ตอนที่ 36 ลากคนไปตกหลุมพราง
ตอนที่ 36 ลากคนไปตกหลุมพราง
เซี่ยเจ๋อน่าเห็นเย่เสี่ยวเหอแล้วก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เสี่ยวเหอ เธอเป็นอะไรไหม?”
เย่เสี่ยวเหอได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเซี่ยเจ๋อน่า ดวงตาฉายแววเหินห่าง
“เธอยังกล้าถามฉันอีกเหรอว่าเป็นอะไรไหม ฉันต้องมารู้สึกอับอายต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้านก็เพราะเธอ ตอนนี้ฉันต้องแต่งงานกับเฝิงจื้อหมิง สาแก่ใจเธอหรือยังล่ะ เซี่ยเจ๋อน่าเอ๋ยเซี่ยเจ๋อน่า ฉันคงประเมินเธอต่ำไปหน่อย เธอวางแผนกับฉันกำจัดฉินมู่หลาน แต่ลับหลังก็แอบสมรู้ร่วมคิดกับฉินมู่หลาน ให้ฉันกับเฝิงจื้อหมิงต้องตกหลุมพรางตามแผนการอันแยบยลของพวกเธอ”
“ไม่…ฉันเปล่านะ”
เซี่ยเจ๋อน่ารีบส่ายหัวปฏิเสธ “ฉันอยากไล่ฉินมู่หลานออกไปจากบ้านจริง ๆ ฉันวางยาฉินมู่หลานตามที่เธอบอกแล้ว แต่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่เสี่ยวเหอก็จ้องมองเซี่ยเจ๋อน่าเขม็ง พลางเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นทำไมพี่รองของเธอลงมาจากเขาเร็วขนาดนั้นล่ะ เธอบอกว่าพวกเธอไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกัน ถ้าอย่างนั้นก็คงบังเอิญมากเลยนะ”
สำหรับเรื่องนั้น เซี่ยเจ๋อน่าเองก็คิดสงสัยเช่นกัน
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ปกติแล้วพี่รองใช้เวลาไปล่าสัตว์ทั้งวันถึงจะกลับมา บางครั้งที่ล่าได้เยอะมาก เขาก็จะอยู่ค้างคืนบนเขาเสียด้วยซ้ำ ครั้งนี้มันบังเอิญ เขากลับมาเร็วเกิน”
“ฮ่า…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่เสี่ยวเหอก็ระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมา “เรื่องบังเอิญสินะ”
เมื่อเห็นสีหน้าของเย่เสี่ยวเหอดูไม่เชื่อถือ เซี่ยเจ๋อน่าจึงเอ่ยขึ้นต่อ “เสี่ยวเหอ เธอเชื่อฉันเถอะ แม้แต่ฉันก็โดนฉินมู่หลานเล่นงาน พอตื่นขึ้นมาพี่รองก็กลับมาแล้ว ทุกคนก็กลับมาที่บ้านกันหมดแล้ว ฉันเองก็เป็นคนสุดท้ายที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วที่บ้านก็ยังจะขังฉันเอาไว้ด้วย ฉันแอบหนีออกมามันลำบากมากนะ”
จากนั้นเซี่ยเจ๋อน่าก็เอ่ยอย่างขมขื่น “ยิ่งไปกว่านั้นที่บ้านยังจะบังคับให้ฉันแต่งงานด้วย พวกเขาอยากให้ฉันแต่งออกไปให้เร็วที่สุดแล้วย้ายไปอยู่หมู่บ้านข้าง ๆ เธอว่าพ่อแม่ฉันใจร้ายเกินไปไหม เป็นเพราะฉินมู่หลานแท้ๆ พวกเขาถึงอยากจะผลักไสไล่ส่งฉันออกจากบ้าน ตอนนี้ในบ้านไม่มีที่สำหรับฉันแล้ว”
เมื่อเห็นว่าตอนนี้เซี่ยเจ๋อน่ายังคงบ่นคร่ำครวญ เย่เสี่ยวเหอก็จ้องมองหล่อนด้วยแววตามืดมน
แต่ไม่นานนักหล่อนก็หลุบตาลง พลางกดเสียงต่ำเอ่ยถาม “น่าน่า เธอพูดจริงใช่ไหม เธอไม่ได้หลอกฉันจริงนะ”
