ตอนที่ 44 สำนึกแห่งการรับรู้
ตอนที่ 44 สำนึกแห่งการรับรู้
ซ่งโหย่วเต๋อเห็นฉินมู่หลานแล้วก็เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม “มารับยาอีกแล้วใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
ฉินมู่หลานยื่นใบสั่งยาไปให้ ในขณะเดียวกันก็นำขวดตัวยาที่สกัดเรียบร้อยออกมาด้วย “หมอซ่งคะ คุณลองดูให้หน่อยสิคะว่าสมุนไพรพวกนี้ใช้ได้ไหม?”
ซ่งโหย่วเต๋อได้ยินสิ่งนี้ จึงยังไม่จ่ายยา และมองดูสมุนไพรที่ฉินมู่หลานนำมา “คุณปรุงสมุนไพรได้ดีมาก ผมรับพวกมันทั้งหมดเลย ถ้าอย่างนั้นขอชั่งตวงก่อนนะ”
“ค่ะ”
หลังจากซ่งโหย่วเต๋อเยินยอแล้ว ก็จ่ายให้ในราคาที่เหมาะสมมาก
“ขอบคุณค่ะหมอซ่ง”
ฉินมู่หลานรู้มูลค่าของเงินในยุคสมัยนี้ จึงทราบว่าราคาที่ซ่งโหย่วเต๋อจ่ายให้นั้นค่อนข้างสูงมาก
ซ่งโหย่วเต๋อยกยิ้มหลังจากได้ยินเช่นนั้น พลางกล่าวขึ้น “ไม่ต้องขอบคุณหรอก เป็นเพราะสมุนไพรของคุณดีมาก”
หลังจากเอ่ยจบ เขาก็จ่ายยาให้ฉินมู่หลาน และในขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ผมเห็นคุณปรับใบสั่งยาหลายครั้งแล้ว อาการของคนไข้ดีขึ้นแล้วใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ”
ฉินมู่หลานเอ่ยตามตรง “อาการของคนไข้ฟื้นตัวขึ้นมาก จึงต้องปรับเพิ่มลดขนาดยาบางตัวค่ะ”
“แล้วใบสั่งยานี้ผู้อาวุโสในบ้านของคุณเขียนสั่งจ่ายเองใช่ไหมครับ?”
ฉินมู่หลานไม่ได้เอ่ยตอบตามตรง แต่กลับถามกลับ “หมอซ่งคิดว่าตัวยานี้ดีไหมคะ?”
“ค่อนข้างดีเลย ผมอยากลองพูดคุยกับที่บ้านของคุณเสียจริง ล่าสุดเพิ่งเจอโรคร้ายมา ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นรักษาอย่างไร จึงอยากหาคนมาพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องนี้ด้วย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินมู่หลานจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามกลับ “หมอซ่ง ขอฉันดูหน่อยได้ไหมคะ?”
ซ่งโหย่วเต๋อได้ยินดังนั้น จึงหันมองฉินมู่หลานอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ได้อยู่แล้ว”
ในขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น เขาก็หยิบสมุดบันทึกชีพจรที่เขียนด้วยลายมือของตนออกมา แล้วส่งให้ฉินมู่หลาน
ฉินมู่หลานหยิบขึ้นมาดูด้วยท่าทีระมัดระวัง หลังจากนั้นจึงพบว่าคนไข้คือผู้หญิงที่มีอาการปวดศีรษะมาเป็นเวลาสิบปีแล้ว โดยเฉพาะหลังจากแต่งงานยิ่งเป็นมากขึ้น มีการไปพบแพทย์มาหลายคนแต่ก็ยังไม่ดีขึ้น มีประวัติเคยกินยาแพทย์แผนตะวันตกมาก่อน แต่ผลการรักษาไม่ค่อยดีเท่าใด จึงเริ่มหันมาพึ่งทางแพทย์แผนจีนเมื่อไม่นานมานี้
เมื่อเห็นเคสนี้ สายตาของฉินมู่หลานก็เพ่งไปที่อาการปวดหัวแย่ลงเรื่อย ๆ หลังจากแต่งงาน เธอจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามซ่งโหย่วเต๋อ “หมอซ่งคะ คนไข้ได้เล่ารายละเอียดอย่างอื่นให้ฟังไหมคะ ว่าอาการปวดหัวแย่ที่สุดตอนไหน?”
“ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา คนไข้ไม่มีอาการปวดหัว แต่หลังจากผ่านมาครึ่งเดือน อยู่ ๆ ก็รู้สึกปวดหัวหนักมากจนแทบทนไม่ไหว ครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนไม่สบายและอาเจียนออกมา กินยาอะไรก็ไม่ได้ผล ต่อมาก็ได้มาหาหมอที่นี่ ตอนนั้นผมคลำชีพจรก็พบว่ามันเต้นแรงมาก ลิ้นก็เป็นฝ้าขาว เท้าเย็นเฉียบ จึงวินิจฉัยว่าเป็นภาวะเจวี๋ยหยิน*ตับพร่อง และสั่งจ่ายยาต้มอู๋จูอวี๋* หลังจากกินไปได้สิบโดส อาการปวดหัวก็ลดลง กลับมาอยากอาหารมากขึ้น แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา หล่อนก็เริ่มกลับมามีอาการปวดหัวอีกครั้ง คราวนี้ให้กินยาต้มอู๋จูอวี๋ไปกลับกลายเป็นว่าไม่ได้ผล”
(*厥阴 ภาวะเส้นลมปราณที่หล่อเลี้ยงตับติดขัดเนื่องจากมีหยินและหยางไม่สมดุล ร่างกายท่อนบนร้อนแต่ร่างกายท่อนล่างเย็น)
(*吴茱萸 ผลของต้น Tetradium ruticarpum มีรสร้อน ขมจัด ใช้ขับไล่ความเย็น บำรุงหยาง)
ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้น จึงลองพิจารณาอย่างรอบคอบ พลางเอ่ยให้ฉุกคิด “หมอซ่งคะ อันที่จริง…คุณลองถามหล่อนดูก็ได้นะคะว่าหลังจากนั้นหล่อนไปทำอะไรมาบ้าง ถึงทำให้มีอาการปวดหัวแย่ลง ฉันว่าคนไข้รายนี้กำลังปกปิดอะไรบางอย่างอยู่ค่ะ”
“อะไรนะ…”
ซ่งโหย่วเต๋อได้ยินดังนั้น จึงหันมองฉินมู่หลานด้วยท่าทางประหลาดใจ พลางเอ่ยถาม “คุณ คุณเคยเจออาการแบบนี้มาก่อนหรือ?”
ฉินมู่หลานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางเอ่ย “เหมือนฉันจะเคยเห็นอาการที่คล้ายกันในตำรามาก่อนค่ะ คุณลองแอบตะล่อมถามคนไข้คนนี้ดูนะคะ ว่าไปทำอะไรมาถึงมีอาการปวดหัวเพิ่มขึ้น”
อันที่จริงเธอคาดเดาในใจได้เรียบร้อยแล้ว ผู้ป่วยรายนี้มีอาการเส้นลมปราณที่ตับติดขัดจากความเย็นและรู้สึกเหมือนเป็นหวัด ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ อาการปวดหัวก็จะแย่ลง จึงต้องทำให้ไตอุ่นขึ้นเพื่อลดภาวะข้างเคียง
“ได้ ผมจะลองถามให้รอบคอบอีกครั้ง”
แต่ไม่นาน ซ่งโหย่วเต๋อก็เอ่ยถามขึ้นอีก “แล้วคุณจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ครับ ถึงตอนนั้นผมจะได้ถามคุณให้เข้าใจ จะได้หารือกับคุณอย่างรอบคอบ”
“หมอซ่ง ฉันจะกลับมาอีกครั้งหลังจากนี้สามวันค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซ่งโหย่วเต๋อจึงรู้สึกโล่งใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ดีครับ”
ฉินมู่หลานรับยาและออกจากโรงพยาบาลแพทย์แผนจีน ก่อนจะรีบกลับไปหาเจี่ยงสือเหิง
เมื่อเจี่ยงสือเหิงเห็นฉินมู่หลานกลับมา จึงเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้ม “หมอฉิน ขอบคุณเธอมากนะ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ คุณแค่กินยาให้สม่ำเสมอก็พอ แล้วก็…”
เมื่อเอ่ยถึงท้ายประโยค ฉินมู่หลานก็ไม่สามารถเก็บงำเอาไว้ได้อีกต่อไป จึงเอ่ยอะไรบางอย่าง
“ตอนนี้มาตรการได้ผ่อนคลายลงแล้ว คนอย่างพวกคุณควรจะกลับไปได้แล้วนะคะ พวกคุณควรไปหาข้อมูลให้ดี และถ้าเป็นไปได้ ควรไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด”
“ได้ ขอบคุณหมอฉินที่เป็นห่วงนะ ฉันจะไปหาข้อมูลมาอย่างรอบคอบ”
อันที่จริง เจี่ยงสือเหิงเองก็ได้ยินข่าวลือบางอย่างมาเช่นกัน ว่าบางคนสามารถกลับเข้าเมืองหลวงได้แล้ว แต่บางคนก็ยังไม่ได้กลับ และเขาเองก็อยู่ในกลุ่มที่ไม่ได้กลับไป
ส่วนสาเหตุที่เขาไม่กลับไปนั้น เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าหลานชายตัวดีกำลังแอบทำการบางอย่างลับหลัง แต่มันก็เป็นความผิดของเขาเช่นกันที่ใจดีตั้งแต่แรก แต่ตอนน้เขาจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว ขณะนี้มาตรการได้ผ่อนคลายลงแล้ว จึงมีโอกาสในการรับมือมากขึ้น
