ตอนที่ 42 การเปลี่ยนแปลงและความอิจฉา
ตอนที่ 42 การเปลี่ยนแปลงและความอิจฉา
ฉินมู่หลานคิดว่าตนฟังผิดในตอนแรก เมื่อซูหว่านอี๋เอ่ยขึ้นอีกครั้ง เธอจึงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ “จริงเหรอคะ ค่าลิขสิทธิ์ของหนูมาแล้วเหรอ ดีจริง”
ตอนแรกเธอคิดว่าบทความที่ส่งไปในตอนแรกจะล้มเหลว จึงไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับค่าจ้างแต่อย่างใด
ฉินเคอวั่งที่ยืนอยู่ด้านข้างหันมองฉินมู่หลานอย่างเหลือเชื่อ พลางเอ่ย “พี่ พ…พี่เขียนบทความตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“เพิ่งเริ่มเขียนเอง พี่คิดว่าจะไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าจะได้”
ฉินมู่หลานเอ่ยขณะรีบเร่งฝีเท้ากลับบ้าน “รีบไปเถอะ พี่จะรีบกลับไปดู”
ฉินเคอวั่งเองก็อยากเห็นว่าพี่สาวจะได้รับค่าลิขสิทธิ์เท่าใด จึงรีบตามไปอย่างว่องไว ในที่สุด ฉินเจี้ยนเซ่อและซูหว่านอี๋ก็ไปถึงบ้านตระกูลเซี่ยด้วยเช่นกัน
เมื่อฉินมู่หลานมาถึง บุรุษไปรษณีย์ก็หันมองเธอแล้วเอ่ยถาม “คุณคือฉินมู่หลานใช่ไหมครับ?”
“ใช่ค่ะ”
บุรุษไปรษณีย์ได้ยินดังนั้น จึงส่งมอบใบรับเงินค่าลิขสิทธิ์มาทันที “คุณเก็บเอาไว้ให้ดี ต้องเอาสิ่งนี้นำไปถอนเงิน และคุณต้องเซ็นชื่อตรงนี้”
“ค่ะ”
หลังจากฉินมู่หลานเซ็นชื่อตัวเอง ก็รีบพลิกดูค่าธรรมเนียมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพบว่าต้นฉบับอันล่าสุดที่ตนส่งไปสามารถทำเงินได้สิบห้าหยวน ใบหน้าของเธอจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ดีจังเลย ดูเหมือนว่าต่อไปเธอจะสามารถสร้างรายได้จากสิ่งนี้ได้แล้ว
ซูหว่านอี๋ยืนอยู่ข้างลูกสาว แน่นอนว่าหล่อนเห็นตัวเลขค่าลิขสิทธิ์เช่นกัน แต่สิ่งที่ทำให้หล่อนรู้สึกสุขใจไม่ใช่เงินที่ลูกสาวทำได้ แต่เป็นเพราะบทความที่ลูกสาวเขียนสามารถใช้งานได้จริง ซึ่งหล่อนไม่เคยคิดถึงมันมาก่อน “มู่หลาน ดีใจด้วยนะ”
และในขณะนั้น สมาชิกตระกูลเซี่ยทุกคนที่ทราบข่าวก็พากันวิ่งมา เมื่อเห็นว่าฉินมู่หลานได้รับค่าลิขสิทธิ์จริง ทุกคนก็พากันรู้สึกประหลาดใจ ที่สำคัญคือมีความสุขมากเช่นกัน
เซี่ยเหวินปิงถึงกับเปิดปากเอ่ยขึ้น “มู่หลาน เธอเก่งจริง ๆ เลย”
“ขอบคุณค่ะพ่อ”
บุรุษไปรษณีย์ขี่จักรยานออกไปหลังจากส่งพัสดุเสร็จเรียบร้อย
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ในหมู่บ้านชิงซานไม่ค่อยสงบ ทุกคนในหมู่บ้านต่างทราบข่าวเรื่องนี้เช่นกัน จึงมารวมตัวกันเพื่อชมเรื่องน่าสนใจ เมื่อเห็นว่าฉินมู่หลานได้รับค่าลิขสิทธิ์จริง ทุกคนจึงมองเธอแตกต่างไปจากเดิม นั่นคือค่าลิขสิทธิ์ หมายความว่าสิ่งที่ฉินมู่หลานเขียนไปจะถูกตีพิมพ์ลงบนหนังสือพิมพ์ ดังนั้นบทความนี้ต้องผ่านการคัดเลือกมากมายขนาดไหน
“มู่หลาน เธอส่งอะไรไปอย่างนั้นหรือ ฉันไม่เคยได้ยินเธอพูดเรื่องนี้มาก่อนเลย”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว บทความของเธอจะเผยแพร่ที่ไหนหรือ?”