“จริงแท้แน่นอน เสี่ยวเหอ ฉันจะหลอกเธอได้ยังไงกัน ทั้งหมดเป็นเพราะนังฉินมู่หลานนั่น เป็นเพราะหล่อน ฉันเลยต้องรีบแต่งงาน แล้วยังเป็นไอ้พวกเหม็นกลิ่นโคลนสาบควายที่อยู่หมู่บ้านข้าง ๆ นี่อีก”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น เย่เสี่ยวเหอก็แอบเยาะเย้ยอยู่ภายในใจ
หล่อนเอ่ยถึงชายคนนั้นว่าเหม็นกลิ่นโคลนสาบควาย แต่ตระกูลเซี่ยของหล่อนเอง นอกจากเซี่ยเจ๋อหลี่ที่ทำงานในกองทัพแล้ว คนอื่นก็ทำไร่ทำนากันทั้งนั้น ก็ไม่แปลกที่เซี่ยเจ๋อน่าจะไม่คิดชอบใคร
แต่เย่เสี่ยวเหอไม่ได้เอ่ยสิ่งนี้ หล่อนกดเสียงต่ำพลางเอ่ยถาม “น่าน่า เธอไม่ชอบคนที่ครอบครัวเธอหาให้อย่างนั้นใช่ไหม”
เมื่อเซี่ยเจ๋อน่าได้ยินดังนั้น จึงเอ่ยอย่างมั่นใจ “ฉันก็ต้องไม่ชอบอยู่แล้ว ฉันอยากแต่งงานเข้าไปอยู่ในเมือง”
ตั้งแต่เซี่ยเจ๋อหลี่เข้าร่วมกองทัพตอนอายุได้สิบห้าปี ด้วยความสามารถของเขา เขาก็มีตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ หลังทำงานเพียงไม่กี่ปี เซี่ยเจ๋อน่าจึงรู้สึกมาตลอดว่าอาจจะพึ่งพาอาศัยเส้นสายของพี่รองได้เพื่อแต่งงานกับชายหนุ่มในเมือง
แต่ตอนนี้ความฝันนี้กลับได้พังทลายลงไปเสียแล้ว เนื่องจากพ่อกับแม่จัดหาคู่แต่งงานที่อยู่ในหมู่บ้านข้าง ๆ ให้กับหล่อน
เย่เสี่ยวเหอได้ยินคำพูดของเซี่ยเจ๋อน่า จึงเอ่ยอย่างมีเลศนัย “ถ้าอยากหาผู้ชายในเมืองจริง ฉันพอมีคนที่เข้าตาอยู่นะ แค่ไม่รู้ว่าเธอจะสนใจไหม”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แววตาของเซี่ยเจ๋อน่าก็เป็นประกาย พลางเอ่ยถาม “คนที่เข้าตาเหรอ?”
เย่เสี่ยวเหอถอนหายใจแผ่วเบาหลังจากได้ยินเช่นนั้น พลางเอ่ย “ผู้ชายคนนั้นค่อนข้างดีเลย เพียงแต่ฉันเคยได้หมั้นหมายกับอีกครอบครังหนึ่งในเมืองแล้ว เลยไม่ได้นึกถึงเขาคนนั้น ส่วนตอนนี้ฉันจดทะเบียนสมรสกับเฝิงจื้อหมิงแล้ว โอกาสจะได้แต่งกับเขาคนนั้นจึงมีน้อยนิด แต่ถ้าเป็นเธอก็มีโอกาสลองได้อยู่นะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยเจ๋อน่าก็รู้สึกใจเต้น
“เสี่ยวเหอ แล้วคนนั้นเขาทำงานอะไรเหรอ?”
“เขาเป็นคนงานในโรงงานเหล็ก เงินเดือนแต่ละเดือนประมาณสามสิบแปดหยวน และเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว ต่อไปข้างหน้า ทุกอย่างในบ้านก็จะตกเป็นของเขาเพียงผู้เดียว”
เมื่อได้ยินดังนั้น แววตาของเซี่ยเจ๋อน่าก็เปล่งประกาย
“โรงงานเหล็กเหรอ ได้ยินมาว่าโรงงานเหล็กเป็นโรงงานใหญ่ ถ้าได้ไปทำงานที่นั่นคงดีไม่น้อย” นอกจากนี้ผู้ชายคนนั้นยังเป็นลูกชายคนเดียวอีกด้วย เช่นนั้นแล้ว ต่อไปทุกอย่างในบ้านจะต้องตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน
“แต่ว่า…”
เมื่อเอ่ยถึงประโยคหลัง เย่เสี่ยวเหอก็มองไปที่เซี่ยเจ๋อน่าด้วยท่าทางลังเลพลางเอ่ยขึ้น “เขาอายุเยอะกว่าเธอสิบปี ไม่รู้ว่าเธอจะรังเกียจหรือเปล่า”
“แก่กว่าฉันสิบปีเหรอ”
เซี่ยเจ๋อน่ารู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง “แล้วทำไมเขาถึงจะแต่งงานตอนแก่เอาป่านนี้เล่า”
