ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 56 ฉินมู่หลานรับญาติ

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 56 ฉินมู่หลานรับญาติ

ตอนที่ 56 ฉินมู่หลานรับญาติ

เมื่อได้ยินฉินมู่หลานเอ่ยเช่นนั้น เซี่ยเหวินปิงจึงยกยิ้มแล้วเอ่ย “เอาสิ”

เหยาจิ้งจือเห็นฉินมู่หลานกล่าวดังนั้นก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด หล่อนทราบเรื่องความขัดแย้งระหว่างลูกสะใภ้คนเล็กกับลูกสาวดี และไม่อยากจะเอ่ยปากขอให้เธอเข้ามาช่วยสู้ยืนหยัดเพื่อลูกสาวของตนในเมือง จึงไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ สุดท้ายแล้วลูกสาวหล่อนก็เคยทำผิดมาก่อน

ระหว่างทางกลับ หวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งต่างก็ไม่ได้พูดอะไร

ทว่าทั้งสองต่างดูถูกเซี่ยเจ๋อน่าอยู่ในใจ โดนทำร้ายร่างกายเสียขนาดนี้ยังจะกลับบ้านไปพร้อมผู้ชายคนนั้นอีก แบบนั้นคนจะยิ่งดูถูกเข้าไปใหญ่ แต่เซี่ยเจ๋อน่าไม่กลับมาก็ดีแล้ว มู่หลานคงรำคาญน้องสามีแบบนั้นเช่นกัน

เมื่อกลุ่มคนกลับถึงหมู่บ้านชิงซาน หวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งก็กลับบ้านตระกูลฉิน พวกฉินมู่หลานเองก็กลับเช่นกัน

เหยาจิ้งจือเห็นว่าฉินมู่หลานถือขงอยู่ไม่น้อย จึงเอ่ยขึ้น “มู่หลาน เธอกลับห้องไปพักก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันทำอาหารเอง””

“ค่ะ”

ฉินมู่หลานไม่เกรงใจ กลับห้องไปพักผ่อน เมื่อนึกได้ว่าพรุ่งนี้ต้องเข้าเมือง เธอก็นึกถึงกล่องผ้าใบเล็กที่เจี่ยงสือเหิงมอบให้ตนขึ้นมาได้ เมื่อเปิดกล่องผ้าใบเล็กนั้นออก แล้วพิจารณามองดู ก็พบว่าข้างในเป็นตราประทับหินเทียนหวง

เมื่อเห็นตราประทับ ฉินมู่หลานก็อดขมวดคิ้วสงสัยเสียไม่ได้

เมื่อพิจารณาตราประทับอย่างถี่ถ้วนแล้วก็พอรู้ได้ว่ามันเป็นของมีมูลค่าไม่น้อย และนอกจากนี้บนตราประทับยังสลักตัวอักษรคำว่าเจี่ยงเอาไว้อีกด้วย เห็นได้ชัดว่าเป็นตราประทับประจำตระกูลเจียง เช่นนั้นแล้วเขาจะมอบให้เธอได้อย่างไร

ถึงแม้ว่าครั้งก่อนตนจะช่วยเขาเอาไว้นิดหน่อย แต่เขาจะมอบของมีค่าเช่นนี้ให้ตนได้อย่างไรกัน ดังนั้นหลังจากที่ฉินมู่หลานปิดฝากล่องอันเล็กนั้นแล้ว ก็ยัดมันกลับเข้าไปในถุงผ้า เพื่อเตรียมส่งคืนให้กับเจี่ยงสือเหิงในวันพรุ่งนี้

เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ฉินมู่หลานก็ออกจากบ้านตั้งแต่เช้า ครั้นมาถึงตัวเมืองและพบหน้าเจี่ยงสือเหิงก็ทำการตรวจชีพจรและฝังเข็ม หลังจัดการเรื่องพวกนั้นเสร็จ เธอก็ส่งกล่องใบเล็กที่อยู่ในห่อผ้ายื่นกลับไป พลางเอ่ยขึ้น “สหายเจี่ยง ของชิ้นนี้หนูรับไม่ได้จริง ๆ ค่ะ มันเป็นของประจำตระกูล ไม่ควรมอบให้กับบุคคลภายนอก”

เจี่ยงสือเหิงได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้แสดงท่าทางอะไร พลางยกยิ้มมองไปยังฉินมู่หลานแล้วเอ่ยกล่าว “คุณหมอฉิน สิ่งนี้ฉันมอบให้เธอนะ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินมู่หลานก็ขมวดคิ้วมุ่นขึ้น

“แต่แบบนี้มันไม่เหมาะสม”

