ตอนที่ 85 อดีตของเหยาจิ้งจือ
ตอนที่ 85 อดีตของเหยาจิ้งจือ
เมื่อฉินมู่หลานส่งจดหมายและสิ่งของเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงไปที่ร้านค้าสวัสดิการที่ตลาดอีกครั้งเพื่อเตรียมซื้อขนมอบบางอย่างกลับไป แต่เพียงเธอก้าวเท้าเข้าประตูไป อวี๋ไห่เฉาและครอบครัวก็ตรงเข้ามาหาทันที
“มู่หลาน ถ้ารู้ว่าคุณก็จะเข้าเมืองด้วย พวกเราคงได้มาด้วยกันแล้ว”
ต่งหม่านเฟินดึงมือของฉินมู่หลานเข้าไปกอบกุม ก่อนจะเอ่ยพูดบางสิ่งบางอย่างพร้อมรอยยิ้ม หลังจากนั้นก็ส่งมอบของขวัญที่เตรียมมาไปให้ “มู่หลาน ตอนนี้คุณกำลังท้อง ต้องการอาหารเสริมเยอะมาก ต่อไปให้คุณดื่มนมมอลต์นี้หนึ่งแก้วทุกวัน แล้วอาหารกระป๋องนี้ก็อร่อยเหมือนกันนะคะ”
เมื่อเห็นว่าพวกเขานำสิ่งของต่าง ๆ มากมายมาให้อีกแล้ว ฉินมู่หลานจึงรีบเอ่ยกลับ “ป้าต่งคะ พวกคุณสุภาพเกินไปแล้วค่ะ ทำไมถึงได้นำของติดไม้ติดมือมาให้ทุกครั้งเวลามาที่นี่ล่ะคะ เอากลับไปบ้างเถอะค่ะ”
เหยาจิ้งจืออยู่ที่บ้านเช่นกัน เมื่อเห็นว่าต่งหม่านเฟินมีทั้งนมมอลต์และอาหารกระป๋องมาด้วย จึงรีบบอกกล่าวเช่นกัน “ใช่ค่ะ พวกคุณเอากลับไปให้เสี่ยวเหล่ยทานเถอะ เดี๋ยวพวกเราจะซื้อให้มู่หลานเอง”
ต่งหม่านเฟินวางสิ่งของที่อยู่ในมือลงโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะกล่าวขึ้น “ที่บ้านของพวกเรามีอยู่ค่ะ เสี่ยวเหล่ยเองก็ได้กินทุกวัน”
ฉินมู่หลานถูกลักพาตัวไปคราวนี้เป็นเพราะผลพวงที่เคยช่วยเสี่ยวเหล่ยเอาไว้ในครั้งก่อน พวกเขาจึงรู้สึกแย่ นอกจากนี้ฉินมู่หลานยังต้องประสบกับเรื่องโชคร้ายพวกนี้ขณะที่ตั้งครรภ์ พวกเขาจึงควรมาเยี่ยมเยียน
อวี๋เหล่ยพยักหน้าเหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อยแล้วพูดว่า “ใช่ครับ ที่บ้านของพวกผมยังมีอยู่ พี่มู่หลานกินทั้งหมดนี้ได้เลยครับ”
เมื่อเห็นลูกชายพูดเช่นนั้น อวี๋ไห่เฉาจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา หลังจากนั้นจึงหันมองฉินมู่หลานแล้วพูดขึ้น “มู่หลาน เสี่ยวเหล่ยเองก็บอกแบบนั้น รีบรับเอาไว้เถอะครับ และที่เรามาวันนี้ก็เพื่อจะพูดคุยอะไรบางอย่างกับคุณด้วย”
ได้ยินอวี๋ไห่เฉาพูดแบบนั้น ฉินมู่หลานจึงไม่เอ่ยค้านอะไรอีก
เหยาจิ้งจือรินน้ำให้กับทุกคน หลังจากนั้นทุกคนก็พากันนั่งลง
“มู่หลาน พี่สะใภ้ของคุณทำงานได้ดีมาก ดังนั้นผมจะบรรจุหล่อนให้เป็นพนักงานประจำแล้ว”
ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง เธอทราบว่าอีกฝ่ายอาจรู้สึกผิด จึงคิดอยากจะสับสนุนครอบครัวของเธอมากขึ้น แต่ต่อให้ในวันนั้นจะไม่ใช่เสี่ยวเหล่ย เธอก็จะช่วยเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย
“ลุงอวี๋คะ ถ้าทำแบบนี้คนอื่นจะพูดลับหลังได้นะ อันที่จริงแล้วไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ค่ะ”โนเวลพีดีเอฟ
ตอนแรกเหยาจิ้งจือรู้สึกดีใจที่ลูกสะใภ้คนโตของตนจะได้งานประจำ แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉินมู่หลานเอ่ย ก็เริ่มมีท่าที จึงรีบบอกกล่าวขึ้นเช่นกัน “ใช่แล้วค่ะ ผอ.อวี๋ มันอาจทำให้คุณรู้สึกอับอายได้ แค่ที่เป็นอยู่นี้มันก็ดีแล้วค่ะ”
อวี๋ไห่เฉาบอกกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่อับอายหรอก สหายหลี่เสวี่ยเยี่ยนเองก็ทำงานได้ดีมากจริง ๆ”
ต่งหม่านเฟินที่อยู่ถัดจากกันก็เอ่ยพูดเช่นกัน “ใช่แล้วมู่หลาน พี่สะใภ้ของคุณไม่ใช่แค่ทำงานดีเท่านั้นนะ แต่ยังตั้งใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทราบมาก่อนด้วย หล่อนมีพลังใจเต็มเปี่ยมมาก”
ฉินมู่หลานไม่ทราบเรื่องนี้เลยจริง ๆ
แต่ในเมื่ออวี๋ไห่เฉาพูดเช่นนั้น เธอจึงไม่พูดอะไรต่อไปอีก และเอ่ยปากเชื้อเชิญแทน “ลุงอวี๋คะ อีกสองวันมาทานข้าวที่บ้านของฉันไหมคะ ฉันจะทำอาหารตุ๋นให้คุณได้ลอง หากว่าถูกปากก็ให้โรงงานอาหารทำได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อวี๋ไห่เฉาก็หันมองฉินมู่หลานด้วยความประหลาดใจ เขาไม่ทราบมาก่อนเลยว่าเธอทำอาหารเป็น แต่หากเชื้อเชิญพวกเขาทั้งหมด พวกเขาก็ยินดีแน่นอน
หลังจากครอบครัวของอวี๋ไห่เฉากลับไป เหยาจิ้งจือก็หันมองฉินมู่หลานแล้วพูดขึ้น “มู่หลาน งานของพี่สะใภ้ขึ้นอยู่กับเธอจริง ๆ เอาไว้เดี๋ยวจะให้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้มาขอบคุณเธอนะ”
ฉินมู่หลานรีบส่ายศีรษะแล้วเอ่ยทันที “เป็นเพราะความพยายามของพี่สะใภ้ด้วยเหมือนกันค่ะ”
เหยาจิ้งจือได้ยินเช่นนั้นจึงไม่เอ่ยพูดสิ่งใดอีก แต่ในใจก็ยังจำเรื่องนี้เอาไว้ ไม่นานนักก็เอ่ยถามเรื่องกินข้าวในอีกสองวันอีกครั้ง
“มู่หลาน ถึงตอนนั้นฉันจะออกไปซื้อของนะ เธอแค่บอกฉันว่าจะซื้ออะไรบ้าง แล้วเดี๋ยวฉันจะไปซื้อเอง ผอ.อวี๋จะมากินข้าวที่บ้านของเราทั้งที เราจะละเลยไม่ได้ ไปชวนพวกพ่อกับแม่ของเธอมาด้วยนะ”
“ค่ะ”
ฉินมู่หลานยิ้มแล้วพยักหน้ารับ ก่อนจะบอกว่าของที่ต้องใช้ในวันนั้นมีอะไรบ้างดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เหยาจิ้งจือกลัวว่าตัวเองจะจำไม่ได้ จึงจดบันทึกเอาไว้ด้วย
เมื่อเห็นลายมือแสนงดงามของเหยาจิ้งจือ ฉินมู่หลานจึงรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ย “แม่คะ ลายมือของแม่สวยมากเลยค่ะ ตอนอยู่โรงเรียนต้องทำคะแนนได้ดีด้วยแน่เลยใช่ไหมคะ”
ได้ยินเช่นนั้น เหยาจิ้งจือก็ผงะนิดหน่อย หลังจากนั้นจึงยกยิ้มแล้วส่ายศีรษะ แล้วเอ่ยขึ้น “ฉันไม่เคยเรียนหรอก”
ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้น สีหน้าจึงปรากฎความสงสัย
เหยาจิ้งจือจึงเอ่ยเล่าต่อ “ก่อนหน้านี้ตอนฉันแปดขวบยังจำความอะไรไม่ค่อยได้นัก แต่ก็เขียนหนังสือได้นานแล้วล่ะ ก่อนแต่งงานฉันอยู่กับพ่อแม่บนเขา ตายายสองคนอายุมากแล้ว ฉันจึงต้องอยู่บ้านเพื่อช่วยงาน ไม่นานหลังจากที่แต่งงานออกเรือน ท่านทั้งสองก็ได้จากไปแล้ว”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น คิ้วของฉินมู่หลานก็ขมวดขึ้น รู้สึกว่ามันฟังดูแปลกนิดหน่อย
หากเป็นไปตามสิ่งที่เหยาจิ้งจือเอ่ยว่าหล่อนอาศัยอยู่บนเขาและไม่เคยไปโรงเรียนมาก่อน แล้วเช่นนั้นหล่อนเขียนหนังสือเป็นได้อย่างไร “แม่คะ ตากับยายเป็นคนสอนแม่เหรอคะ?”
“ไม่ใช่หรอก ตายายไม่รู้หนังสือ”
“นี่….”
เหยาจิ้งจือถอนหายใจ ก่อนจะเล่าเรื่องราวให้ฟังโดยละเอียด “อันที่จริงแล้ว ฉันเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่สองตายายมาเจอบนเขา พวกท่านพบฉันโดยบังเอิญ ตอนนั้นฉันหัวแตกเลือดไหลเต็มไปหมด จึงได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี จากนั้นฉันก็จำอะไรก่อนหน้านั้นไม่ได้แล้ว ที่ฉันเขียนหนังสือได้คงเป็นเพราะครอบครัวเดิมของฉันสอนให้ก่อนอายุแปดขวบล่ะมั้ง น่าเสียดายที่ฉันจำอะไรไม่ได้เลย นี่เป็นเรื่องที่ตอนท่านทั้งสองกำลังจะเสียแล้วได้บอกฉัน ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นแค่เด็กที่พวกท่านเก็บมาเลี้ยง”
ฉินมู่หลานคิดไม่ถึงว่าเหยาจิ้งจือจะประสบพบเจอชีวิตมาเช่นนี้ จึงไม่ได้เอ่ยถามอีกต่อไป เนื่องจากกลัวว่าหล่อนจะรู้สึกไม่ดี
เหยาจิ้งจือเห็นแล้วก็ยกยิ้ม ทำให้ฉินมู่หลานรู้สึกผ่อนคลาย “มู่หลาน เธอรีบไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวฉันทำอาหารเอง”
“ค่ะ”
จนกระทั่งฉินมู่หลานกินอาหารกลางวันเสร็จ จึงเดินไปที่บ้านตระกูลฉิน
หวังจาวตี้เห็นฉินมู่หลานมา จึงโบกมือให้เธออย่างอบอุ่น “มู่หลาน เธอมาแล้วเหรอ ตอนแรกฉันว่าจะไปหาเธอพอดีเลย”
ซ่งอวี้เฟิ่งเห็นฉินมู่หลานแล้วก็รีบเข้ามาทักทายด้วยกัน
“มู่หลาน ฉันกำลังจะไปหาเธออยู่พอดี ครั้งก่อนครอบครัวของหรูฮวนซื้อผ้ามาให้ ก็เลยตั้งใจอยากจะตัดชุดให้เธอน่ะ ก็เลยอยากจะขอวัดตัวเธอหน่อย”
ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้น จึงรีบเอ่ยปฏิเสธทันที
“ไม่ต้องหรอกค่ะ พวกพี่ทำชุดของตัวเองไปดีกว่า ฉันเองก็มีผ้าเหมือนกัน”
หวังจาวตี้ก้าวมาหาข้างหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “มู่หลาน อย่าให้พี่สะใภ้รองของเธอเสียน้ำใจเลย จริง ๆ แล้วหล่อนตัดเย็บเสื้อผ้าเก่งมากเลยนะ อย่าปฏิเสธเลย”
ครั้งนี้ซ่งอวี้เฟิ่งตั้งใจจะตัดชุดให้ฉินมู่หลานเป็นพิเศษ จึงอดไม่ได้ที่จะขอวัดตัวฉินมู่หลาน
ฉินมู่หลานเห็นว่าซ่งอวี้เฟิ่งมีความกระตือรือร้นมาก สุดท้ายจึงยินยอมแม้ว่าเธอเองก็คิดจะตัดชุดเองอยู่แล้ว หลังจากที่ได้ตรวจชีพจรให้พวกหล่อนอีกครั้งแล้วเน้นย้ำเรื่องที่พวกหล่อนควรใส่ใจก็ไปหาซูหว่านอี๋ผู้เป็นแม่ต่อ แล้วบอกกล่าวเรื่องจัดเลี้ยงอาหารในอีกสองวันข้างหน้า
ซูหว่านอี๋กล่าวพร้อมทั้งรอยยิ้ม “ได้สิ เอาไว้ถึงตอนนั้นพวกเราไปกันแน่นอน”
ไม่กี่วันต่อมา ทางเซี่ยเจ๋อหลี่ก็ได้รับพัสดุจัดส่งแบบด่วนและจดหมายจากฉินมู่หลาน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเย็นชาแต่เดิมพลันอ่อนลงทันที แต่ก่อนที่เขาจะได้กลับห้องพัก ก็โดนใครบางคนรั้งเอาไว้เสียก่อน
“สหายเซี่ย คุณแต่งงานแล้วเหรอ?”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ความจริงแล้วคุณแม่เหยาเป็นลูกผู้ดีในเมืองหลวงที่โดนทำร้ายจนความจำเสื่อมหรือเปล่านะ เพราะคำบอกเล่ามันดูไม่สมเหตุสมผลเลย
ไหหม่า(海馬)