“ไม่รู้ว่าเราจะอ่านบทความที่เธอเขียนได้ไหม”
เมื่อได้ยินปัญหาคาใจของทุกคนรอบตัว ฉินมู่หลานจึงหันมองทุกคนพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณทุกคนที่ให้ความสนใจนะคะ ฉันเริ่มเขียนบทความหลังจากเพิ่งแต่งงานได้ไม่นานส่งไปที่สำนักพิมพ์หลัก หากใครอยากจะลองเขียน ก็สามารถลองส่งได้”
คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านไม่เคยไปโรงเรียน อย่าว่าแต่มีส่วนร่วมเลย ทุกคนจึงพากันโบกมือพลางเอ่ย “พวกเราจะทำได้ยังไงกัน ยังรู้จักตัวอักษรแค่ไม่กี่ตัวอยู่เลย ไม่คิดเลยว่าเธอจะเก่งนาดนี้”
ในขณะนี้ ก็มีคนคิดได้ว่าฉินมู่หลานจบม.ปลาย
“อันที่จริง…มู่หลานเก่งมากเลยนะ ในตอนนั้น มีแค่ไม่กี่คนที่เรียนจบม.ปลายได้แต่เธอกลับเรียนจบ ต้องบอกว่าเธอเองก็มีวุฒิม.ปลาย”
หลังจากนั้นต่อมา ถึงแม้ว่าฉินมู่หลานจะเรียนม.ปลายก็ไม่ได้มีประโยชน์แต่อย่างใดเพราะหางานทำไม่ได้เลย ในตอนนั้นหลายคนกลับรู้สึกว่าฉินเจี้ยนเซ่อและภรรยาของเขาต่างคิดไม่รอบคอบ ปล่อยให้ลูกสาวได้เรียนม.ปลาย นอกจากนี้หลังจากที่ไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว ฉินมู่หลานก็ยังคงเหมือนเดิม ทุกวันจะอยู่บ้านกินนอนอย่างขี้เกียจ ทัศนคติของชาวบ้านที่มีต่อเธอจึงแย่ลงเรื่อย ๆ
แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว ฉินมู่หลานสามารถสร้างรายได้ด้วยการเขียนต้นฉบับบทความ แสดงให้เห็นว่าการรู้หนังสือนั้นมีประโยชน์มากเลยทีเดียว
ในขณะเดียวกัน ทัศนคติที่ทุกคนในหมู่บ้านมีต่อฉินมู่หลานก็เปลี่ยนไป และในขณะเดียวกันก็รู้สึกอิจฉาเธอ เพียงแค่นั่งเขียนบทความอยู่ที่บ้านก็สามารถทำเงินได้แล้ว
เหยาจิ้งจือมองไปที่ฉินมู่หลาน ก่อนจะรู้สึกว่าสะใภ้คนเล็กนี้ช่างเก่งกาจมาก ไม่ใช่เพียงแต่มีทักษะทางการแพทย์เท่านั้น แต่ตอนนี้ยังรับค่าลิขสิทธิ์ได้ด้วย ยังมีสิ่งพิเศษที่คนอื่นยังไม่รู้อีกหรือเปล่านะ
แต่เซี่ยเหวินปิงก็ภูมิใจในตัวของลูกชายตนเช่นกัน เดิมทีเขาคิดว่าชีวิตการแต่งงานของอาหลี่จะต้องพังพินาศ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าฉินมู่หลานจะแตกต่างจากที่ชาวบ้านพูดไว้ทั้งหมด กลายเป็นว่าสาวอ้วนคนนี้เก่งกาจมาก
ฉินเจี้ยนเซ่อและซูหว่านอี๋ก็ภูมิใจในตัวลูกสาวของตนไม่แพ้กัน แต่สิ่งที่พวกเขาคิดอยู่ในใจก็คือ ลูกสาวแต่งงานไปแล้ว ตั้งแต่แต่งงาน ลูกสาวก็ได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากทุกคนมารับชมความตื่นเต้นแล้ว ก็สลายการชุมนุมไป
แม้ว่าคนในหมู่บ้านจะไม่มีความคิดอื่น แต่เยาวชนที่ได้รับการศึกษาหลายคนในหมู่พวกเขาต่างมีสีหน้าครุ่นคิด เนื่องจากแม้แต่ผู้หญิงบ้านนอกอย่างฉินมู่หลานยังสามารถสร้างรายได้ด้วยการเขียนบทความต้นฉบับได้ จึงไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะทำไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงอยากลองทำเช่นกัน
หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว ฉินเจี้ยนเซ่อและซูหว่านอี๋ก็มุ่งหน้าจะกลับบ้าน
ฉินเคอวั่งส่งตะกร้าสานที่ใส่สมุนไพรให้กับฉินมู่หลานก่อนจะเอ่ย “พี่ ถ้าอย่างนั้นพวกนี้พี่เอาไปเถอะ” ถึงแม้ว่าเขาจะจำสมุนได้มากมาย แต่เรื่องการปรุงนั้นเขาไม่รู้เลย จึงต้องขอฝากให้เป็นหน้าที่ของพี่สาว