ลุงเจี่ยงทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจึงหันไปด้านข้างเพื่อเอ่ยชวน “หมอฉิน อยู่รับประทานอาหารก่อนกลับก่อนไหมครับ”
ฉินมู่หลานส่ายศีรษะ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันต้องรีบกลับ อีกสักสามวันจะกลับมาใหม่ แต่พวกคุณลุงต้องระวังเรื่องความปลอดภัยด้วยนะคะ เจ้าหน้าที่จวงค่อนข้างเป็นคนดี หากเกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณลุงจริง ก็ไปตามเขามาได้นะคะ”
ดูจากสถานการณ์วันนี้แล้ว จวงเหวินกังอาจจะรู้จักชายรูปร่างผอมคนที่เป็นหัวโจกนั้น แต่ถึงอย่างนั้น จวงเหวินกังก็ยังคงจะเอาผิดคนพวกนั้น ทำให้เห็นว่าเขาเป็นคนเที่ยงธรรมมาก
เจี่ยงสือเหิงได้ยินเช่นนั้น จึงพยักหน้า “ได้สิ พวกเราเข้าใจแล้ว ขอบคุณหมอฉินมากนะ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวนะคะ”
เมื่อฉินมู่หลานกลับไป เจี่ยงสือเหิงจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ย “หมอฉินช่างเป็นสหายที่ดีเสียจริง”
ลุงเจี่ยงเองก็รีบพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ครับ ผมกลับรู้สึกว่าเราจ่ายค่าตอบแทนหล่อนน้อยเกินไป ก้วยความเมตตาที่หมอฉินมีต่อพวกเรา ต่อให้มอบของมากมายให้หล่อน ก็คงเทียบไม่ได้”
“ใช่แล้วล่ะ และหมอฉินก็ยังอายุน้อย พอจะเป็นลูกสาวฉันได้เลย นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าหล่อนจะเป็นคนเยี่ยมยอดเช่นนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย”
เมื่อลุงเจี่ยงได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายมากยิ่งขึ้น “นายน้อย อันที่จริง…นายน้อยสามารถรับหมอฉินมาเป็นลูกสาวบุญธรรมได้นะขอรับ”
ตอนนี้นายน้อยอยู่ตัวคนเดียว หากมีลูกบุญธรรมสักคนคงจะดีไม่น้อย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจี่ยงสือเหิงก็อดตกตะลึงไม่ได้ เมื่อนึกถึงว่าเขามีลูกสาวบุญธรรมอย่างฉินมู่หลาน นั่นคงเป็นพรจากสวรรค์ที่เขาได้รับจริง ๆ
แต่เมื่อนึกถึงสภาพการณ์ตัวเองในปัจจุบัน เขาจึงส่ายหัวขึ้นอีกครั้ง พลางเอ่ย “ตอนนี้ยังไม่เหมาะ หากเป็นช่วงเวลานี้ พวกเราคงลากหล่อนลงหลุมไปด้วย”
ลุงเจี่ยงพยักหน้าเห็นด้วยพลางเอ่ย “ใช่ครับ พวกเราต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน”
แววตาของเจี่ยงสือเหิงเองก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เป็นครั้งแรกที่มีความคิดปรารถนาอันแรงกล้าที่อยากจะออกไปจากที่แห่งนี้ แต่ทันใดนั้นเขาก็ฉุกคิดขึ้นมา ว่าหากเอ่ยไปแล้วฉินมู่หลานจะยอมตกลงหรือเปล่า
หลังจากลุงเจี่ยงทราบ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกไป “ถึงเวลานั้นพวกเราก็แค่เอ่ยถามก็ทราบแล้วไม่ใช่หรือขอรับ บางทีหมอฉินเองก็อาจจะเห็นด้วย”
ฉินมู่หลานไม่ทราบเลยว่าเจี่ยงสือเหิงอยากจะรับตนมาเป็นลูกสาวบุญธรรม ในตอนนี้เธอได้ทำการส่งต้นฉบับและขึ้นเงินค่าลิขสิทธิ์แล้ว จากนั้นจึงซื้อของบางอย่าง ก่อนจะรีบกลับไปยังหมู่บ้านชิงซาน
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
มีเหตุผลอะไรนะที่คนไข้คนหนึ่งต้องปิดบังอาการโรคของตนเองกับหมอ
ในเมืองหลวงมีเหตุการณ์ไม่สงบอะไรกันหนอ?
ไหหม่า(海馬)
ปล. วันนี้ต้องขออภัยนักอ่านด้วยนะคะที่มาช้า ผู้แปลตอนนี้ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่อยู่ค่ะ ความเร็วในการแปลเลยช้าลงกว่าปกติมาก ช่วงนี้รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ โรคนี้กำลังระบาดหนักตีคู่มากับโควิดเลย