ตอนที่ 102 มีชื่อเสียง
ตอนที่ 102 มีชื่อเสียง
เมื่อได้ยินคำพูดของเวินเนี่ยนอัน ฉินมู่หลานก็อดไม่ได้ที่จะชมวดคิ้วแล้วหันไปมอง
หรือว่านี่จะเป็นคนคลั่งไคล้เซี่ยเจ๋อหลี่อีกคนกันนะ แต่ไม่นานนักฉินมู่หลานก็รู้สึกว่าตนอาจคิดผิด สายตาของเวินเนี่ยนอันที่มองเซี่ยเจ๋อหลี่นั้นชัดเจนมากว่าอย่างไรก็ไม่ใช่ลักษณะสายตาที่ได้มองคนที่ชอบ
ลู่เพ่ยจวินได้ยินสิ่งที่ลูกสาวพูดก็อดไม่ได้ที่จะตีหล่อน แล้วพูดขึ้น “อาหลี่ก็อายุไม่น้อยแล้ว ก็ควรแต่งงานได้แล้วไม่ใช่เหรอ แล้วมู่หลานก็ดีมากด้วย ตอนนี้ทั้งสองคนมีลูกแล้วนะ อีกไม่นานก็จะป็นพ่อแม่คนแล้ว” พูดจบก็รีบเร่งให้ลูกสาวเรียก ‘พี่สะใภ้’
เวินเนี่ยนอันได้ยินดังนั้นก็รีบดึงสติกลับมา เมื่อทราบว่าสิ่งที่ตัวเองเพิ่งเอ่ยไปนั้นไม่ค่อยเหมาะสมจึงรีบเอ่ยขอโทษ จากนั้นก็เอ่ยเรียกฉินมู่หลานว่า ‘พี่สะใภ้’ อย่างสุภาพนอบน้อม
ฉินมู๋หลานเห็นดังนั้น จึงยกยิ้มแล้วพยักหน้ารับให้เวินเนี่ยนอัน “สวัสดีค่ะ”
ในตอนนั้นเอง ลู่เพ่ยจวินที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยถามขึ้น “เสี่ยวอัน ลูกกินข้าวมาหรือยัง?”
“ยังเลย”
“ถ้าอย่างนั้นลูกรีบไปล้างมือแล้วมากินข้าวซะ” ลู่เพ่ยจวินรีบบอกให้ลูกสาวมากินข้าว
การเพิ่มเวินเนี่ยนอันเข้ามาด้วย ทำให้โต๊ะอาหารมีชีวิตชีวาไม่น้อย เวินโหย่วเหลียงเอ่ยถามลูกสาวของตนเป็นครั้งคราว นอกจากนี้ยังเล่าเรื่องภารกิจที่เซี่ยเจ๋อหลี่ไปทำทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือในครั้งนี้ด้วย
“ครั้งนี้อาหลี่กับซวี่ตงสร้างผลงานได้โดดเด่นมาก กำลังพลน้อยขนาดนั้น ก็ยังทำภารกิจได้สำเร็จ ตบหน้าพวกที่คอยกลั่นแกล้งนั่นได้แรงมาก”
เมื่อเร็ว ๆ นี้ เวินเนี่ยนอันไม่ได้อยู่และไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หล่อนจึงรีบเอ่ยถาม จากนั้นจึงได้ทราบว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายระหว่างช่วงที่ตนไม่อยู่ อย่างเช่นเดิมทีขาของเซี่ยเจ๋อหลี่อาจจะทิ้งผลข้างเคียงเอาไว้ แล้วฉินมู่หลานได้ผ่าตัดให้เขาอีกครั้ง แถมยังรับประกันว่าขาของอาหลี่ยังหายขาดด้วย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เวินเนี่ยนอันจึงอดที่จะหันมองฉินมู่หลานเสียไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าตื่นเต้น “พี่สะใภ้ ฝีมือการรักษาของพี่ดีจังเลยค่ะ”
ฉินมู่หลานยกยิ้มเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ก่อนจะพูดขึ้น “แค่พอเรียนรู้มาบ้างค่ะ”
