ตอนที่ 45 เซี่ยเจ๋อน่ากลับบ้าน
ตอนที่ 45 เซี่ยเจ๋อน่ากลับบ้าน
เมื่อฉินมู่หลานกลับมาถึงหมู่บ้านชิงซาน ก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว หลังออกจากบ้านเธอได้แวะกินแป้งทอดหนึ่งชิ้นที่ริมทาง ทำให้จากที่รู้สึกหิวในตอนแรกกลายเป็นว่าตอนนี้ไม่รู้สึกหิวอีกแล้ว
เมื่อเหยาจิ้งจือเห็นฉินมู่หลานกลับมา จึงเอ่ยถามขึ้น “มู่หลาน กินข้าวแล้วหรือยัง?”
“ฉันกินแป้งทอดระหว่างทางแล้วค่ะ ตอนนี้ไม่หิวแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น เหยาจิ้งจือจึงไม่เอ่ยพูดอะไรอีก
ฉินมู่หลานนำของที่ซื้อมาไปเก็บไว้ในครัว “แม่คะ ฉันซื้อข้าวสารกับแป้งมา พรุ่งนี้จะซื้อเนื้อเพิ่มอีก จะได้ทำเกี๊ยวกินกัน”
เหยาจิ้งจือได้ยินดังนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ย “ทำไมซื้อของมาเยอะแยะอีกแล้ว ต่อไปถ้าอยากกินเกี๊ยว ก็บอกฉันเลย เดี๋ยวไปซื้อเอง”
ฉินมู่หลานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม่คะ นี่เป็นรายได้ที่ฉันตั้งใจทำงานแล้วได้มันมาครั้งแรก แน่นอนว่าต้องซื้อของกลับเข้ามาในบ้านบ้างอยู่แล้ว ที่บ้านของพ่อกับแม่ฉันเองก็ซื้อไปให้นิดหน่อยเหมือนกันค่ะ”
“นั่นเป็นสิ่งที่สมควรทำ”
นี่เป็นเงินของฉินมู่หลานเอง เธอสามารถใช้จ่ายอย่างไรก็ได้ตามใจต้องการ นอกจากนี้เธอยังดูแลบ้านทั้งสองฝั่งด้วย
เมื่อได้ยินเหยาจิ้งจือเอ่ย ฉินมู่หลานก็ได้เอ่ยเรื่องที่จะกลับไปที่บ้านของตัวเอง “แม่คะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอกลับไปสักหน่อย จะเอาของไปให้พ่อกับแม่ของฉันค่ะ”
“เอาสิ”
ฉินมู่หลานนำข้าวสารและแป้งที่ซื้อติดตัวมา แล้วมุ่งหน้าออกไปสู่บ้านตระกูลฉิน
ฉินเคอวั่งสังเกตเห็นเธอ จึงเอ่ยกล่าวด้วยความดีใจ “พี่ มาแล้วเหรอ ผมได้ยินว่าวันนี้พี่เข้าเมือง”
“ใช่ วันนี้พี่ขายสมุนไพรทำยาได้บางส่วนแล้ว ก็เลยจะเอาเงินมาให้นาย”
ฉินเคอวั่งได้ยินดังนั้น สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “พี่ เมื่อวานนี้พี่ปรุงสมุนไพรคนเดียวเสร็จหมดเลยเหรอ ทำไมเร็วจัง”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก แต่จากราคาที่หมอซ่งให้มาวันนี้ พี่จึงแบ่งให้เธอได้บ้าง ก็เลยเอามาแบ่งให้ก่อน”
ฉินเคอวั่งรีบโบกมือไปมาพลางเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องหรอกพี่ รอจนกว่าจะขายได้หมดก็ได้ แล้วถ้าพี่จะไม่มาแบ่งให้ผมก็ไม่เป็นไรนะ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย” สถานที่นั้นพี่สาวของเขาก็เป็นคนพาไป และครั้งก่อนที่ขึ้นเขาก็ไม่ได้ลำบากแต่อย่างใด
“แบบนั้นไม่ได้หรอก พวกเราตกลงกันเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วนายเองก็มีส่วนช่วยเหมือนกัน” เมื่อเอ่ยจบ ฉินมู่หลายก็ยื่นเงินออกมา “แต่เงินไม่มากนัก แค่ห้าหยวนเท่านั้น”
“มีตั้งห้าหยวน นี่มันมากพอแล้ว”
ฉินเคอวั่งคิดไม่ถึงเลยว่าสมุนไพรทำยาจะทำเงินได้มากเช่นนี้
ฉินมู่หลานนำเงินไปยัดใส่ลงในมือของฉินเคอวั่ง แล้วเอ่ย “รับไป ต่อไปเราจะหาสมุนไพรที่ดีกว่านี้ จะได้ทำเงินได้มากขึ้น”
อันที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้มากมายนัก สมุนไพรที่เธอปรุงนั้นเป็นเลิศอันดับหนึ่งไม่มีใครเทียม นอกจากนี้ ในครั้งนี้พวกเขายังได้สมุนไพรที่หายากด้วย เพียงแต่ในปัจจุบันมันยังทำราคาได้ประมาณนี้ หากจะให้สูงขึ้นอีกคงไม่ได้แล้ว และนี่ยังเป็นเพราะซ่งโหย่วเต๋อจ่ายให้ในราคาที่เหมาะสมด้วย ไม่อย่างนั้นคงได้น้อยกว่านี้
ในขณะนี้ฉินเจี้ยนเซ่อและซูหว่านอี๋ก็ได้กลับมาแล้ว เมื่อทั้งสองเห็นลูกสาวมา จึงต่างพากันดีใจมาก
ฉินมู่หลานยื่นข้าวสารและแป้งส่งไปให้ซูหว่านอี๋ก่อนจะเอ่ยขึ้น “แม่คะ ฉันมีรายได้แบบจริงจังได้แล้ว และไม่รู้ว่านอกเหนือจากนี้แล้วจะซื้ออะไรได้อีก เลยคิดว่าซื้ออาหารน่าจะมีประโยชน์กว่าอย่างอื่นน่ะค่ะ”
อันที่จริงที่บ้านมีอาหารเพียงพอ แต่ยังขาดพวกข้าวสารขาวและแป้งรวมถึงเนื้อชั้นดี เธอจึงซื้อข้าวสารและแป้งมา “ตอนเย็นก็ใช้ข้าวสารหุงข้าว หรือจะใช้แป้งทำเกี๊ยวก็ได้ค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูหว่านอี๋ก็อดหันมองลูกสาวไม่ได้ พลางเอ่ย “ถ้ากินแบบที่พูดมา ข้าวสารกับแป้งพวกนี้คงทำกินได้แค่สองมื้อก็หมดแล้ว”
ที่บ้านคนเยอะ แต่ละคนก็กินเก่งกันทั้งนั้น จึงหุงข้าวสารขาวล้วนไม่ได้ แต่หากลูกสาวอยากกิน ตอนเย็นก็อาจทำได้อยู่บ้าง
“มู่หลาน ตอนเย็นกินข้าวที่บ้านเถอะ แม่จะทำเต้าหู้กล่อง*ให้ แล้วก็หุงข้าวสารข้าวหนึ่งหม้อ”
*豆腐箱 อาหารประจำมณฑลซานตง เกิดจากการนำชิ้นเต้าหู้รูปสี่เหลี่ยมไปทอดให้ผิวเป็นสีเหลืองทองก่อนจะควักด้านในแล้วใส่ไส้ผักไส้เนื้อลงไป จากนั้นค่อยนำไปผัดกับซอส
ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้น ก็ไม่ได้ปฏิเสธ พลางเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นตอนเย็นหนูจะมากินข้าวที่บ้าน ไม่ได้กินเต้าหู้กล่องฝีมือแม่มานานมากแล้ว”
ถึงแม้เธอจะไม่เคยกินเต้าหู้กล่องของซูหว่านอี๋มาก่อน แต่บางทีมันก็ฝังลึกอยู่ในความทรงจำ จึงน้ำลายสอออกมาโดยไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่าฝีมือการทำอาหารของซูหว่านอี๋ดีมาก
“อย่างนั้นก็ดี ลูกกลับไปบอกทางบ้านนั้นก่อนนะ แม่จะไปทำอาหาร”
