ่งพาตนเอง

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

พอรู้ว่ามู่หลานมีผลประโยชน์ดีๆ ก็มาตีสนิทเลยนะป้าใหญ่ ออกหน้าออกตามาก

เคอวั่งเป็นเด็กดีจังเลยค่ะ ตอบแบบเรียบๆ ธรรมดาแต่ทำป้าใหญ่หน้าชาแล้วมั้ง

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท