ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 69 ปรุงยาลับ

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 69 ปรุงยาลับ

ตอนที่ 69 ปรุงยาลับ

เสิ่นหรูฮวนได้ยินดังนั้น สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ “จริงเหรอ?”

“แน่นอน”

ฉินมู่หลานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม หลังจากนั้นก็มุ่งไปทางห้องครัว เมื่อเธอกลับมา ก็มีกล่องอาหารหนึ่งกล่องติดอยู่ในมือ

เสิ่นหรูฮวนเห็นว่าฉินมู่หลานนำอาหารมากินได้จริง จึงรู้สึกไม่ค่อยเชื่อสายตาสักเท่าใด แต่ในไม่ช้าก็หันไปมองแล้วเอ่ยถามฉินมู่หลานด้วยความสงสัย “เธอหลอกฉันหรือเปล่า เธอไม่ได้โดนพวกนั้นจับมาใช่ไหม”

“ฉันไม่ได้หลอกเธอ ฉันโดนพวกมันจับมาจริง ๆ แต่ลูกพี่ของพวกมันมีอาการปวดศีรษะ และฉันก็รักษามันได้ พวกนั้นเลยดูแลฉันดีขึ้นกว่าเดิม” ขณะที่ฉินมู่หลานเอ่ยก็ทำการเปิดกล่องอาหารไปด้วย ก่อนจะหยิบชามบะหมี่ไข่ที่อยู่ด้านในออก พร้อมซาลาปาสามชิ้นและผักดองอีกหนึ่งจาน

เสิ่นหรูฮวนได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่เอ่ย “ลูกพี่ของพวกมันปวดหัวนี่เอง ถ้าอย่างนั้นเธอก็เป็นคนที่รักษามัน” แต่หล่อนก็ยังขมวดคิ้วสงสัย “แต่ลูกพี่ของพวกมันเป็นคนเลวนะ เธอ…เธอรักษามันให้หายดี ก็เม่ากับเป็นการช่วยคนเลวน่ะสิ”

“ฮ่า…พูดดีใช้ได้ มาเป็นชุดเลยนะ แต่ถ้าฉันไม่รักษาให้มัน ฉันก็จะโดนทรมาน หลังจากนั้นก็จะโดนขายให้กับพวกที่อยู่ในเขา เป็นทาสบำเรอกามของผู้ชายหลายคน ถ้าอย่างนั้นฉันถามเธอหน่อยสิ ฉันมีทางเลือกไหนอีก”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเสิ่นหรูฮวนก็เต็มไปด้วยความอับอาย

“ขอโทษนะคะ ฉันคิดไม่ถี่ถ้วนเอง เพราะแบบนั้นเธอถึงต้องรักษาหัวหน้าของมัน”

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้สนใจเสิ่นหรูฮวนอีก และลงมือทานบะหมี่อย่างเต็มปากเต็มคำแทน

เธอต้องเพิ่งพลังเพื่อจะได้หาวิธีหนีออกจากที่นี่ได้ แต่อีกฝ่ายก็กลืนน้ำลายอยู่เป็นครั้งคราวเสียไม่ขาด ถึงแม้เธออยากจะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินก็ไม่ได้ผล แต่ฉินมู่หลานไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรทั้งนั้น ยังกินต่อไปไม่ยุด จนกระทั่งเธอเริ่มอิ่มแล้วและยังเหลือซาลาเปาอีกหนึ่งลูก จึงหันไปถามเสิ่นหรูฮวน “เธออยากกินไหม?”