ลุงเจี่ยงเห็นว่าฉินมู่หลานไม่ยอมรับตราประทับ จึงหันไปพูดด้วย “หมอฉิน คุณรับไว้เถอะครับ อันที่จริงแล้ว….นายน้อยของพวกเราอยากจะรับคุณเป็นบุตรสาวบุญธรรมครับ”

เจี่ยงสือเหิงรับช่วงต่อในบทสนทนา แล้วหันไปถามฉินมู่หลาน “หมอฉิน ผมรู้ว่าเรื่องแบบนี้มันกะทันหันเกินไป แต่ผมอยากถามคุณจริง ๆ ว่าอยากมีพ่อบุญธรรมเพิ่มสักคนไหมครับ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินมู่หลานรู้สึกตกใจมาก

เธอไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าเจี่ยงสือเหิงจะคิดเช่นนี้ ทำไมเขาถึงอยากได้เธอเป็นลูกสาวบุญธรรมกันนะ

เจี่ยงสือเหิงเห็นฉินมู่หลานไม่ยอมตอบ จึงเอ่ยพูดต่อไป “หมอฉินวางใจเถอะ ผมกับลุงเจี่ยงจะกลับไปปักกิ่งในเร็ววันนี้ พวกเราจะไม่ใช่คนตกทุกข์ได้ยากอีกแล้ว ดังนั้นคุณมั่นใจได้เลยว่าจะไม่เดือดร้อนอย่างแน่นอน”

“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นค่ะ”

ฉินมู่หลานไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลย เธอเพียงแค่คิดว่าทำไมเจี่ยงสือเหิงจึงมีความคิดเช่นนั้นเสียมากกว่า “ท่านเจี่ยง ฉันขอถามได้ไหมคะว่าทำไมถึงอยากรับฉันเป็นลูกสาวบุญธรรม” อีกไม่นานเขาจะได้กลับเมืองหลวงแล้ว เช่นนั้นเขาก็จะมีฐานะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง เจี่ยงสือเหิงคงไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้วทำไมถึงอยากรับเธอเป็นลูกบุญธรรมกัน

“หมอฉิน ผมอาศัยอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีทายาทสืบสกุล แล้วก็อายุปูนนี้แล้ว เลยอยากมีลูกมีหลาน ที่ผมอาการดีขึ้นมาได้ก็เป็นเพราะคุณ นั้นถือว่าเรามีชะตาที่ดีร่วมกัน ผมจึงมีความคิดอย่างนั้นขึ้นมา”

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้น จึงเอ่ยถามต่อ “แต่พวกคุณจะได้กลับไปปักกิ่งในเร็ววันนี้แล้ว ถึงตอนนั้นฉันคงไม่ได้ตามไปด้วยอย่างแน่นอน แล้วคุณยังจะรับฉันเป็นลูกบุญธรรมอยู่ไหมคะ?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจี่ยงสือเหิงก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยด้วยความสับสนนิดหน่อย “ถึงคุณจะไม่ได้ไปปักกิ่ง หลังจากยอมตกลงแล้ว คุณก็เป็นลูกบุญธรรมของผม เช่นนั้นจะทอดทิ้งพ่อหลังจากยอมตอบตกลงและอยู่ห่างไกลกันอย่างนั้นหรือ?”

ตอนนี้เองเป็นฉินมู่หลานที่ตะลึงงัน

ตอนแรกเธอคิดว่าเจี่ยงสือเหิงอยากรับเธอเป็นลูกสาวบุญธรรมเพราะฝีมือการรักษาของเธอ เพราะความสามารถของเธอ ไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะอยากเป็นญาติผู้ใหญ่ของเธอจริง ๆ จึงคิดว่าหากเธอไม่ได้อยู่ข้าง ๆ คงช่วยอะไรไม่ได้มากและไม่คุ้มเสีย

เมื่อคิดดังนั้น ฉินมู่หลานก็รู้สึกประทับใจในตัวเจี่ยงสือเหิงมากยิ่งขึ้น แต่เธอไม่ได้ตอบตกลงในทันที “ฉันขอกลับไปถามพ่อกับแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อนนะคะ แล้วจะกลับมาให้คำตอบคุณค่ะ”

“ได้สิ”

เจี่ยงสือเหิงเห็นว่าฉินมู่หลานไม่ได้ปฏิเสธ จึงรู้สึกโล่งใจ “รอคุณกลับไปถามพ่อกับแม่ที่บ้านแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีค่ะ ฉันขอไปรับยาก่อนนะคะ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจี่ยงสือเหิงจึงเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม “ทีหลังให้ลุงเจี่ยงไปรับก็ได้ คนพวกนั้นไม่จับตามองพวกเราแล้ว เพราะฉะนั้นลุงเจี่ยงจะไปที่ไหนก็ได้ตามอิสระแล้วครับ”

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรมาก เนื่องจากเจี่ยงสือเหิงบอกกล่าวเอาไว้แล้วว่าพวกเขาจะกลับเมืองหลวงในอีกไม่นานนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะตั้งเป็นอย่างมาก “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ครั้งหน้าให้ลุงเจี่ยงไปรับยา ฉันจะกลับมาหลังจากนี้อีกสามวัน แต่…” เมื่อเอ่ยถึงตอนท้าย ฉินมู่หลานก็เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “ถึงตอนนั้นพวกคุณลุงยังอยู่กันใช่ไหมคะ?”

