ตอนที่ 82 คนตระกูลเสิ่นมาเยือน
ตอนที่ 82 คนตระกูลเสิ่นมาเยือน
ฉินมู่หลานยังไม่ทราบว่าตนมีชื่อเสียงในฐานทัพของเซี่ยเจ๋อหลี่ ตอนนี้เธอกำลังพาเสิ่นหรูฮวนไปที่บ้านตระกูลฉิน
หวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งเห็นฉินมู่หลานกำลังมา จึงรีบวิ่งโร่เข้ามาหา ก่อนจะคว้าตัวเธอแล้วเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “มู่หลาน เธอมาแล้ว เข้ามานั่งก่อนสิ”
หลังจากเอ่ยจบก็เชื้อเชิญให้เสิ่นหรูฮวนจิบน้ำหวาน
ซูหว่านอี๋หันมองหวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งที่ดูเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ แล้วหันไปพูดกับฉินเจี้ยนเซ่ออย่างสงสัย “มู่หลานของพวกเราสนิทกับพี่สะใภ้ทั้งสองคนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เมื่อก่อนสองคนนี้แทบไม่เหลียวแลมู่หลานด้วยซ้ำ แถมยังแสดงสีหน้าไม่ดีใส่ด้วยไม่ใช่เหรอ”
ฉินเจี้ยนเซ่อได้ยินเช่นนั้น จึงทำเพียงยกยิ้ม “แสดงว่ามู่หลานของเราเก่งมาก จนทำให้หลายคนอยากเป็นเพื่อนกับลูกของเรา”
ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนเขาจะไม่ค่อยชอบพฤติกรรมของพวกบ้านใหญ่สักเท่าใดนัก แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่าคนอื่นชอบลูกสาวตัวเอง เขาก็รู้สึกมีความสุขเช่นกัน หากพูดกันตามตรง ฉินเจี้ยนเซ่อก็ยังคาดหวังว่าจะอยู่ร่วมกับครอบครัวใหญ่กันได้อย่างปรองดอง
เสื่นหรูฮวนเห็นหวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าเป็นพวกเดียวกับที่ไปขอความช่วยเหลือจากมู่หลานเมื่อวานนี้ แม้ว่าหล่อนจะเป็นคนซื่อ แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเรื่องเมื่อวานของพี่สะใภ้ทั้งสองคนดูเป็นความลับมากขนาดไหน หล่อนจึงหันไปพูดกับฉินมู่หลานด้วยรอยยิ้ม “มู่หลาน ฉันขอไปคุยกับคุณน้าซูก่อนนะ”
หล่อนพบว่าตนเองกับซูหว่านอี๋มีเรื่องต้องพูดคุยกันอีกมากมาย และซูหว่านอี๋ก็ต่างจากพวกหญิงสาวในหมู่บ้านนี้ตรงที่รู้สึกว่าหล่อนดูมีความรู้เยอะกว่ามาก
ฉินมู่หลานได้ยินสิ่งที่เสิ่นหรูฮวนเอ่ย จึงพยักหน้า แล้วพูดขึ้น “ได้ ไว้เสร็จธุระเดี๋ยวฉันค่อยไปหาเธอนะ”
เมื่อเสิ่นหรูฮวนเดินไปอีกห้องแล้ว หวังจาวตี้ก็รีบเดินเข้ามา แล้วลากผู้ชายของตนให้เดินมาด้วย “มู่หลาน เธอช่วยตรวจให้ลูกพี่ลูกน้องของเธอหน่อยนะ”
ในตอนนั้นเองซ่งอวี้เฟิ่งก็พาตัวฉินเคอเจี๋ยมาด้วย
ฉินเคอเหล่ยและฉินเคอเจี๋ยสองคนพี่น้องมองภรรยาของตนและฉินมู่หลานด้วยสีหน้าสงสัยก่อนจะเอ่ยถาม “นี่คิดจะทำอะไรเหรอ?”
หวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงแค่ให้คนของตัวเองนั่งลง ก่อนจะพูดขึ้น “ไม่มีอะไรหรอก แค่ช่วงนี้เห็นพวกคุณเหนื่อย ๆ ก็เลยจะให้มู่หลานตรวจร่างกายให้เสียหน่อย ว่ามีอ่อนล้าอ่อนเพลียตรงไหนไหม”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเคอเหล่ยและฉินเคอเจี๋ยก็มองคนของพวกเขาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ไม่รู้ว่าที่พวกหล่อนบอกกล่าวนั้นเป็นเรื่องจริงหรือโกหกกันแน่ เรื่องแบบนี้พูดได้เสียที่ไหนกันเล่า
แต่ถึงอย่างนั้น หวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งก็ไม่ได้สนใจท่าทางตกใจสุดขีดของพวกเขาเลย แต่รีบหันมองฉินมู่หลานเป็นนัยว่าอยากให้เธอลองตรวจให้ดี โดยเฉพาะซ่งอวี้เฟิ่งที่อยากรู้เหลือเกินว่านอกจากตัวเองที่มีปัญหามดลูกเย็นแล้ว ฉินเคอเจี๋ยมีอะไรผิดปกติด้วยหรือไม่ หากมีปัญหาที่ตัวเองเพียงแค่คนเดียว แม่สามีคงชิงชังหล่อนเป็นแน่ แต่หากเป็นผู้ชายของบ้านที่มีปัญหา แม่สามีคงไม่เอ่ยพูดสิ่งใดอย่างแน่นอน
ในตอนนี้ อารมณ์ของซ่งอวี้เฟิ่งตีกันสับสนไปหมด ใจหนึ่งหล่อนหวังว่าฉินเคอเจี๋ยจะไม่มีปัญหา แต่อีกใจก็แอบหวังให้ฉินเคอเจี๋ยแอบมีปัญหานิดหน่อย หากเป็นกรณีนี้ ความรับผิดชอบทั้งหมดก็คงไม่ตกอยู่ที่ตัวเองเพียงคนเดียว
ครั้งนี้หวังจาวตี้จัดการทุกอย่างโดยเร็ว หล่อนนำมือคนของตนวางไว้บนโต๊ะเพื่อให้ฉินมู่หลานจับชีพจร มู่หลานจึงจับชีพจรให้ฉินเคอเหล่ยเสียก่อน
“พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ต้องกังวลค่ะ พี่ใหญ่ไม่ได้มีปัญหาอะไร พวกพี่แค่ต้องรอให้เป็นไปตามธรรมชาติ ต่อไปก็จะตั้งท้องได้แน่นอนค่ะ”
ฉินเคอเหล่ยและฉินเคอเจี๋ยได้ยินสิ่งที่ฉินมู่หลานเอ่ย สุดท้ายก็ได้เข้าใจความเป็นมาของเรื่องราวทั้งหมด กลายเป็นว่าภรรยาของพวกเขาแอบคิดสงสัยว่าร่างกายของพวกเขามีปัญหาอะไรไหม ซึ่งเรื่องนี้โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ชายมักจะยอมรับกันไม่ได้
ถึงแม้ว่าสีหน้าของฉินเคอเหล่ยและฉินเคอเจี๋ยจะมืดมนลงนิดหน่อย หวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งเองก็รู้สึกผิดมากเช่นกัน แต่ฉินมู่หลานก็มาถึงที่นี่แล้ว จึงควรตรวจให้เสร็จเรียบร้อย ดังนั้นฉินมู่หลานจึงตรวจชีพจรให้กับฉินเคอเจี๋ยอีกราย
เพียงแต่ในครั้งนี้ ฉินมู่หลานใช้เวลาตรวจชีพจรของเขาค่อนข้างนาน
ในตอนนั้นเอง สายตาของทุกคนก็จับจ้องมองไปที่ฉินเคอเจี๋ย
ตอนแรกฉินเคอเจี๋ยแอบรู้สึกโกรธภรรยานิดหน่อยที่คิดสงสัยว่าตนผิดปกติ แต่ในตอนนี้เขากลับจ้องมองฉินมู่หลาน อยู่ ๆ ก็รู้สึกลังเลใจนิดหน่อย หรือว่าเขาจะมีอะไรผิดปกติจริง?