“อยากๆๆ”

เสิ่นหรูฮวนรีบพยักหน้าทันที เกรงว่าฉินมู่หลานจะเปลี่ยนใจ จึงรีบตอบรับอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นเสิ่นหรูฮวนคว้าซาลาเปาไป ฉินมู่หลานก็กลัวว่าหล่อนจะสำลักตาย “เธอกินช้า ๆ หน่อย”

หลังจากเสิ่นหรูฮวนกัดซาลาเปาไปหลายคำแล้ว ก็ลดความเร็วลง ขณะเดียวกันก็มองฉฺนมู่หลานด้วยแววตานึกขอบคุณ “ขอบคุณนะ มู่หลาน”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก คนกันเอง แค่หวังว่าสุดท้ายแล้วพวกเราจะหนีออกไปกันได้”

แต่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ ฉินมู่หลานก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้ “ที่บ้านเห็นว่าฉันไม่กลับไป ไม่รู้ว่าจะกังวลใจแค่ไหน”

ในตอนนี้ตระกูลเซี่ยต่างรู้สึกกังวลจริง ๆ หลี่เสวี่ยเยี่ยนเดินวนเวียนไปมา ก่อนจะพูดขึ้น “ทำไมมู่หลานถึงยังไม่กลับมาอีก ฟ้าก็มืดแล้ว คงไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับหล่อนใช่ไหม”

เซี่ยเจ๋อเหว่ยได้ยินเช่นนั้น ก็รีบเอ่ยขึ้นทันที “เสวี่ยเยี่ยน อย่าคิดมากเลย มู่หลานออกจะเก่งกาจ จะเป็นอะไรไปได้ยังไง”

หลี่เสวี่ยเยี่ยนเองก็เห็นด้วย จึงรีบพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นทันที “ใช่แล้ว มู่หลานเก่งมากขนาดนั้น จะต้องไม่เป็นอะไรแน่”

เซี่ยเหวินปิงและเหยาจิ้งจือที่รออยู่ข้างนอกก็รู้สึกกังวลเช่นกัน แต่เหยาจิ้งจือเกิดความอยากรู้ขึ้นมาว่าฉินมู่หลานเข้าไปทำอะไรทุก ๆ สองถึงสามวันในเขตอำเภอกัน “เสวี่ยเยี่ยน เธอรู้ไหมว่าฉินมู่หลานเข้าไปทำอะไรที่ตัวอำเภอ?”

หลี่เสวี่เยี่ยนส่ายศีรษะแล้วเอ่ยขึ้น “ฉันไม่รู้ค่ะ แต่มู่หลานจะเข้าไปที่อำเภอแค่เฉพาะตอนมีธุระเท่านั้น วันนี้หล่อนเองก็น่าจะมีธุระอะไรบางอย่างค่ะ”

หลายคนกำลังพูดคุยกัน ซูหว่านอี๋ก็มาหา

เซี่ยเหวินปิงและเหยาจิ้งจือรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยเมื่อเห็นเธอมาหา ก่อนจะรีบเอ่ยถาม “ญาติเจ้าสาว มาทำอะไรหรือ กินข้าวมาหรือยัง อยากมากินด้วยกันไหม?”

ซู่หว่านอี๋รีบส่ายหัวอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยขึ้น “กินมาเรียบร้อยแล้ว ฉันมาที่นี่เพราะจะมาหามู่หลาน อยากจะคุยอะไรกับเธอสักหน่อยค่ะ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น อยู่ ๆ บรรยากาศรอบตัวก็เงียบลง

ซูหว่านอี๋เห็นดังนั้น ใจก็เริ่มเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวแปลก ๆ “ญาติฝั่งสามี มู่หลาน ทำไมถึงไม่เห็นเธอเลย”

หลายคนไม่ยอมเอ่ยอะไร ก่อนที่หลี่เสวี่ยเยี่ยนจะเอ่ยทำลายความเงียบ “คุณป้าคะ วันนี้มู่หลานเข้าเมือง จนถึงตอนนี้ยังไม่กลับมาเลยค่ะ”

“อะไรนะ…ยังไม่กลับอย่างนั้นหรือ”

ซูหว่านอี๋ทราบอยู่แล้วว่าลูกสาวของหล่อนเข้าเมืองไปเพื่อรักษาให้เจี่ยงสือเหิง แต่ทุกครั้งก็จะกลับมาบ้านในช่วงบ่ายตลอด แล้วทำไมวันนี้ถึงยังไม่กลับ “มู่หลานยังไม่กลับมาจริงเหรอ?”

“ใช่ค่ะคุณป้า พวกเราทุกคนอยากออกไปช่วยกันตามหาหน่อยไหม”

ซูหว่านอี๋อดไม่ได้ที่จะพูดเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เดี๋ยวฉันกับพ่อมู่หลานจะออกไปหาเอง พอดีเพื่อนของพ่อหล่อนอยู่ในเขตอำเภอ เขามาขอมู่หลานเป็นลูกบุญธรรม บางทีมู่หลานอาจจะไปหาเขาค่ะ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนตระกูลเซี่ยก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็ยังคิดอยากจะไปที่นั่นพร้อมกับฉินเจี้ยนเซ่อและซูหว่านอี๋เพื่อช่วยตามหาคน “ญาติบ้านเจ้าสาว ให้พวกเราขอไปด้วยไหม”

ซูหว่านอี๋รีบโบกมือ ก่อนจะปฏิเสธ “ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าไปกันหมดคนจะเยอะเกินเหตุ ฉันกับพ่อของมู่หลานไปหากันเองดีกว่าค่ะ พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ รีบไปพักผ่อนเสียเถอะ” หลังจากเอ่ยจบ ก็รีบกลับบ้านทันที

ซูหว่านอี๋ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเลยหลังจากกลับถึงบ้าน พูดแค่กับฉินเจี้ยนเส่อเท่านั้น หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ยืมจักรยานแล้วรีบออกเดินทางทันที

ส่วนทางอวี๋ไห่เฉา เมื่อได้รับสายโทรศัพท์จากจวงเหวินกัง ก็ได้รู้ว่าฉินมู่หลานโดนลักพาตัวไป

“อะไรนะครับ…หมอฉินโดนพวกค้ามุษย์ครั้งก่อนจับตัวไป” เมื่ออวี๋ไห่เฉาทราบเรื่อง จึงรู้สึกสงสัย และในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความเสียใจ หากไม่ใช่เพราะช่วยเสี่ยวเหล่ย ฉินมู่หลานคงไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ และทำให้พวกมันวนกลับมาทำร้ายเธออีกครั้ง “ขอบคุณเจ้าหน้าที่จวงที่แจ้งให้ทราบนะครับ ผมจะรีบไปที่อำเภอ แล้วไปช่วยพวกคุณตามหา”

จวงเหวินกังได้ยินเนนั้น จึงรีบเอ่ยขึ้นทันที “ไม่ต้องหรอกครับ ผอ.อวี๋ พวกผมกำลังออกตามหาตัวอยู่ ฝากคุณไปแจ้งและพูดปลอบครอบครัวของสหายฉินก็พอครับ” อวี๋ไห่เฉาไม่ถนัดเรื่องพวกนี้ ต่อให้เขาไปที่นั่นก็ช่วยอะไรไม่ได้มากอยู่ดี

“ครับ ผมเข้าใจแล้ว”

หลังจากที่อวี๋ไห่เฉาวางสายโทรศัพท์ ต่งหม่านเฟินก็เข้ามาเอ่ยถามทันที หลังจากทราบเรื่องก็อดที่จะเอ่ยไม่ได้ “ฉันว่าคุณไม่ควรบอกครอบครัวของหมอฉินตอนนี้นะ ไม่แน่อาจจะเจอในเร็ววัน” หล่อนคิดไปไกลกว่านั้น มันฟังดูไม่ดีเลยเมื่อได้ยินว่าผู้หญิงโดนพวกค้ามนุษย์จับตัวไป คนอื่นอาจมองฉินมู่หลานในทางไม่ดีได้