ที่บ้านบังเอิญมีเต้าหู้จากทางเหนืออยู่หนึ่งชิ้น หล่อนจึงลงมือทำอาหารอร่อย ๆ ให้ลูกสาว
บ้านตระกูลฉินและบ้านตระกูลเซี่ยใกล้กันมาก ฉินมู่หลานจึงกลับไปบอกกล่าวแล้วจากนั้นจึงมากินข้าวที่บ้าน
หลังจากฉินอวิ๋นเฮ่อทราบว่าสมุนไพรที่หลานสาวและหลานชายเก็บมาสามารถทำเงินได้ ก็เอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มู่หลานนี่ช่างมีความสามารถจริง ๆ รู้จักว่าเก็บสมุนไพรหาเงินได้ ทำต่อไปนะ สองคนพี่น้องนี่หาเงินเก่งที่สุดในบ้านแล้ว”
หวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งเพิ่งมารู้ตอนกลับถึงบ้านว่าฉินมู่หลานนำเงินมาให้ และยังทราบด้วยว่าฉินเคอวั่งได้ส่วนแบ่งมาห้าหยวนจากการเก็บสมุนไพร ทำงานเพียงแค่ช่วงเช้าก็ได้มาห้าหยวน นี่มันง่ายเกินไปแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนั้น จิตใจของทั้งสองก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
“มู่หลาน ต่อไปถ้าขึ้นเขา เรียกพวกเราด้วยนะ พวกเราจะไปช่วยเธอรวบรวมสมุนไพร”
ไม่ทันรอให้ฉินมู่หลานเอ่ย หลิวชุ่ยฮวาก็เอ่ยขึ้นก่อน “เรียกอะไรกันเล่า ล่าสุดตอนฉันบอกให้พวกเธอศึกษาดูสมุนไพรทำไมถึงไม่ตั้งใจกัน พอตอนนี้เห็นว่าทำเงินได้ จึงอยากตามมู่หลานไปเก็บ พวกเธออยากจะหวังพึ่งให้มู่หลานคอยชี้บอกสมุนไพรให้ตลอดเลยอย่างนั้นหรือ ท่าทางก็ดูไม่ดีแล้วยังคิดหวังจะงาม”
“คุณย่า พวกเรา…”
หวังจาวตี้ต้องการเอ่ยบางสิ่ง แต่ก็โดนหลิวชุ่ยฮวาขัดจังหวะอีกครั้ง “พอแล้ว ทำไมไม่รีบไปช่วยงานในครัวล่ะ วันนี้มู่หลานซื้อข้าวสารขาวกับแป้งมาให้ที่บ้านเรา ต้องขอบคุณหล่อนนะ เย็นนี้ที่บ้านเราถึงได้มีข้าวกิน” เมื่อเอ่ยจนจบประโยค สีหน้าของหญิงชราก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิ หลานสาวช่างเป็นคนแสนดีเสียจริง พอหาเงินได้ก็มีใจระลึกถึงพวกเขา
หวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งไม่มีโอกาสได้เอ่ยเลยสักนิด จึงเข้าไปช่วยงานในครัว
ฉินมู่หลานนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ พูดคุยสนทนากับฉินอวิ๋นเฮ่อ
ฉินอวิ๋นเฮ่อเองก็สนใจบทความของฉินมู่หลานเช่นกัน จึงเอ่ยถามขึ้นสองสามคำถาม แล้วสุดท้ายก็มาจบที่การพูดคุยเรื่องการแพทย์ “มู่หลาน ช่วงนี้นอกจากหลานปรุงสมุนไพรแล้ว ยังต้องทบทวนวิชาความรู้แพทย์ที่เคยร่ำเรียนมาด้วยนะ”
“คุณปู่วางใจได้เลยค่ะ หนูไม่มีทางลืมความรู้ทางการแพทย์ ตอนที่เอาสมุนไพรไปขายวันนี้ หนูได้คุยกับหมอชายท่านหนึ่งอยู่นาน ทักษะฝังเข็มของเขาดีจริง แล้วเขายังบอกด้วยว่าหากมีคำถามอะไรก็ให้ถามเขาได้เลย”