ฉินมู่หลานกล่าวขึ้นหลังจากรับมันไป “ได้ พี่จะช่วยนายทำเอง หลังจากขายได้เงินแล้ว พี่จะเอามาให้”
“ได้ครับพี่ ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนนะ”
เมื่อเห็นว่าตระกูลฉินกำลังจะไป เหยาจิ้งจือที่ยืนอยู่ด้านข้างจึงเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว “พ่อแม่เจ้าสาว อยู่กินข้าวกันเสียก่อนเถอะค่ะ”
ฉินเจี้ยนเซ่อและซูหว่านอี๋ต่างปฎิเสธทันที
“ไม่ต้องหรอกครับ พอดีที่บ้านทำอาหารเอาไว้แล้ว”
เมื่อเอ่ยจบจึงจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ฉินมู่หลานเก็บตะกร้าสานเรียบร้อยแล้วก็เดินตรงไปที่ห้องครัว ขณะเดียวกันเธอก็เอ่ยเรื่องการเก็บสมุนไพร
“พ่อคะแม่คะ วันนี้หนูพาเคอวั่งไปเก็บสมุนไพรด้วยกันมา หากว่าวันไหนพ่อกับแม่อยากไปด้วย ไปด้วยกันได้นะคะ” เธอเคยพูดถึงเรื่องนี้กับเหยาจิ้งจือก่อนหน้านี้แล้ว แต่ในตอนนั้นพวกเขาไม่สนใจ แต่เมื่อได้เห็นในครั้งนี้ เธอจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง หากถึงตอนนั้นแล้วพวกเขาเห็นว่าสมุนไพรสามารถทำเงินได้ พวกเขาคงเปลี่ยนความคิดไปบ้าง
เซี่ยเหวินปิงและเซี่ยเจ๋อเหว่ยไม่สนใจ เหยาจิ้งจือเองก็ไม่สนใจเช่นกัน ส่วนใหญ่หล่อนต้องทำงานบ้านและทำอาหาร แล้วยังต้องช่วยเลี้ยงเสี่ยวอวี่ด้วย จึงไม่ค่อยมีเวลามากนัก “มู่หลาน พวกเราคงไม่ไปหรอก พวกเธอสองคนพี่น้องถ้ามีเวลาก็ไปกันได้เลย”
“ได้ค่ะแม่ หนูเข้าใจแล้วค่ะ”
ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้น จึงไม่เอ่ยสิ่งใดอีก และเธอเองก็พร้อมเข้าใจเหตุผลเช่นกัน “แม่คะ พรุ่งนี้หนูจะเข้าไปในเมือง เพื่อขอขึ้นค่าลิขสิทธิ์ แล้วจะส่งบทความไปอีกหนึ่งอัน”
เมื่อิได้ยินเช่นนั้น เหยาจิ้งจือก็พยักหน้าพลางเอ่ย “ได้สิ ยังไงก็ระวังตัวด้วยนะ”
เซี่ยเจ๋อเหว่ยก็เอ่ยถามอย่างนึกสงสัย “น้องสะใภ้ เธอเขียนอีกบทความแล้วเหรอ? เขียนเร็วจังเลย?”
“ใช่ค่ะ ฉบับที่สองเขียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะลงปากกาในช่วงบ่าย พรุ่งนี้จะได้ส่งได้เลย”
เซี่ยเจ๋อเหว่ยได้ยินดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะคิดขึ้นทันที
หากต้นฉบับบทความอันที่สองได้รับการยอมรับอีกครั้ง ก็หมายความว่าจะได้รับค่าลิขสิทธิ์อีกครั้ง ไม่แปลกใจเลยที่น้องสะใภ้จะไม่ใส่ใจทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวในโรงงานอาหาร มีวิธีสร้างรายได้เช่นนี้ดีกว่าตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราวในโรงงานอาหารมาก แต่น้องสะใภ้มีความสามรถของตัวเองอยู่แล้ว หากเป็นพวกเขาทำเรื่องแบบนี้ อาจไม่ได้เม็ดเงินเลยด้วยซ้ำ
หลังจากรับประทานอาหาร ฉินมู่หลานก็กลับไปที่ห้องเพื่อจัดเรียงต้นฉบับ
เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ฉินมู่หลานก็รับประทานอาหารเช้า ก่อนจะออกเดินทางเข้าไปในตัวเมือง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ความจริงแล้วเนื้อในวิญญาณเป็นมู่หลานอีกคนน่ะค่ะ มู่หลานคนเก่าไม่มีทางทำได้แบบนี้หรอก
ไหหม่า(海馬)