“แต่ถ้าหมอฉินไม่กลับมา สุดท้ายเราก็ต้องบอกกล่าวให้ตระกูลเซี่ยได้ทราบ”

“เดี๋ยวผมจะรีบไปที่หมู่บ้านชิงซานตอนนี้เลย แล้วบอกว่าหมอฉินอยู่ในอำเภอ เพราะเจ้าหน้าที่จวงอยากจะจับกลุ่มค้ามนุษย์ที่หายตัวไปครั้งก่อนให้ได้ จึงขอให้หมอฉินช่วย”

ต่งหม่านเฟินได้ยินเช่นนั้น จึงพยักหน้า “ได้ค่ะ บอกเท่านั้นพอ”

หลังจากทั้งสองคุยเรื่องนี้แล้ว ก็รีบขี่จักรยานไปที่หมู่บ้านชิงซานทันที แต่ฟ้ามืดแล้ว จึงขี่แบบเร่งรีบไม่ได้ เผื่อว่าจะไปชนใครเข้า จนกระทั่งเห็นซูหว่านอี๋ที่มาจากอีกฝั่ง ต่งหม่านเฟินจึงเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เอ๊ะ…คุณดูคล้ายหมอฉินเลยนะคะ”

ตอนนี้ฉินมู่หลานลดน้ำหนักลงไปเยอะแล้ว โครงหน้าจึงเป็นมิติชัดเจน จึงพอมองออกว่าเธอคล้ายกับซูหว่านอี๋

เมื่อซูหว่านอี่ได้ยินคำว่าหมอฉิน จึงรีบเอ่ยถาม “หมอฉินที่คุณพูดถึงคือฉินมู่หลานหรือเปล่า?”

“ค่ะ คุณก็รู้จักเหรอ?”

“ฉันเป็นแม่ของหล่อนค่ะ”

ทั้งสองฝ่ายต่างแนะนำตัวกัน และในที่สุดแต่ละฝ่ายก็รับรู้ตัวตนของกันและกัน นอกจากนี้ต่งหม่านเฟินก็นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอพ่อแม่แท้ ๆ ของฉินมู่หลาน มาถึงตอนนี้หล่อนจึงเปลี่ยนใจ แล้วบอกเรื่องที่ฉินมู่หลานโดนจับตัวไป

“อะไรนะ…ฉินมู่หลานโดนลักพาตัวไป”

ซูหว่านอี๋ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกแย่ แต่แล้วก็ฮึดสู้ขึ้นมา ก่อนจะคิดเดินทางไปที่อำเภอต่อ

และต่งหม่านเฟินก็ได้โล่งใจว่าทั้งสองบอกตระกูลเซี่ยไปแล้วว่าฉินมู่หลานไปพักอาศัยอยู่กับญาติผู้ใหญ่ในอำเภอ พวกเขาจึงไม่ต้องเดินทางอีก จึงมุ่งหน้าเข้าอำเภอพร้อมสองสามีภรรยาตระกูลฉิน

ทางด้านฉินมู่หลานไม่ทราบเลยว่าครอบครัวของเธอกำลังออกตามหา หลังจากที่เธอเอ่ยเช่นนั้นไปแล้ว เสิ่นหรูฮวนก็ร้องไห้ขึ้นอีกครั้ง

เมื่อเห็นน้ำตาไหลอาบหน้าเสิ่นหรูฮวน ฉินมู่หลานก็อดที่จะปวดเศียรเวียนเกล้าเสียไม่ได้ คนผู้นี้ดูสวยสง่าอยู่หรอก แต่กลับขี้แยเป็นชีวิตจิตใจ นิสัยกับรูปลักษณ์ช่างต่างกันอย่างสิ้นเชิงเหลือเกิน “เธอจะร้องหาอะไรอีก”