ฉินอวิ๋นเฮ่อได้ยินเช่นนั้นจึงพยักหน้า แล้วเอ่ย “ถ้าไม่ลืมก็ดีแล้ว หากหมอซ่งตั้งใจอยากสอนหลานจริง ถ้าอย่างนั้นหลานก็สามารถขอคำแนะนำจากเขาได้ แต่หลานเองก็ต้องรู้จริงด้วย ต้องเคารพหมอซ่งในฐานะอาจารย์คนหนึ่ง”
หากซ่งโหย่วเต๋อเต็มใจสอนวิชาการฝังเข็มให้หลานสาวของเขาจริง เช่นนั้นเขาก็จะเป็นอาจารย์ของหลานสาว นอกจากนี้มันก็เป็นความผิดของเขาด้วยที่ทำให้วิชาการฝังเข็มของตระกูลฉินสูญหายไป เป็นผลให้ตัวเขาเองไม่มีความรู้เรื่องนี้มากพอและไม่สามารถสอนหลานสาวได้
“คุณปู่วางใจเถอะค่ะ หนูเข้าใจแล้ว”
สองคนปู่หลานกำลังพูดคุยกัน ส่วนทางฝั่งห้องครัวเองก็คึกครื้นไม่แพ้กัน
ครั้งสุดท้ายที่ซูหว่านอี๋ทำเต้าหู้กล่องคือตอนที่ฉินมู่หลานอายุได้แปดขวบ แม้ไม่ได้ทำมานานกว่าสิบปีแล้ว แต่ฝีมือหล่อนก็ไม่ตกเลย ไม่นานภายในห้องครัวก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมฉุย
เป็นครั้งแรกที่หวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งได้รู้ว่าการทำอาหารดูซับซ้อนและงดงามมากเพียงใด พวกหล่อนมองเต้าหู้กล่องที่ซูหว่านอี๋เป็นคนทำแล้วก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้
ซุนฮุ่ยหงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “น้องสะใภ้นี่มีฝีมือจริง ๆ แต่ตอนที่ทำอาหารคงต้องใช้น้ำมันกับเครื่องปรุงอยู่ไม่น้อย”
เมื่อซูหว่านอี๋ได้ยินดังนั้น จึงหัวเราะ แล้วเอ่ย “พี่สะใภ้ นาน ๆ ครั้งมู่หลานจะกลับมากินข้าวเย็นที่บ้าน ในฐานะแม่ ฉันก็ต้องทำอาหารจานโปรดให้ลูกบ้าง นอกจากนี้ข้าวสารขาวที่เราได้กินกันเย็นนี้ มู่หลานก็เป็นคนเอามา”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซุนฮุ่ยหงก็ขบเม้มริมฝีปาก แล้วไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
เมื่อฉินมู่หลานได้กินเต้าหู้กล่อง ก็เอ่ยยกย่องชื่นชมฝีมือของซูหว่านอี๋เป็นอย่างมาก “แม่ ทำได้อร่อยมากเลยค่ะ” อร่อยมากจริง ๆ มันอร่อยกว่าอาหารจานหรูที่เธอเคยกินเสียอีก
ซูหว่านอี๋ได้ยินดังนั้น ใบหน้าจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ถ้าชอบก็กินเยอะหน่อยนะ”
ไม่ต้องสงสัยเลย ฉินมู่หลานกินอิ่มมาก เมื่อถึงเวลาระหว่างทางที่เดินกลับไปยังบ้านตระกูลเซี่ย ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เย็นนี้ยับยั้งชั่งใจไม่พอ
อารมณ์ดีอยู่ได้นาน แต่เมื่อผลักประตูบ้านเข้ามาแล้วพบเข้ากับเซี่ยเจ๋อน่ากับเกาหยวน ก็หมดอารมณ์ทันที
ทำไมสองคนนั้นถึงมาที่นี่ได้
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สองสะใภ้นี่ตอนนั้นให้เรียนสมุนไพรก็ไม่เรียน พอเห็นเขาหาเงินจากเรื่องนี้ได้ล่ะทำเป็นอยากเรียน
ยัยเจ๋อกลับมาทำไมอีก?
ไหหม่า(海馬)