ในขณะที่ฉินเคอเจี๋ยกำลังสงสัยในตัวเอง ซ่งอวี้เฟิ่งก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความกังวล “มู่หลาน พี่รองของเธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
ถึงแม้ว่าตอนนี้ความรู้สึกของหล่อนกำลังตีกัน แต่เมื่อเห็นสีหน้าของฉินมู่หลานแล้ว หล่อนก็ยังมีความร้อนรนใจ สุดท้ายแล้วหล่อนยังคงหวังให้ฉินเคอเจี๋ยไม่เป็นอะไร
ฉินมู่หลานดึงมือกลับ ก่อนจะเอ่ยขึ้นตามตรงอย่างไม่ปิดบังอะไรทั้งสิ้น “พี่รองไม่มีปัญหาอะไรค่ะ แต่เขาต้องทำเหมือนกับพี่ ต้องกินยา และดูแลตัวเองให้ดีเท่านั้นก็พอ”
อันที่จริงแล้วปัญหาของฉินเคอเจี๋ยก็ไม่ได้ใหญ่โตเช่นกัน แค่เพียงดูแลตัวเองทุกอย่างก็จะดีขึ้น
“จริงเหรอ มู่หลานมีอะไรก็พูดมาเถอะนะ ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอก”
ซ่งอวี้เฟิ่งกลัวว่าฉินมู่หลานจะปิดบังอะไรเพราะเห็นว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง จึงกลัวว่าอีกฝ่ายจะบอกอะไรไม่ชัดเจน
ฉินเคอเจี๋ยได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึมลง มองดูภรรยาของตัวเองที่เชื่อฟังฉินมู่หลานอย่างนึกประหลาดใจ รู้สึกเพียงว่าหล่อนไม่เหมือนคนที่ตนเคยรู้จัก นี่เป็นเพราะว่าห่วงสุขภาพของเขาอย่างนั้นเหรอ
ฉินมู่หลานมองดูทั้งสองคนด้วยท่าทางสบายใจก่อนจะเอ่ยขึ้น “อย่าห่วงเลยค่ะ ไม่มีปัญหาอะไรจริง ๆ ฉันไม่ได้ปิดบังอะไรพวกพี่หรอก”
เมื่อเห็นฉินมู่หลานยืนกรานเช่นนั้น ซ่งอวี้เฟิ่งจึงรู้สึกโล่งใจ
และเมื่อฉินเคอเจี๋ยได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็ดูเหมือนจะดีขึ้นมานิดหน่อย
ในตอนนั้นเอง ฉินเคอเหล่ยก็อดที่จะเอ่ยถามอย่างเสียไม่ได้ “พวกคุณคิดยังไงถึงให้มู่หลานมาตรวจชีพจรของพวกเราเนี่ย คิดว่าพวกเราจะผิดปกติอย่างนั้นเหรอ”
ฉินเคอเจี๋ยก็มองภรรยาของตนอย่างนึกสงสัยเช่นกัน
หวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งรีบโบกไม้โบกมือ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่ ไม่ใช่ พวกฉันแค่เห็นว่ามู่หลานเพิ่งตั้งท้อง แต่พวกเรายังไม่ท้องสักที ก็เลยอยากให้มู่หลานช่วยตรวจพวกเราสักหน่อย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเคอเหล่ยกับฉินเคอเจี๋ยก็พลันถามขึ้น “แล้วพวกคุณล่ะ? มีปัญหาอะไรไหม?”
ความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้สองคนนั้นค่อนข้างดี เมื่อหวังจาวตี้เห็นซ่งอวี้เฟิ่งเงียบ แน่นอนว่าหล่อนก็ไม่ได้เอ่ยพูดอะไร
สุดท้ายฉินมู่หลานจึงเป็นคนอธิบายเอง “พวกพี่สะใภ้ก็ไม่มีปัญหาอะไรเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวฉันจะเขียนใบสั่งยาให้ทุกคน ถึงเวลาให้กินยาตามเวลาที่เขียนเอาไว้ กินยาให้ตรงเวลาทุกวัน”
เมื่อเห็นฉินมู่หลานเอ่ยเช่นนั้น ซ่งอวี้เฟิ่งก็หันมองเธอด้วยแววตาซาบซึ้งใจ
ฉินเคอเหล่ยขมวดคิ้วพลางเอ่ยขึ้น “มู่หลาน พวกเราไม่ได้มีปัญหาอะไรไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงต้องกินยาล่ะ”
“การกินยาสามารถทำให้สุขภาพแข็งแรงขึ้นได้ค่ะ คำถามง่าย ๆ เลย พี่จะกินมันหรือเปล่าล่ะคะ”
ไม่รอให้ฉินเคอเหล่ยได้เอ่ย หวังจาวตี้ก็รีบพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นทันที “กินๆๆ พวกเราจะกิน”
สุดท้ายฉินมู่หลานก็เขียนใบสั่งยาให้กับทุกคน ส่วนของซ่งอวี้เฟิ่งนั้นเธอเขียนไปก่อนหน้านี้แล้ว จึงไม่ได้เขียนให้อีก
เสร็จเรื่องด้านนี้ ฉินมู่หลานก็ไปอีกห้องหนึ่ง
ซูหว่านอี๋เห็นลูกสาวเดินมา จึงเอ่ยถามอย่างกังวลใจ “มู่หลาน ลูกหิวไหม ตอนนี้อยากกินอะไรสักหน่อยไหม เมื่อกี้จาวตี้กับคนอื่นให้ลูกช่วยอะไรหรือ ทำไมถึงนานจังกว่าจะมาที่นี่ ตอนนี้ลูกกำลังท้องนะ อย่าทำงานหนักเกินตัวไป”
“แม่อย่าห่วงเลยค่ะ หนูไม่เหนื่อยอะไรเลย แค่ตรวจชีพจรให้พวกพี่สะให้ใหญ่กับคนอื่น”
ซูหว่านอี๋เห็นสีหน้าของลูกสาวขึ้นสีแดงระเรื่อ จึงไม่ได้เอ่ยถามอะไร
และเมื่อฉินมู่หลานเห็นว่าเสิ่นหรูฮวนกำลังนั่งอยู่เงียบ ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “หรูฮวน อยากไปเดินเที่ยวเขาต้าชิงไหม เดี๋ยวฉันพาเธอไปเดินชมเอง”
ซูหว่านอี๋ได้ยินเช่นนั้น จึงรีบเอ่ยแทรกทันที “มู่หลาน ตอนนี้ลูกท้องอยู่นะ ขึ้นเขาไปไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย”
“แม่วางใจเถอะค่ะ หนูแค่จะพาหรูฮวนไปเดินเล่นตรงแถวตีนเขาเท่านั้น ไม่ได้จะขึ้นเขาหรอกค่ะ” ฉินมู่หลานทราบดีว่าตอนนี้เธอท้องแล้ว จึงไม่ควรทำให้ตัวเองเหนื่อย ถึงจะขึ้นเขาไม่ได้ แต่ได้เดินเล่นตรงตีนเขาก็ยังดี
ถึงอย่างนั้น ซูหว่านอี๋ก็ยังคงเป็นกังวล
แต่สุดท้ายฉินมู่หลานกับเสิ่นหรูฮวนก็ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ เพราะว่ามีคนจากตระกูลเสิ่นมาเยือนถึงที่นี่
“หรูฮวน…”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วค่ะ เพราะเกิดมีปัญหาอะไรขึ้นมาก็ไม่อยากให้มู่หลานต้องรับจบคนเดียว
ตระกูลเสิ่นเจอตัวคุณหนูของบ้านไวมาก น่าจะเป็นคนใหญ่คนโตในเมืองหลวงทีเดียว
ไหหม่า(海馬)