อายุมากกว่าหล่อนสิบปี ดังนั้นผู้ชายคนนั้นน่าจะอายุประมาณสามสิบแล้ว จนถึงวัยนี้ยังไม่แต่งงาน ช่างพบเจอได้ยากเสียจริง
“อา…ดูเหมือนว่าเขาจะโชคร้ายไปหน่อยน่ะ เขาเคยมีคู่หมั้นมาก่อน ทั้งสองคนกำลังจะแต่งงานกัน แต่แล้วคู่หมั้นของเขาก็ไปแต่งกับชายอื่น อาจเพราะแบบนี้ เขาจึงรู้สึกหมดกำลังใจ ก็เลยคิดแต่งงานช้า”
เย่เสี่ยวเหอค่อย ๆ เล่าเกี่ยวกับบุคคลผู้นั้น
“แต่เธอวางใจเถอะ ถึงเขาจะอายุไม่น้อยแล้ว แต่ก็ดูดีมาก”
บุคคลที่เย่เสี่ยวเหอเอ่ยถึงนั้นมีชื่อว่าเกาหยวน เขาเป็นเพื่อนบ้านของคนที่หล่อนจะแต่งงานด้วย
แม้ว่าเกาหยวนจะดูดี หน้าที่การงานเพียบพร้อม แต่ปัญหาเล็กน้อยที่คนนอกหลายคนไม่รู้ นั่นคือเขาชอบทุบตีทำร้ายร่างกายคน
เขาเคยคบกับสหายหญิงคนหนึ่งที่มีบุคลิกค่อนข้างห้าวหาญเด็ดเดี่ยว
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เกาหยวนดื่มมากเกินไป จึงทุบตีคู่หมั้นคนนั้น เมื่อถึงวันถัดมา คู่หมั้นของเขาก็พาพวกพี่น้องผู้ชายมาถึงหน้าประตูบ้าน ผลก็คือเกาหยวนโดนอัดจนเละ นอกจากนี้ยังโดนยกเลิกงานแต่งด้วย
เกาหยวนต้องประสบกับความสูญเสีย และต้องการทวงคืนศักดิ์ศรี แต่น่าเสียดายที่คู่หมั้นคนนั้นมีพี่น้องผู้ชายมาก เมื่อเห็นเกาหยวนก็จะเข้ามารุมอัดทุกครั้ง หลังจากนั้นเกาหยวนจึงทำได้เพียงจำใจทนอยู่กับความสูญเสียอันน่าอัปยศอดสูนี้
และยังไม่จบเพียงเท่านี้
สหายหญิงอดีตคู่หมั้นคนนั้นได้เข้ามาทำลายงานแต่งครั้งต่อๆ ไปของเกาหยวนเสียยับเยิน จึงทำให้เกาหยวนไม่ได้แต่งงาน
ด้วยเหตุนี้ นิสัยของเกาหยวนจึงแย่ลงเรื่อย ๆ อีกทั้งแม่ของเขายังไม่ใช่พวกตะเกียงประหยัดน้ำมัน* หากเซี่ยเจ๋อน่าแต่งงานกับเขา เช่นนั้นก็จินตนาการถึงอนาคตของหล่อนได้เลย
*不是省油的灯 เป็นสำนวน แปลว่าคนที่ร้ายกาจรับมือได้ยาก
เดิมทีเย่เสี่ยวเหอก็ไม่อยากแต่งงานเช่นกัน จึงได้พูดคุยเกี่ยวกับคนที่พ่อเลือกเอาไว้ให้ และได้บังเอิญทราบเรื่องของเกาหยวนเข้า
เมื่อได้ฟังคำพูดของเย่เสี่ยวเหอแล้ว ภายในใจของเซี่ยเจ๋อน่าก็มีความคิดอันกล้าหาญผุดขึ้นมา
“เสี่ยวเหอ ฉันขอไปเจอคนนั้นหน่อยได้ไหม?”
หล่อนต้องการรีบหาคู่ครองของตนเองก่อนที่ทางบ้านจะนัดดูตัวหล่อนกับคนที่หามาให้ หลังจากนั้นก็จะให้ครอบครัวของหล่อนได้เห็นว่าสิ่งที่หล่อนเลือกด้วยตัวเองดีกว่าที่พวกเขาจัดหามาให้กว่าเป็นไหน ๆ
เย่เสี่ยวเหอได้ยินสิ่งนี้ จึงยกยิ้มขึ้นมุมปากเล็กน้อย “ได้อยู่แล้ว ฉันคิดว่ามันยังไม่มืดมากนัก เราเข้าไปในเมืองกันดีไหม”
เนื่องจากเซี่ยเจ๋อน่าทำให้หล่อนตกหลุมพราง เช่นนั้นแล้วหล่อนก็จะลากอีกฝ่ายลงน้ำด้วยเช่นกัน หากหล่อนไม่ได้ดีก็อย่าหวังว่าคนอื่นจะได้ดีเลย
เซี่ยเจ๋อน่าได้ยินดังนั้น จึงเอ่ยด้วยสีหน้าดีใจ “ได้สิ พวกเราไปกันเลยไหม”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
โดนเพื่อนรักแทงข้างหลังแล้วยังไม่รู้ตัวอีก ต้องไปเป็นกระสอบทรายให้เขาซ้อมก่อนล่ะมั้ง โชคดีกับชีวิตที่เธอเลือกนะคะนังโง่
ไหหม่า(海馬)