เป็นเรื่องยากที่เวินโหย่วเหลียงจะพูดจาเยินยอ “ฝีมือการรักษาของหมอฉินดีมาก หล่อนผลิตยาได้ด้วยนะ ผลที่ได้ก็นั้นน่าทึ่งมาก ครั้งนี้ก็เป็นเพราะยาที่อาหลี่นำติดตัวไปด้วย จึงทำให้พวกเขากลับมากันได้อย่างปลอดภัย”
หลังจากนั้นเขาก็บอกเล่าต่อด้วยว่าฉินมู่หลานยินดีให้สูตรยากับเขาอย่างใจกว้างมาก
เวินเนี่ยนอันได้ยินเช่นนั้น จึงหันมองฉินมู่หลานอย่างชื่นชมก่อนจะเอ่ยขึ้น “พี่สะใภ้ ขอบคุณมากเลยค่ะ”
ฉินมู่หลานรู้สึกเขินอายกับคำชมนิดหน่อย โชคดีที่กินข้าวเย็นเสร็จแล้ว เธอและเซี่ยเจ๋อหลี่จึงเตรียมตัวกลับ
เมื่อลู่เพ่ยจวินเห็นทั้งสองไปแล้ว จึงรีบหิ้วตะกร้าไข่ตามไปด้วยเพื่อให้เซี่ยเจ๋อหลี่เอากลับไป “อาหลี่ ภรรยานายกำลังตั้งท้อง ต้องกินเยอะ ๆ เธอจำไว้นะว่าต้องทำอาหารให้มู่หลานอย่างน้อยสองมื้อทุกวัน”
ไม่รีรอให้เซี่ยเจ๋อหลี่เอ่ย ฉินมู่หลานก็ปฏิเสธขึ้นก่อน “พี่สะใภ้คะ ครั้งที่แล้วคุณก็เอาไข่มาให้ตะกร้าหนึ่ง ตอนนี้ที่บ้านยังมีอยู่เลยค่ะ เก็บไว้กินเองดีกว่านะคะ”
ลู่เพ่ยจวินอดไม่ได้ที่จะยัดตะกร้าไข่ลงในมือของเซี่ยเจ๋อหลี่ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ที่บ้านของพวกฉันเองก็มีเหมือนกัน เอาเถอะ เอาเถอะ พวกเธอรีบกลับไปกันได้แล้วล่ะ” หลังจากเอ่ยเช่นนั้นก็รีบเร่งให้ทั้งสองกลับไป
เมื่อเห็นลู่เพ่ยจวินกระตือรือร้นขนาดนั้น เซี่ยเจ่อหลี่กับฉินมู่หลานจึงยอมรับไข่ทั้งหมดมา
หลังจากทั้งสองคนกลับไป ลู่เพ่ยจวินก็อดที่จะหันมองแล้วพูดกับลูกสาวเสียไม่ได้ “เสี่ยวอัน เมื่อกี้เป็นอะไรไปถึงได้แปลกใจที่อาหลี่แต่งงานแล้วขนาดนั้น โชคดีที่มู่หลานเป็นคนจิตใจดี ไม่อย่างนั้นหากหล่อนเป็นคนอารมณ์ร้ายคงได้ตำหนิลูกแน่นอน ลูกทำเหมือนกับทนไม่ได้ที่เห็นสองคนนั้นแต่งงานกันอย่างไรอย่างนั้นแหละ”
เมื่อเอ่ยจบ ลู่เพ่ยจวินก็รู้สึกสงสัยขึ้นอีกครั้ง
“เมื่อก่อนแม่เห็นว่าลูกใส่ใจอาหลี่มาก ตอนที่แม่ถามลูก ลูกก็เอาแต่บอกว่าไม่ใช่ไม่ได้สนใจอะไร ลูกอย่ามารู้ตัวเอาตอนนี้เลย ลูกชอบอาหลี่ใช่ไหมล่ะ ถ้าอย่างนั้นแม่จะบอกอะไรให้นะ ลูกรีบล้มเลิกความคิดแบบนั้นได้เลย พลาดแล้วก็คือพลาด”
เมื่อเวินเนี่ยนอันได้ยินคำพูดนี้ ก็ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“แม่ หนูไม่ได้ชอบเซี่ยเจ๋อหลี่จริง ๆ แม่หยุดคิดไปเองได้แล้ว”
ลู่เพ่ยจวินรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อ “แล้วท่าทางของลูกเมื่อกี้นี้คืออะไรกัน?’