“ฉันร้องเพราะครอบครัวของฉันไม่ต้องการฉันอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นคงมาตามหาฉันแล้วล่ะ ฉันเป็นเด็กน้อยของพวกเขานะ ทำไมพวกเขาถึงยังไม่มาอีก”

ฉินมู่หลาน “……”

สุดท้ายเธอก็เอ่ยปลอบใจ “หาคนมันไม่ใช่เรื่องง่ายนะ พวกเขาจะหาไม่เจอก็เป็นเรื่องปกติ”

อาจเป็นเพราะความกลัวในทุกวันนี้หรืออาจเป็นเพราะโดนจับตัวมา ดังนั้นเสิ่นหรูฮวนจึงเล่าเรื่องครอบครัวของหล่อนให้ฉินมู่หลานฟัง

และฉินมู่หลานก็ได้ทราบเรื่องว่าเสิ่นหรูฮวนแท้จริงแล้วมาจากปักกิ่ง ทั้งคุณปู่และคุณพ่อของหล่อนต่างมีตำแหน่งสูงมากในกองทัพ แม้แต่คุณลุงคุณป้าเองก็พื้นเพดี ไม่ว่าจะเป็นการรับราชการในกองทัพหรือทำงานในหน่วยงานของรัฐ เป็นลูกสาวของครอบครัวผู้ร่ำรวยโดยแท้

ตอนนี้ฉินมู่หลานจึงเข้าอกเข้าใจเสิ่นหรูฮวน ครอบครัวเช่นนี้ การจะตามหาใครสักคนย่อมเป็นเรื่องง่ายกว่าครอบครัวอื่นอย่างแน่นอน แต่เมื่อดูจากยุคนี้ที่เทคโนโลยียังไม่ได้ก้าวหน้าขนาดนั้น การจะตามหาใครสักคนจึงไม่ใช่เรื่องง่าย “เอาเถอะ อย่าคิดมากเลย ตอนนี้พวกเราควรพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด”

เมื่อเอ่ยจบ ฉินมู่หลานก็หันไปเอ่ยถามเสิ่นหรูฮวน “เธออยากออกไปไหม?”

“แน่นอนว่าต้องอยากสิ”

เสิ่นหรูฮวนพยักหน้าอย่างหนักแน่น

ฉินมู่หลานเห็นสิ่งนี้ จึงจ้องมองหล่อนอย่างจริงจังก่อนจะพูดขึ้น “ดี ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้เธอต้องเชื่อฟังฉัน ถ้ามีโอกาส ฉันจะพาเธอออกไป”

ในใจลึก ๆ เสิ่นหรูฮวนไม่ปักใจเชื่อ แต่เมื่อเห็นฉินมู่หลานเป็นเช่นนี้ หล่อนจึงเชื่อมั่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าฉินมู่หลานน่าจะพาหล่อนออกไปได้จริง ๆ “ได้ ฉันจะฟังเธอทุกอย่าง”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี ไม่ว่าฉันจะทำอะไร เธอก็ไม่ต้องถามเยอะ ฉันให้เธอทำอะไร เธอก็แค่ทำ”

เสิ่นหรูฮวนยอมเห็นด้วย จึงรับฟังแต่โดยดี “ได้”

หลังจากนั้นฉินมู่หลานก็หยิบขวดยาที่เธอนำออกมาจากถุงยาแล้วยัดใส่เอาไว้ข้างหลัง ครั้งล่าสุดที่เห็นเสี่ยวเหล่ยโดนจับไป เธอก็คิดหาวิธีปรุงยาบางอย่างเพื่อใช้ป้องกันตัว เสียดายที่งานค่อนข้างยุ่ง ทั้งยังต้องมาโดนจับไปก่อนที่จะได้สกัดมันเสร็จ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะตอนนี้เธอก็สามารถทำมันได้เช่นกัน

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ปรุงยาอะไรกันนะ อยากรู้เลยว่าจะเป็นยาร้ายแรงแบบไหน

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท