เหล่าคนที่นางถือว่าเป็น ‘ญาติสนิท’ ที่แท้ก็เป็นญาติสนิทของนางจริงๆ
นางมิใช่กำพร้า นางมีท่านตา มีพี่ชายสองคน และก็ยังมีบิดาเป็นราชามังกรทมิฬ
มิน่าเล่า ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกับพวกเขา นางก็รู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยอย่างยิ่ง
เช่นนั้น….มารดาเล่า?
นางหันหน้ากลับไป มองดูใบหน้าด้านข้างที่งามล้ำของเยี่ยจ้าน มองดูจุดมืดๆที่ว่างเปล่าภายใต้หนังตาที่แย้มอยู่เล็กน้อยนั่น
คำพูดที่มาถึงริมฝีปาก ก็ต้องกลืนลงไปอีกครั้ง
ตอนนี้นาง รู้สึกกลัวที่จะได้ยินคำตอบยิ่งกว่าตอนแรกเสียอีก
“สาเหตุที่ข้าเหลือ ‘ตัวแทน’ ของเจ้าเอาไว้ หนึ่งก็เพื่อจะปิดบังเหล่าเทพเจ้าเบื้องบน สองก็เพราะเกรงว่าจะทำให้ซิงซิงเสียใจ” เยี่ยจ้านรู้ถึงความคิดของนาง จึงเอ่ยต่อไป “เนื่องเพราะว่า ‘ตัวแทน’ ของเจ้าร่างกายเปราะบางตั้งแต่เด็ก อุปนิสัยก็อ่อนแอ ดังนั้นทุกคนจึงประคอง ‘นาง’ เอาไว้ในฝ่ามือ”
“ข้าเองก็อยากจะรั้งอยู่ในจวนตระกูลตู๋กูต่อไป แต่ว่าจิตวิญญาณมังกรในร่างตื่นขึ้นมาแล้ว ความทรงจำก็กลับคืนมาทั้งหมด ราชามังกรทมิฬนั้น คือผู้ที่กระหายเลือด….”
“หากข้ายังรั้งอยู่ในตระกูลตู๋กูต่อไป ก็มีแต่จะนำพาภัยพิบัติมาให้กับพวกเขา”
“ดังนั้นท่านจึงเลือกที่จะจากไป?”
“เดิมทีก็คิดจะลบความทรงจำของชิงชิงที่เกี่ยวกับข้าออกไป…” สีหน้าของเยี่ยจ้านปวดร้าว “แต่ว่าสุดท้ายแล้วข้ากลับทำไม่ได้ เสี่ยวหลัน หากเจ้าไม่เคยตกหลุมรัก เจ้าย่อมไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกเช่นนั้น…อยากจะให้นางปลอดภัยและมีความสุขแต่ก็ไม่อยากให้นางลืมเลือนตนเอง…”
“ดังนั้นข้าจึงทิ้งสมบัติล้ำค่าเอาไว้มากมาย หวังว่าชิงชิงและลูกๆจะอยู่อย่างสุขสบบายไปชั่วชีวิต
“คิดไม่ถึงว่า นิสัยของนางจะดื้อรั้นถึงเพียงนี้ ไล่ตามข้ามาจนถึงทะเลตะวันตก”
“นางว่ายน้ำก็ไม่เป็น แต่เพื่อบีบให้ข้าปรากฏตัว จึงกระโดดลงไปในทะเล”
วิธีการแก้ปัญกาของเยี่ยจ้าน ตู๋กูซิงหลันไม่รู้ว่าจะวิจารณ์อย่างไรดี
เขาเป็นถึงราชามังกรทมิฬ เดิมก็มีภรรยา—ราชินี อยู่แล้ว
แต่เพราะอาการบาดเจ็บจากการฝ่าด่านกักขัง จึงสูญเสียความทรงจำ
ในขณะที่เกิดช่องว่างของความทรงจำนี้เอง ก็เกิดความรักกับมารดา….
ไม่อาจตำหนิว่าเขาเป็นบุรุษเสเพล ….เพราะว่าความรักที่เขามีให้กับมารดานั้นก็เป็นความรักที่แท้จริง
นางเคยได้ยินท่านตาบอกว่า ตลอดเวลาหลายปีหลังแต่งงานนั้น มารดาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข…แต่เพราะว่าบิดาหายตัวไป….นางถึงได้…..
จากทุกสิ่งที่เยี่ยจ้านทำลงไป นางเชื่อว่าเขารักมารดาอย่างแน่นอน
สำหรับกับราชินีของเขานั้น…..
ตู๋กูซิงหลันไม่รู้ว่าเขาคิดเห็นเช่นไรกันแน่
“ข้าไม่อาจขัดนาง จึงได้พานางกลับไปยังก้นทะเลลึก” ใบหน้าที่หล่อเหลาของเยี่ยจ้านแสดงสีหน้าของสำนึกเสียใจอย่างที่สุด “นั้นเป็นเรื่องที่ข้าผิดพลาดที่สุดในชีวิต”
“องค์ราชินีไม่อาจยอมรับมารดา” ตู๋กูซิงหลันไม่ต้องถามเขาก็รู้คำตอบดี
ไม่อาจบอกว่ามารดาคือมือที่สาม …..นางเองก็ตกหลุมรักบิดาในสถานการณ์บังเอิญที่
ไม่รู้เช่นกัน เรื่องจึงยากจะตัดสินว่าใครผิดใครถูก
เยี่ยจ้านมิได้ตอบรับ เขาเป็นสามีภรรยากับหวาชางสุยมาหมื่นกว่าปี ถูกหมั้นหมายกันตั้งแต่เล็ก พอเติบใหญ่ก็แต่งงานกัน
กับหวาชางสุ่ย เขาถือว่านางเป็นราชินีของเผ่ามังกรทมิฬ…..แต่ว่าไม่เคยมีความรักใคร่มาก่อน
ก่อนที่จะได้เจอกับชิงชิง เขาก็ไม่เคยรู้จักว่าความรักคืออะไร
“ตอนที่ชิงชิงไล่ตามมาถึงทะเลตะวันตกนั้น นางก็ยังไม่รู้จักฐานะที่แท้จริงของข้า” เยี่ยจ้านว่าต่อไป ตอนนั้น…เขาไม่รู้จริงๆว่าจะเอ่ยปากกับนางอย่างไรดี เพื่อบอกนางว่า เขามิใช่ตัวดี
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีราชินี มีบุตรชายหญิงคู่หนึ่ง
“ข้าบอกกับนางแค่ว่า ข้าเป็นมังกรที่เฝ้าสมบัติของเผ่ามังกรทมิฬตัวหนึ่ง”
“นางก็เชื่อ…แต่ไหนแต่ไรมิว่าข้าบอกอะไรนางก็เชื่ออยู่แล้ว สตรีที่โง่เขลาเอ๋ย….”
เยี่ยจ้านหัวเราะขึ้นมา หัวเราะอย่างเจ็บปวดแล้ว แต่เพราะว่าไม่มีลูกตา เขาจึงไม่อาจมีน้ำตาสักหยดได้เลย
“ช่วงนั้น นางต้องอยู่แต่ในห้องเล็กๆในวังมังกร ทุกวันต้องรอคอยนับสิบกว่าชั่วยาม จึงจะได้เจอข้าสักครู่หนึ่ง…”
“ข้าซ่อนนางเอาไว้ ราวกับซุกซ่อนสมบัติล้ำค่าที่ไม่อาจโดนแสงแดดได้ นางเชื่อฟังอย่างยิ่ง ไม่เคยก้าวออกจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว
หัวใจของตู๋กูซิงหลันเจ็บปวดแล้ว เจ็บปวดแทนมารดา
การรักใครสักคน จะต้องรักถึงเพียงไหน ถึงทำให้ไม่ว่าอีกฝ่ายพูดอะไร นางก็เชื่อเช่นนั้นหมด?
โง่หรือไม่? หรือว่าเพราะรักจนไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่อาจหักห้ามตนเอง…..
“ต่อมาเผ่ามังกรทมิฬเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ข้าไม่ได้ไปหานางติดต่อกันถึงสามวัน นางร้อนใจแล้ว จึงออกจากห้องเป็นครั้งแรก”
“นางจับพลัดจับผลูคลำทางไปเรื่อยๆจนไปถึงตำหนักบรรทมของข้า….วันนั้นหวาชางสุ่ยดื่มมากเกินไป จึงเข้ามาในตำหนักของข้าเช่นกัน….”
เยี่ยจ้านไม่กล้าบอกกับบุตรสาวของตนเองว่า ‘มารดาของเจ้าเห็นสตรีที่แต่งตัวไม่เรียบร้อยผู้หนึ่งโผเข้าหาข้า’
เขาเป็นราชาเผ่ามังกรทมิฬ บนบ่าของเขาแบกรับความสงบสุขของคนในเผ่าทั้งเผ่า…..ชีวิตของผู้คนนับหมื่นนับแสนขึ้นอยู่กับเขา ยิ่งไปกว่านั้น เขากับซื่อมั่วก็ยังมีสัญญาต่อกันอยู่
จึงทำให้เขาไม่อาจคำนึงถึงเพียงความรักระหว่างชายหญิงได้
หวาชางสุ่ยคือราชินีที่เขาอภิเษกมาอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของสองเผ่า ถึงแม้ว่ามิได้รัก…..แต่ก็ไม่อาจเพียงเพราะว่าเขาไปมีภรรยาบนโลกจึงจะหย่าขาดจากนางได้
เยี่ยจ้านยอมรับว่า….เขามิใช่สามีที่ดี
นับตั้งแต่ที่เขากลับจากเผ่ามนุษย์มายังเผ่ามังกรทมิฬก็ไม่เคยแตะต้องหวาชางสุ่ย …..
หรือที่จริงต้องบอกว่า นับตั้งแต่พันปีก่อนที่เขากับหวาชางสุ่ยให้กำเนิดเยี่ยอิงแล้ว ก็ไม่เคยแตะต้องนางอีกเลย
“กระดาษไม่อาจห่อไฟอยู่แล้ว” ตู๋กูซิงหลันตอบ
ในใจของนางกำลังขุ่นเคืองที่มารดาไม่ได้รับความยุติธรรม แต่พอหันกลับมาคิดถึงฐานะของเยี่ยจ้าน…..ก็พอจะเข้าใจเขาอยู่บ้าง
มิใช่ว่าเขาไม่รักมารดาเพียงพอ….
แต่ว่าภาระบนบ่ามากมายเกินไป
ก็เหมือนกับที่จีเฉวียนเอ่ยปากบอกว่ารักนาง แต่ว่าก็ยังคงกระทำทุกอย่างเพื่อประชาชนของเขา พยายามใช้พลังอำนาจทุกอย่างเพื่อจะเป็นฮ่องเต้ที่ดี
บางครั้ง เรื่องบางอย่างก็ยากเกินไป
“วันนั้น…นางได้รู้ฐานะที่แท้จริงของข้า….นางไม่ร้องไห้ไม่ตีโพยตีพาย เพียงแต่กลับไปยังห้องเล็กๆของตนเอง”
“พอข้ารีบร้อนไปถึงก็เห็นนางเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว…….ทั้งยังควักดวงตาของตนเองออกมา”
“นางบอกว่า นางดูคนผิดไป ดวงตาคู่นี้เก็บเอาไว้ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ จากนี้นางและข้าไม่ติดค้างต่อกันต่างคนต่างเดินทางของตน”
พอคิดถึงตอนที่ดวงตาของนางกลิ้งลงมาอยู่ตรงหน้าตนเอง เยี่ยจ้านก็ยังรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
เป็นเพราะเขาหลอกลวงชิงชิง นางจึงได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับเขา
ตอนนั้น เขาถึงได้รู้ว่า ตนเองได้สูญเสียนางไปแล้ว
เขาไม่อาจหาข้อแก้ตัวให้กับตนเอง…….
“ข้าตู๋กูชิงชิง ชีวิตนี้จะไม่มีทางเป็นสตรีที่ทำลายครอบครัวของผู้อื่น เผิงอี้ ขอให้ท่านโชคดี ประสบความสุขตลอดชีวิต”
เขายังคงจดจำคำพูดตอนจากลาของนางได้อยู่เสมอ
ตอนนั้น เขาเองก็ไม่กล้ารั้งนางเอาไว้ ได้แต่ปล่อยให้นางจากไป
กระทั่งตอนที่นางก้าวออกจากวังไปนั้น เขาจึงควักดวงตาของตนเองออกมา มอบให้กับนาง
นางใช่คนที่ทำร้ายครอบครัวของผู้อื่นที่ไหนกัน…..
ที่ที่มีนาง จึงจะเป็นบ้านของพวกเขาต่างหาก….
ตอนนั้น เขาคิดแต่เพียงว่า ขอให้สำเร็จภารกิจของเผ่ามังกรทมิฬแล้ว …..เขาก็ไม่ต้องการจะเป็นมังกรอีกต่อไป ขอเพียงแค่ได้กลับไปอยู่เป็นเพื่อนนางก็พอ
ชาตินี้ หรือชาติหน้า…..ก็จะขอเคียงข้างนางทุกชาติไป
……………………………………………
ตอนต่อไป “มังกรแปลงร่างเป็นต้นไม้ เพื่อรักษาเศษเสี้ยววิญญาณของนาง”