เวินเนี่ยนอันเห็นสีหน้าแม่ราวกับจะไม่มีวันลดราวาศอก จึงยกมือขึ้นยอมแพ้ทันที “ก็ได้ ๆ หนูเคยเล่าให้ฟังแล้วใช่ไหม เกี่ยวกับพวกคนอื่นที่ชอบเซี่ยเจ๋อหลี่น่ะ พวกหล่อนพยายามเข้าหาหนูเพราะอยากรู้เรื่องเขา หนูเพิ่งบอกเล่าข่าวของเขาไปเอง ไม่คิดว่าหนูไปแค่ไม่กี่เดือน เซี่ยเจ๋อหลี่จะแต่งงานไปซะแล้ว โธ่…หนูควรจะคิดให้รอบคอบก่อน แล้วแบบนี้จะบอกหล่อนยังไงดีล่ะ”
เมื่อเห็นสีหน้าของลูกสาวเต็มไปด้วยความทุกข์ สุดท้ายหล่อนก็ปักใจเชื่อว่าลูกสาวไม่ได้ชอบเซี่ยเจ๋อหลี่จริง ๆ ขณะเดียวกันก็มีความคิดหนึ่งแทรกขึ้นมา จึงเอ่ยถาม “คนที่ชอบเซี่ยเจ่อหลี่ใช่เพื่อนที่เล่นกับลูกมาตั้งแต่เด็กหรือเปล่า”
หล่อนนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เพื่อนของลูกสาวมาที่นี่ ลูกสาวของหล่อนก็เริ่มสนอกสนใจเซี่ยเจ๋อหลี่ขึ้นมา
เวินเนี่ยนอันเห็นว่าแม่ของตนเดาถูก จึงพยักหน้าแล้วพูดต่อ “ใช่ค่ะ หรงหรงนั่นแหละที่ชอบเซี่ยเจ๋อหลี่ เห็นได้ชัดว่าเคยเจอเซี่ยเจ๋อหลี่แค่ครั้งเดียว แต่ก็เอาแต่ถามหนูเกี่ยวกับเรื่องของเซี่ยเจ๋อหลี่อยู่นั่น ก่อนหน้านี้หนูคิดจะมาถามเซี่ยเจ๋อหลี่ให้หล่อนว่าสนใจไปดูตัวไหม แต่ตอนนี้คงไม่ต้องถามแล้วล่ะ เขาแต่งงานมีลูกไปเรียบร้อยแล้วนี่”
ลู่เพ่ยจวินได้ยินเช่นนั้น จึงหันมองแล้วพูดกับลูกสาว “ถามไม่ได้อยู่แล้ว รีบเขียนจดหมายไปบอกหรงหรงเลย บอกให้หล่อนหยุดถามเรื่องเซี่ยเจ๋อหลี่ได้แล้ว”
เวินเนี่ยนอันพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “อื้ม พรุ่งนี้หนูจะโทรหาหรงหรงเอง”โนเวลพีดีเอฟ
อีกด้านหนึ่ง หลังจากฉินมู่หลานและเซี่ยเจ๋อหลี่กลับถึงบ้าน ทั้งสองก็เตรียมตัวพักผ่อน ช่วงเวลาหนึ่งผ่านไป ฉินมู่หลานจึงฝังเข็มให้เซี่ยเจ๋อหลี่ ต้มยาให้เขา และเฝ้าดูเขากินยาอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้การรักษาแบบควบคู่กันไป เซี่ยเจ๋อหลี่ก็สามารถยืนเหยียบลงบนพื้นได้แล้ว เพียงแต่ต้องค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้น เพราะสุดท้ายแล้วกระดูกและกล้ามเนื้อก็มีกระบวนการสลายตัวในช่วงร้อยวัน ถึงแม้ว่าฉินมู่หลานจะฝังเข็มให้ แต่ก็ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูอีกนาน
ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของฉินมู่หลาน สุดท้ายเซี่ยเจ๋อหลี่ก็ได้ถอดผ้าพันแผลออกในอีกหนึ่งเดือนต่อมา ช่วงนี้ฉินมู่หลานยังคงฝังเข็มให้เซี่ยเจ๋อหลี่อย่างต่อเนื่อง และเซี่ยเจ๋อหลี่ก็ให้ความร่วมมือในการฟื้นฟูเป็นอย่างมาก ดังนั้นหลังจากนั้นอีกครึ่งเดือน อาการบาดเจ็บที่ขาของเขาก็จะหายดี
เมื่อเซี่ยเจ๋อหลี่ถึงเวลาไปตรวจกับหมอเลี่ยวอีกครั้ง เขาก็ได้แต่รู้สึกแปลกใจ
“อาการบาดเจ็บของคุณหายแล้วนะ นี่มันน่าเหลือเชื่อมากเลย” ขณะที่พูดก็หันไปเอ่ยถามฉินมู่หลาน “หมอฉินครับ ฝีมือการรักษาของคุณดีเหลือเกิน ไม่สนใจจะมาทำงานกับโรงพยาบาลของเราจริงเหรอครับ?”
ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้น จึงยกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “หมอเลี่ยว ฉันกับอาหลี่กำลังจะกลับบ้านเพื่อไปฉลองวันปีใหม่ค่ะ จึงยังไม่ทำงานช่วงนี้แน่นอนค่ะ”
“แล้วหลังจากปีใหม่ล่ะครับ?”
หมอเลี่ยวไม่ยอมลดละ เพราะฝีมือการรักษาของฉินมู่หลานดีมาก หากพลาดไป จะถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของโรงพยาบาลทหารอย่างแน่นอน
“หมอเลี่ยวคะ ถึงตอนนั้นค่อยคุยเรื่องนี้กันนะคะ”
อันที่จริงฉินมู่หลานยังไม่คิดที่จะมาทำงาน เธอวางแผนจะตั้งใจเรียน แล้วสอบมหาวิทยาลัย ถึงแม้ว่าในยุคสมัยนี้คนจะไม่สนใจเรื่องวุฒิการศึกษา แต่หากมีก็ย่อมแตกต่างกว่าไม่มี นอกจากนี้ยังจะมีเด็กเกิดมาให้ต้องดูแลด้วย ต้องยุ่งวุ่นวายแน่นอน
เมื่อเห็นฉินมู่หลานพูดแบบนั้น หมอเลี่ยวจึงทำได้เพียงพยักหน้า แล้วตั้งหน้าตั้งตารอถามเธออีกครั้ง
ทุกคนได้เห็นการฟื้นตัวของเซี่ยเจ๋อหลี่กันถ้วนหน้า จึงทำให้ชื่อเสียงของฉินมู่หลานดังก้องไปทั่วฐานทัพ เพราะขนาดแพทย์ในโรงพยาบาลทหารยังทำอะไรไม่ได้ แต่ฉินมู่หลานกลับทำด้วยตัวเอง จึงเห็นได้ชัดว่าฝีมือการรักษาของเธอดีแค่ไหน
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
มีสาวอกหักไปอีกราย พี่หลี่นี่ก็หล่อเรี่ยราดจริงๆ
ไหหม่า(海馬)