“แน่นอน”

เจี่ยงสือเหิงรีบเอ่ยขึ้นทันที “กำลังรักษากับคุณทั้งที ผมยังไม่ไปหรอกครับ”

“เช่นนั้นก็ดีแล้วค่ะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินมู่หลานก็อดพยักหน้าเสียไม่ได้ “ตอนนี้อาการของคุณดีขึ้นมากแล้ว อีกสักประมาณหนึ่งเดือนครึ่งคาดว่าน่าจะหายขาดค่ะ”

“ขอบคุณครับหมอฉิน”

เจี่ยงสือเหิงยกยิ้ม แต่ก็รู้สึกว่าหากเรียกว่าหมอฉินจะดูไม่ค่อยสนิทสนมสักเท่าใด จึงอดที่จะเอ่ยถามออกไปเสียไม่ได้ “หมอฉิน ผมขอเรียกชื่อคุณเฉย ๆ ได้ไหมครับ?”

“ได้แน่นอนค่ะ”

ชื่อแซ่เป็นสิ่งที่ผู้คนใช้เรียกกันมาตั้งเนิ่นนานแล้ว ฉินมู่หลานจึงไม่ได้ถือสาอะไร

นอกจากนี้เจี่ยงสือเหิงก็ดีใจมาก “ถ้าอย่างนั้นต่อไปฉันจะเรียกเธอว่ามู่หลานนะ”

ฉินมู่หลานพยักหน้า หลังจากนั้นก็เอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”

“ได้สิ แต่อย่าลืมกลับไปถามพ่อแม่ของเธอด้วยนะ”

“ทราบแล้วค่ะ”

ฉินมู่หลานยิ้มตอบ เมื่อกลับถึงหมู่บ้านชิงซานก็รีบไปที่บ้านตระกูลฉิน หลังเจอหน้าฉินเจี้ยนเซ่อและซูหว่านอี๋แล้วก็เอ่ยเล่าเรื่องราวให้ฟัง

ฉินเจี้ยนเซ่อและซูหว่านอี๋ไม่คิดว่าจะมีคนอยากรับลูกสาวของตนเป็นลูกบุญธรรม แต่พวกเขาก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร “มู่หลาน หากอีกฝ่ายเป็นคนดี เช่นนั้นลูกก็ยอมรับเถอะ ในหมู่บ้านก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่รับญาติเพิ่ม เพียงแค่ปฏิบัติต่อเขาเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งก็พอ”

เมื่อเห็นว่าฉินเจี้ยนเซ่อและซูหว่านอี๋เอ่ยเช่นนั้น ฉินมู่หลานจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นเช่นกัน “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ เช่นนั้นแล้วหนูจะยอมตอบตกลงค่ะ”

อันที่จริงเธอคิดการณ์ไกลกว่านั้นนิดหน่อย ต่อไปทั้งเธอและเคอวั่งจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยในใจของเธอก็คือมหาวิทยาลัยในปักกิ่ง นอกจากนี้เธอก็ยังหวังด้วยว่าเคอวั่งจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปักกิ่งได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ หากมีญาติผู้ใหญ่อยู่ในเมืองหลวงสักคน อะไรหลายอย่างอาจจะสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

เมื่อฉินมู่หลานถึงเวลาต้องไปรักษาเจี่ยงสือเหิงอีกครั้ง เธอจึงยอมตอบตกลงรับญาติ

เมื่อเจี่ยงสือเหิงทราบ สีหน้าที่ค่อนข้างแสดงความรู้สึกได้ยากกลับดูตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้า “ดีมากเลยมู่หลาน ต่อไปเธอเป็นลูกสาวของฉันนะ” อาจเป็นเพราะเขาอายุปูนนี้แล้ว จึงอยากจะมีทายาทอยู่รายล้อมรอบตัว แต่เขากลับไม่มีทายาท เช่นนั้นหากมีลูกสาวบุญธรรมที่เยี่ยมยอดเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน

“พ่อบุญธรรม”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

มองการณ์ไกลมากเลย ต่อไปชีวิตมู่หลานกับน้องสบายแน่ๆ ถ้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท